ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 836 เดิมพัน
ตอนที่ 836 เดิมพัน
ว่ากันว่านิวยอร์กเป็นสวรรค์ของคนรวยและเป็นนรกสำหรับคนจนแล้วมันต่างอะไรกับเมืองปะกิ่งล่ะ? นับตั้งแต่ผู้ยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้นิ้วชี้เป็นวงกลมในแถบทะเลจีนใต้และกล่าวเอาไว้ว่าไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำก็สามารถจับหนูได้ทั้งนั้น ซึ่งเป็นทัศนคติและแนวคิดที่เปิดกว้างซึ่งไม่เพียงนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจคลื่นลูกใหญ่เท่านั้นแต่ยังทำลายแนวคิดการบูชาเงินทุนนิยมและแบ่งชนชั้นอย่างสมบูรณ์แบบ
ปังกิ่งมีประวัติศาสตร์นานกว่า 3,000 ปีและเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ ดังนั้นกงล้อแห่งประวัติศาสตร์ได้บดขยี้ศักดิ์ศรีของราชวงศ์และความเสื่อมโทรมของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงจนเหลือเพียงร่องรอยของการบิดเบือนและเปลี่ยนไปจนทำให้คนรุ่นต่อไปถอนหายใจไปกับประวัติศาสตร์เหล่านั้น ในเมืองนี้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้นมีมากจนยากที่คนทั่วไปจะดิ้นรนสู้ชีวิตเพราะคนรวยสามารถเพลิดเพลินกับการปรนนิบัติแบบจักรพรรดิในขณะที่คนจนทำได้เพียงแค่ทำงานหนักเพื่อดำรงชีพแบบวันต่อวัน
เย่เชียนนั่งอยู่ในรถสปอร์ตสุดหรู Porsche คันนี้แต่เขาไม่ได้มีความประทับใจหรือตื่นเต้นแต่อย่างใดเพราะอันที่จริงสำหรับเย่เชียนแล้วเงินตราเป็นเพียงฉากบังหน้าที่ฝังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและความรู้สึกของผู้คนได้ เขาเกิดมาในความทุกข์ยากและรู้ว่าการดำเนินชีวิตนั้นยากเพียงใด เย่เชียนไม่ได้พูดแต่มองไปข้างหน้าอย่างเงียบๆและยังคงนึกภาพของชายคนนี้ที่อยู่ข้างๆเขาในใจอย่างลับๆ
ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ได้พูดด้วยและมีเพียงรอยยิ้มที่มุมปากของเขาเท่านั้น มีคนบอกเขาว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนที่รับมือยากและเขาก็ไม่เชื่อแต่เนื่องจากการแสดงออกของเย่เชียนในตอนนี้ดูเหมือนจะหยิ่งยโสมากแต่ในความเห็นของเขานี่เป็นการแสดงที่โง่เขลาเท่านั้นเพราะตราบใดที่เขาใช้ความพยายามในการกระตุ้นเย่เชียนเพียงเล็กน้อยเย่เชียนก็จะถูกเขาหลอกอย่างสมบูรณ์แบบ
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างออกไปเพียงแค่สามกิโลเมตรเท่านั้นแต่รถสปอร์ตคันนี้กลับใช้เวลามากกว่าสิบนาทีเพื่อมาที่นี่ “ที่นี่เป็นไงบ้าง?” ชายหนุ่มเหลือบมองเย่เชียนและถามแน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวกับการตกแต่งและสไตล์ของที่แห่งนี้แต่อย่างใด
“เฉยๆ!” เย่เชียนพูดเบาๆ
ชายหนุ่มก็ยิ้มเล็กน้อยและเดินเข้าไปในผับบาร์และเย่เชียนก็เดินตามเขาไป ทั้งสองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะผู้ชายคนนี้แต่งตัวไม่เหมือนใครและไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขาก็ต้องตกเป็นเป้าหมายของบรรดาผู้หญิงที่ต้องการจะประจบสอพลอ แต่เย่เชียนนั้นสวมเครื่องแต่งกายลำลองที่ดูเรียบง่ายแต่เย่เชียนก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เพรราะสิ่งที่เขาต้องการนั้นไม่ใช่ความอิจฉาริษยาของคนอื่นที่มีต่อเขาและเขาก็แค่ทำในสิ่งที่เขาสบายใจเท่านั้น
