ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 839 การต่อสู้ของวัยรุ่นหนุ่มสาว (3)
ตอนที่ 839 การต่อสู้ของวัยรุ่นหนุ่มสาว (3)
ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างสงบสุข
เย่เชียนอ่านข้อมูลที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนส่งมาอย่างละเอียดและถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องทั่วไปแต่ก็กล่าวถึงโดยเฉพาะชื่อและนามสกุลของครอบครัวใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลในเมืองปักกิ่ง อย่างไรก็ตามรายชื่อที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนนำข้อมูลมาให้นั้นคงจะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ในตอนท้ายของเอกสารหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้เพิ่มข้อมูลความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนกันหลากหลายและเมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึง
ในตอนนี้ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเนื่องจากการมาถึงของเย่เชียน ดังนั้นเช้าตรู่เย่เชียนซึ่งนอนอยู่บนเตียงแข็งๆ ทั้งคืนก็ลุกออกจากเตียงแล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้ข้างขวาวิดพื้น 300 ครั้งในรวดเดียวแบบไม่พัก แต่นู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยภาพการวิดพื้นด้วยสองนิ้วนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่เปิดประตูเข้ามาก็ถึงกับตกตะลึงในทันที
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดไม่ใช่ความเร็วในการวิดพื้นด้วยสองนิ้วด้วยแขนเดียวแต่รอยแผลเป็นที่น่าสยดสยองที่ด้านหลังด้วยบาดแผลจากมีดและกระสุนปืน ซึ่งมีบาดแผลทะลุกว่า 20 บาดแผลที่เกิดจากของมีคมและการถูกยิงใครๆ ซึ่งในโลกใบนี้จะมีคนที่มีบาดแผลเหล่านี้สักกี่คนกัน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนก็รอให้เย่เชียนแต่งตัวให้เสร็จและพาเย่เชียนลงไปชั้นล่าง ซึ่งการแสดงออกของพวกเขาดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาสวมเสื้อผ้าและเครื่องแบบเหล่านี้ล่ะก็พวกเขาจะไม่มีวันติดต่อและยุ่งวุ่นวายกับคนอย่างเย่เชียนแน่นอน
เมื่อเห็นเย่เชียนเดินออกมาเด็กหนุ่มก็ฉีกยิ้มและรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เป็นยังไงบ้างพี่ชาย..สบายดีมั้ย..พวกเขาทำให้พี่ชายลำบากหรือเปล่า..ถ้าเป็นแบบนั้นก็บอกผมมาได้เลยเดี๋ยวผมจะสอนบทเรียนให้พวกเขาเอง”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรๆ ..ฉันสบายดี”
“ขอโทษทีนะพี่ชายพอดีคุณปู่ของผมเขาแจ้งไปเฉพาะแค่ชื่อของผมคนเดียวพวกตำรวจก็เลยปล่อยตัวผมไป..เพราะงั้นผมจึงรีบมาที่นี่แต่เช้าเพราะกลัวว่าจะมีอะไรผิดปกติกับพี่ชาย..ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พี่ชายลำบากทั้งคืน” เด็กหนุ่มพูด
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและไม่พูดอะไรแล้วเดินออกไป หลังจากออกจากประตูสถานีตำรวจเขาก็เห็นรถของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจอดอยู่ที่ด้านนอกและเห็นว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนกำลังเปิดประตูรถและออกมา ซึ่งหลังจากเห็นเย่เชียนออกมาหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ตกตะลึงเล็กน้อยและรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “ทำไมเอ็งถึงออกมาได้?” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยให้เย่เชียนออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร? แต่เมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเห็นเด็กหนุ่มข้างๆ เย่เชียนแล้วความสงสัยของเขาก็หมดไปจากนั้นเขาก็โล่งใจ
“เป็นยังไงบ้าง?” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนถาม
เย่เชียนก็ยักไหล่เล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร..ขอโทษที่ทำให้ปู่ต้องเดือดร้อน”
“รู้สึกผิดอย่างงั้นเหรอ..ถ้างั้นในอนาคตก็อย่าสร้างปัญหาให้ฉันอีก” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดและจ้องเขม็งไปที่เย่เชียน
“คุณปู่เป็นใครน่ะ..ผมมาช่วยพี่ชาย..แล้วที่ว่าอย่าทำให้เกิดปัญหามันหมายความว่าไง” เด็กหนุ่มมองไปที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนอย่างเย้ยหยันและพูด
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “เอ็งน่ะระวังตัวเอาไว้ให้ดีฉันจะไปฟ้องปู่ของเอ็งและเขาจะต้องทำโทษเอ็งอย่างแน่นอน”
“คุณรู้จักคุณปู่ของผมด้วยหรอ” เด็กหนุ่มตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็ยิ้มและพูดว่า “คุณปู่..คุณดูใจดีจัง..คุณดูไม่เหมือนคนที่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องไร้สาระเลย..ว่าแต่เราไปดื่มคลายเครียดกันหน่อยมั้ย?”