ภายในผับบาร์คนไม่เยอะมากและบนเวทีของผับก็มีหญิงสาวร้องเพลงอยู่พร้อมด้วยมือกลองและมือกีตาร์ ซึ่งควรจะเป็นนักร้องประจำของผับบาร์ที่นี่ ที่ปักกิ่งนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้มากที่สุดเพราะมีผู้คนมากมายที่ต้องการพัฒนาสู่วงการบันเทิงภาพยนตร์และโทรทัศน์ อย่างไรก็ตามท่ามกลางกระแสน้ำอันยิ่งใหญ่ของเมืองศิวิไลแล้วก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสำเร็จได้? หลายคนจมอยู่ใต้เมืองนี้และบางคนละทิ้งอุดมการณ์และความทะเยอทะยานและออกจากที่นี่ไปในที่สุดแต่ก็ยังมีบางคนที่ยังคงยืนกรานในความฝันแต่ทรยศต่อความจริงและไม่อยากที่จะยอมรับมัน
ด้านข้างมีโต๊ะอยู่สองโต๊ะและดูเหมือนคนเหล่านั้นจะยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นอยู่และพูดเสียงดังจนทำให้ผับบาร์ดูครึกครื้นขึ้นเล็กน้อย เมื่อเดินผ่านพวกเขาไปเย่เชียนก็พยายามตั้งใจฟังและพบว่านักเรียนเหล่านี้กำลังพูดถึงข่าวการเมืองและอดยิ้มไม่ได้เพราะบางทีนี่อาจเป็นความเน่าเฟะของปักกิ่งเพราะไม่ว่าจะชายหรือหญิงและผู้ใหญ่หรือเด็กก็ตามดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังคงถกเถียงกันถึงหัวข้อนี้เสมอ
ในตอนนี้ชายหนุ่มก็นั่งลงบนที่นั่งข้างๆและเขาไม่ได้ถามเย่เชียนว่าต้องการอะไรหรือยังไงแต่เลือกที่จะสั่งเบียร์หลายขวดและผลไม้สองสามจานด้วยท่าทางที่ดูโออ่าเกินคำบรรยาย
เย่เชียนไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงดื่มเบียร์เงียบๆและฟังเพลง เย่เชียนไม่ได้ถามว่าผู้ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครหรือทำไมเขาถึงรู้จักตนราวกับว่าทุกอย่างไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองเลย
“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าผมเป็นใคร?” ในที่สุดชายหนุ่มก็ทนไม่ไหวแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้น
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มเบาๆและหันไปมองแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณเป็นฝ่ายมาหาผมคุณก็น่าจะบอกโดยที่ผมไม่ต้องถามไม่ใช่เหรอ..แต่ถ้าคุฯไม่อยากบอกแล้วผมจะถามไปทำไม”
ชายหนุ่มก็ตกตะลึงอยู่พักหนึ่งและในทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่สามารถคาดเดาได้เลยและดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด “ผมชื่อฉินเยว่” ชายหนุ่มผู้ลึกลับพูด
“ฉินเยว่?” เย่เชียนก็พึมพำและหลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้วเขาก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับชายผู้นี้เลย “แต่งตัวเหมือนพระเอกในนวนิยายเลย”
“นั่นเป็นแค่นวนิยาย..แต่ผมมีตัวตนอยู่จริง” ฉินเยว่พูด “คุณไม่ต้องการรู้เลยเหรอว่าผมเป็นใครและต้องการอะไรจากคุณ?”
“มันสำคัญด้วยเหรอ?” เย่เชียนพูด
ฉินเยว่ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ตามที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด..ลูกชายของเย่เจิ้งหรานมีนิสัยเหมือนพ่อของของเขาจริงๆ..ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกคุณก็ได้ว่าผมมาที่นี่เพื่อฆ่าคุณในวันนี้”
“จริงเหรอ?” เย่เชียนพูดอย่างใจเย็น “แล้วทำไมถึงยังไม่ทำ?”
“ตอนนี้ผมยกเลิกแผนนั้นไปแล้ว..ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ” ฉินเยว่พูด
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ถือได้ว่าเป็นเกียรติหรือเปล่า?”
“หึๆ!” ฉินเยว่แสยะยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้พูดต่อ ในเมืองปักกิ่งแห่งนี้ฉินเยว่ถือได้ว่าเป็นตัวละครที่น่าเกรงขามและไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่ของตระกูลหรือความแข็งแกร่งของเขาเองก็ตาม ไม่ใช่ว่าเหล่าลูกหลานทุกคนจะเป็นคนไร้ความสามารถเสมอไปและอย่างน้อยๆคนเหล่านั้นก็ไม่ใช่ฉินเยว่ ซึ่งความสงบเสงี่ยมของเย่เชียนทำให้ฉินเยว่รู้สึกว่าเขาไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยและเมื่อเขาอยู่ในสำนักหยุนหยานเหมินฉินเยว่ก็เคยซ่อนตัวอยู่นอกประตูห้องของเย่เชียนเพื่อแอบสังเกตเย่เชียนแต่เย่เชียนกลับสัมผัสถึงเขาได้อย่างง่ายดายซึ่งนี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าเย่เชียนเป็นคู่ต่อสู้ของเขาและเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากมากที่จะรับมือได้อีกด้วย
เย่เชียนก็ค่อยๆจิบเบียร์ในแก้วทีละจิบราวกับว่าเขากำลังชิมใบชาคุณภาพสูงที่มีกลิ่นหอมจางๆของการบ่ม ซึ่งบนเวทีนักร้องสาวก็ยังคงร้องเพลงอยู่และดวงตาของเธอก็เผยให้เห็นถึงความสับสนและความเศร้าโศกเล็กน้อยจนเย่เชียนรู้สึกได้ว่ามีเรื่องราวมากมายในชีวิตของเธอ
ใครบ้างที่ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้บ้าง? มันเป็นเพียงเรื่องราวของคนธรรมดาที่จมอยู่ในความยิ่งใหญ่และความศิวิไลของเมืองนี้
“หากวันหนึ่งฉันและเธอได้พบกันอีกเราจะไม่ใช่อดีตอีกต่อไป..เพื่อความฝันของเราจงเลิกจมอยู่ในความรักเสียเถิด..รอยยิ้มไร้เดียงสานั้นเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเร่ร่อนอยู่ในเมืองนี้..หากวันเวลาเปลี่ยนขอแค่มีเราอยู่ด้วยกันตลอดไป..ฉันกับเธอเราจะมีความฝัน..เราจะรักษาตัวตนที่แท้จริงของเราเอาไว้..เราจะไม่หลงทางในเมืองแห่งวังวนนี้อีกต่อไป”
เพลงดังกล่าวถูกขับร้องด้วยความโศกเศร้าไม่รู้จบของคนเร่ร่อนสู้ชีวิตจนเย่เชียนดูเหมือนจะตกอยู่ในภาพวังวนนั้นเช่นกัน อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นผู้คนสู้ชีวิตจากทางเหนือหรือทางใต้ก็ตาม อันที่จริงในฐานะคนต่างแดนแล้วเย่เชียนเข้าใจดีเพราะเขาเคยอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากบ้านเกิดของเขามากและเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตและความฝันของเขาโดยไม่สนใจการเยาะเย้ยและการดูถูกเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพลงของนักร้องหญิงคนนี้ดูเหมือนจะทำให้เย่เชียนย้อนกลับไปสู่อดีต ย้อนเวลากลับไปตอนที่เขายังไม่รู้จักความสุขและย้อนกลับไปในชีวิตตอนที่เขาถูกดูถูกเหมือนสุนัขข้างถนนในตอนนั้น
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็รอดมาได้เพราะความพากเพียรและความปรารถนาอันแรงกล้าของเขาและชีวิตของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆจนถึงวันนี้ที่ไม่มีใครสามารถดูถูกและหัวเราะเยาะเขาได้อีกต่อไป ซึ่งเย่เชียนยังสามารถเห็นความอุตสาหะและความพยายามในสายตาของนักร้องสาวคนนี้