“เอ็งยังกล้าไปดื่มอีกเหรอ” เย่เชียนตบหัวเด็กหนุ่มแล้วพูดว่า “ระวังเอาไว้ให้ดีคราวหน้าอย่าสร้างปัญหาให้ฉันอีก..ถ้าเอ็งไม่มีความสามารถแต่ยังวิ่งไปทั่วเพื่อหาเรื่องอยู่แบบนี้อีกระวังจะตายโดยไม่รู้ตัวล่ะ”
เด็กหนุ่มทำหน้าบึ้งตึงเล็กน้อยแต่เขาไม่ได้โกรธเคืองเย่เชียนแต่อย่างใดซึ่งทำให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนประหลาดใจอย่างมากเพราะน้อยคนนักในเมืองปักกิ่งที่ไม่รู้จักเด็กหนุ่มในร่างราชามารตัวน้อยคนนี้ ซึ่งเขามักจะสร้างปัญหาอยู่ทั้งวันและทำตัวเหมือนผู้ใหญ่อยู่เสมอ อย่างไรก็ตามเนื่องจากอำนาจครอบครัวของเขาเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้จึงไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาจริงๆ เมื่อคืนนี้กลุ่มวัยรุ่นในผับบาร์ก็ถึงกับต้องหวาดผวาและต่างก็คิดว่ามันคงไม่ใช่วันที่ดี มารตัวน้อยตนนี้ไม่กลัวฟ้าและดินและมีเพียงปู่ของเขาเท่านั้นที่สามารถหยุดยั้งเขาได้แต่ตอนนี้มารตัวน้อยกลับเชื่อฟังเย่เชียนซึ่งทำให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนประหลาดใจ เขานั้นไม่รู้เลยว่าเย่เชียนใช้กลอุบายแบบใดกับเด็กคนนี้จนทำให้เด็กหนุ่มคนนี้เชื่อฟังจริงๆ
“จะไปกินข้าวเช้าก่อนหรือจะให้ฉันพากลับไปที่โรงแรมหรือบริษัทดี?” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเหลือบมองไปที่เย่เชียนและถาม
“ไม่ๆ ..ผมต้องไปเยี่ยมใครสักคนก่อน..ผมรับปากกับปู่ของผมเอาไว้แล้ว” เย่เชียนพูด “เอาหน่าอย่ามองผมแบบนั้นสิ..ผมสัญญาว่ามันจะไม่มีครั้งต่อไปอย่างแน่นอน”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และเขาก็ไม่ได้ถามเย่เชียนว่าเย่เชียนกำลังจะไปพบใคร หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเพียงหันหลังกลับและขึ้นรถจากไป
“พี่ชาย..ทำไมพี่ถึงไม่ไปที่บ้านของผมล่ะ..ปู่ของผมบอกว่าเขาต้องการพบพี่ชายน่ะ..เขาอยากขอบคุณพี่ชายเป็นการส่วนตัวน่ะ” เด็กหนุ่มพูดต่อ “พี่ชาย..พี่เป็นพี่ชายของผมเพราะงั้นพี่ชายต้องสอนทักษะการต่อสู้ให้ผม..มันดูเท่มาก..มันดูดีกว่าที่ปู่สอนให้ผมมาก”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “ได้!..แต่ตอนนี้ฉันมีธุระที่ต้องทำอีกหลายอย่าง..เอาเป็นว่าถ้าหลังจากที่ฉันทำธุระเสร็จตราบใดที่เอ็งสามารถตามหาฉันในเมืองปักกิ่งได้ฉันก็จะสอนทักษะการต่อสู้ให้”
“พี่ชายพูดแล้วนะ..อย่าหลอกให้ผมดีใจล่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มและพูดว่า “ไม่มีใครในเมืองหลวงแห่งนี้ที่ผมหาไม่เจอ”
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วตบหัวเด็กหนุ่มจากนั้นก็เดินออกจากสถานีตำรวจไป ภายในรถจี๊ป Land Rover ที่จอดรออยู่ข้างเขาเมื่อคนขับเห็นฉากนี้สีหน้าของเขาก็ดูตกตะลึงและตกใจมาก ซึ่งหลังจากที่เห็นเย่เชียนออกไปคนขับก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรออกแล้วพูดว่า “หัวหน้าครับ..คนที่ช่วยชีวิตนายน้อยเอาไว้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลย..ขนาดคนระดับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนถึงกลับมารับเขาที่หน้าสถานีตำรวจเป็นการส่วนตัวเลย”
“หวงฟู่ชิงเตี๋ยน?” ชายชราที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของสายก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและพูดว่า “ไปตรวจสอบรายละเอียดของเขาอย่างละเอียดและดูว่าเขามีจุดประสงค์อะไรในการเข้าหาห่าวยู่หรือเปล่า”
“หัวหน้าครับดูเหมือนนายน้อยจะกลัวเขามาก..ไม่สิควรจะบอกว่านายน้อยถูกใจพ่อหนุ่มคนนี้เพราะเขาตบหัวนายน้อยและตำหนิสั่งสอนนายน้อยด้วยแต่นายน้อยไม่แม้แต่จะทำตัวงี่เง่าหรือโวยวายเลย..ผมไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นจริงๆ ว่านั่นคือนายน้อยที่ผมเห็นทุกวัน” คนขับพูด
“หืม?” ชายชราที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของสายก็งุนงงและพูดว่า “ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะถึงห่าวยู่จะดื้อรั้นและไม่ฟังใครก็จริงแต่เขามักจะเชื่อฟังเฉพาะคนที่เขาคิดว่าแข็งแกร่งเท่านั้น..ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีอะไรที่พิเศษไม่เบาเลย..เอาเถอะช่วยพาเขามาพบฉันที”
“ท่านครับ..เขาไปแล้ว” คนขับบอก
“ไม่เป็นไรๆ ..ถ้างั้นก็ส่งคนไปตรวจสอบรายละเอียดของเขามา..ฉันอยากเจอพ่อหนุ่มคนนี้จริงๆ” ชายชราพูด
“ครับหัวหน้า” คนขับตอบรับแล้ววางสายไป
หลังจากออกจากสถานีตำรวจเย่เชียนก็โบกรถแท็กซี่และบอกที่อยู่ปลายทางให้คนขับ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนขับแท๊กซี่ถึงกับตกตะลึงและหันไปมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจเพราะเขายังไม่เข้าใจตัวตนของเย่เชียน ซึ่งเขาอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้มานานหลายปีแล้วและแน่นอนว่าเขารู้ดีถึงสถานที่นี้และมันไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะสามารถเข้าไปได้เลย
คนท้องถิ่นส่วนใหญ่ทราบดีว่าเมื่อสองสามทศวรรษที่แล้วลานสนามหญ้าในเขตชานเมืองแถบตะวันตกของเมืองปักกิ่งแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง,นักธุรกิจรายใหญ่และสมาชิกกระทรวงต่างๆ ฯลฯ ล้วนมีแต่บุคลสำคัญจริงๆ ที่กระจุกตัวอยู่ที่เขตนี้ ซึ่งเมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนไปพื้นที่แห่งนี้ก็กลายเป็นอาคารสูงตระหง่าน อย่างไรก็ตามพื้นที่เหล่านี้ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและยังคงรักษารูปลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้
คาดเดาไม่ได้เลยว่าบุคคลที่จะสามารถอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ได้จะต้องเป็นบุคคลระดับไหน