หลังจากร้องเพลงแล้วดวงตาของนักร้องสาวก็เลื่อนไปทางด้านข้างของเย่เชียนโดยไม่รู้ตัวเพราะเธอนั้นอยู่ในผับบาร์เช่นนี้มานานแล้วและถือได้ว่าเธอเป็นคนที่เจอผู้คนที่แตกต่างกันมานับไม่ถ้วน เธอสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดวงตาของเย่เชียนบริสุทธิ์ราวกับน้ำและไม่มีความปรารถนาหรือความต้องการและประสงค์ร้ายเมื่อเขามองมาที่ตัวเธอ ดังนั้นนักร้องสาวจึงพยักหน้าเล็กน้อยให้กับเย่เชียน
เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆและยกแก้วขึ้นเล็กน้อยแล้วจิบ ทุกอย่างถูกบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนในสายตาของฉินเยว่ เมื่อเห็นเช่นนั้นฉินเยว่ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อะไรกัน..คุณชอบผู้หญิงคนนี้งั้นเหรอ..เธอเป็นแค่นักร้องประจำในบาร์..หากคุณเย่ชอบสาวสวยๆล่ะก็ฉันก็สามารถจัดหาดาราดังๆมาให้คุณได้เสมอ”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มจางๆว่า “ในโลกใบนี้เงินไม่สามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้หรอกนะ”
“จริงเหรอแต่ในความคิดของผมไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เงินซื้อไม่ได้..ทั้งชื่อเสียงทั้งสถานะและความรัก..ตราบใดที่คุณมีเงินล่ะทุกๆสิ่งจะไหลเข้ามา” ฉินเยว่พูด
“ถ้างั้นเรามาเดิมพันกันเถอะ..ผมขอพนันว่าคุณไม่สามารถซื้อนักร้องหญิงคนนี้ด้วยเงินได้คุณเชื่อผมมั้ย” เย่เชียนพูด เขาไม่ได้เดิมพันเพื่อการพนันเพราะเขามีความคิดของตัวเองและเขาต้องการดูว่านักร้องหญิงคนนี้จะยังรักษาทัศนคติของเธอในแวดวงบันเทิงที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกได้หรือไม่
“ก็ได้” ฉินเยว่พูด “ถ้าผมแพ้คุณจะทำอะไรผมก็ได้..แต่ถ้าแพ้คุณต้องสัญญากับผมอย่างหนึ่งและเราจะคุยกันทีหลังแต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..คุณต้องตกลงทุกอย่างคุณยังกล้าเดิมพันอยู่มั้ย?”
“ไม่มีปัญหา” เย่เชียนพูดอย่างเฉยเมยเพราะเย่เชียนเกิดมาท่ามกลางความยากลำบากและสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือคนอย่างฉินเยว่ผู้ซึ่งคิดว่าเขาสามารถซื้อทุกอย่างในโลกใบนี้ได้ด้วยเงินของเขาเองและฉินเยว่นั้นไม่สนใจเลยว่านักร้องสาวจะทำอะไรแต่เขาก็เต็มใจเดิมพันครั้งนี้และไม่ใช่เพื่ออะไรแต่เพื่ออยากเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างนั่นเอง
ฉินเยว่นั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองและหลังจากอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปีเขาก็ไม่เคยเจอคนที่ไม่ก้มหัวให้กับความมั่งคั่งเลย พวกที่เอาแต่พูดว่าพวกเขาจะไม่มีวันก้มหัวเพื่อรับใช้ผู้มีอำนาจแต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งหมดก็ก้มหัวให้เงินไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะคนพวกนี้ที่อยากอยู่ในวงการบันเทิงเพราะถ้าไม่มีอำนาจแล้วทางเดียวที่จะทำได้ก็คือการขายตัวเองและขายทุกอย่างที่ขายได้รวมทั้งตัวรวมทั้งศักดิ์ศรีด้วย
จากนั้นฉินเยว่ก็โบกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟแล้วพูดว่า “ไปเรียกนักร้องสาวคนนั้นมาที” ขณะที่เขาพูดเขาก็หยิบเงินสองร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วโยนให้
พนักงานเสิร์ฟก็รีบหยิบมันและพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วหันหลังเดินจากไป