โดยธรรมชาติแล้วเย่เชียนนั้นไม่รู้เรื่องนี้เพราะสำหรับคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในเมืองปักกิ่งเขาจะไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็เคยชินกับคนอื่นที่มองเขาด้วยสายตาที่แตกต่างกันดังนั้นเย่เชียนจึงสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติไปแล้วเขาก็จ้องมองไปที่คนขับแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น..มีปัญหาอะไรเหรอทำไมถึงยังไม่ออกรถ”
“อ๋อไม่มีครับ!” คนขับตอบอย่างเร่งรีบและสตาร์ทรถเพื่อขับไปยังที่อยู่ที่เย่เชียนบอกเอาไว้ ซึ่งไม่ว่าสถานะของเย่เชียนจะเป็นยังไงหรือเป็นแค่พนักงานและยามเฝ้ารักษาการณ์ของที่นั่นก็ตามแต่มันก็ไม่ใช่บุคคลที่เขาจะไปทำให้ขุ่นเคืองได้เลย ยิ่งในฐานะคนขับแท๊กซี่แล้วจึงเป็นการดีที่สุดที่จะเสแสร้งทำเป็นขี้ขลาดเพราะบางทีคนที่สุ่มขึ้นมาบนรถอาจเป็นญาติและครอบครัวของผู้ทรงอิทธิพลในเมืองก็เป็นได้
เย่เฉียนไม่ได้พูดตลอดทางเพียงแค่หันออกไปมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างและนึกถึงบุคคลสำคัญๆระหว่างทางทีละคน ซึ่งเย่เชียนไม่ต้องการมาเมืองหลวงนักแต่ด้วยคำขอจากเย่เจียอู๋จึงทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องย่างก้าวเท้ามาที่นี่ ตามด้วยการขอร้องจากซ่งหลันดังนั้นเย่เชียนจึงต้องอยู่ต่ออีกสักพัก ด้วยเหตุผลเหล่านี้เย่เชียนจึงต้องคิดเกี่ยวกับทุกอย่างที่นี่อย่างถี่ถ้วนและอย่างน้อยๆเขาจะไม่ยอมให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากที่นี่เป็นแน่
พ่อทูนหัวของพ่องั้นเหรอ? เขาจะมีนิสัยเหมือนปู่หรือเปล่า? เนื่องจากพ่อของเขายอมรับชายชราคนนี้เป็นพ่อทูนหัวนั่นก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าชายชราคนนี้ไม่ใช่ตัวละครธรรมดาๆ ใช่ไหม? “หม่าเต๋อหง?” เย่เชียนพึมพำชื่อออกมาเล็กน้อย
ทันใดนั้นจิตใจของเย่เชียนก็สั่นสะท้านเพราะเด็กหนุ่มคนนั้นก็แซ่สกุลหม่าไม่ใช่เหรอ? เขาเป็นลูกหลานของหม่าเต๋อหงอย่างงั้นเหรอ? หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้วเย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วส่ายหัวเพราะทุกวันนี้มีผู้คนมากมายที่มีชื่อและแซ่สกุลเหมือนๆ กันนับประสาอะไรกับชื่อนี้ ในเมืองหลวงนี้คนนามสกุลหม่าน่าจะมีหลายคนและทุกคนจะไปเกี่ยวข้องอะไรกับคนระดับนั้นกันและนี่ก็เป็นเพียงแค่เขาวิตกกังวลไปเท่านั้นเอง
รถแท๊กซี่ก็หยุดกะทันหันตรงทางเข้าซอยเพราะข้างหน้ามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยติดอาวุธพร้อมกระสุนจริง ซึ่งแน่นอนว่าที่แห่งนี้จะต้องเป็นเขตหวงห้าม อันที่จริงแล้วที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ต้องห้ามระดับสูงและ 90 % ของผู้ที่มายังพื้นที่แห่งนี้ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองปักกิ่งทั้งนั้น