ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 847 สิ่งที่ยิ่งใหญ่
ตอนที่ 847 สิ่งที่ยิ่งใหญ่
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชียนแล้วหม่าเต๋อหงก็ตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้และถึงแม้ว่าตระกูลชางกวนจะมีอิทธิพลในแวดวงธุรกิจก็ตามแต่หม่าเต๋อหงก็ชัดเจนมากเกี่ยวกับอำนาจของตระกูลชางกวนในเมืองปักกิ่งที่มีเครือข่ายความสายสัมพันธ์ขนาดใหญ่ในเมืองและแม้แต่หม่าเต๋อหงเองก็ยังต้องไว้หน้าตระกูลชางกวนเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าความเกลียดชังระหว่างเย่เชียนกับตระกูลชางกวนนั้นเป็นอย่างไรแต่หม่าเต๋อหงก็เลือกที่จะอยู่ข้างเย่เชียนโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งหม่าเต๋อหงเป็นคนที่มั่นใจในศักดิ์ศรีและในความเห็นของเขาเย่เชียนที่เป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานและลูกบุญธรรมของเขานั้นมันจะไม่มีใครสามารถแตะต้องเขาได้และถ้าหากใครมารุกรานล่ะก็คนๆนั้นจะต้องมีปัญหากับหม่าเต๋อหงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ฉันจะไม่ถามเอ็งเกี่ยวกับความขัดแย้งกับตระกูลชางกวนเพราะตราบใดที่เอ็งต้องการล่ะก็ในฐานะปู่อย่างฉันจะสนับสนุนเอ็งอย่างไม่มีเงื่อนไข..หืมตระกูลชางกวนนี่นับวันยิ่งหยิ่งผยองในปักกิ่งมากขึ้นเรื่อยๆและดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดว่าตระกูลตัวเองยิ่งที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่งสินะ” หม่าเต๋อหงสูดลมหายใจอย่างเย็นชาและพูด
เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “ถ้าผมรับมือไม่ไหวเมื่อไหร่ผมจะขอให้คุณช่วยอย่างแน่นอน..มันจะดีกว่าถ้าเผชิญหน้ากับตระกูลชางกวนในเรื่องธุรกิจเพราะที่นี่คือเมืองปักกิ่งและการทำอะไรมากเกินไปก็คงจะไม่ดี..แบบนี้เป็นทางเลือกที่ดีแล้วที่จะเปิดสงครามธุรกิจกัน”
เมื่อเห็นความมั่นใจในดวงตาของเย่เชียนแล้วหม่าเต๋อก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ นั่นเหมาะสมแล้วที่เขาเป็นลูกของเย่เจิ้งหรานที่มีความมั่นใจอย่างมาก “ยังไงก็เถอะมีดที่เอ็งใช้ก่อนหน้านี้คือกริชฉีจือเต๋าใช่มั้ย..เอ็งได้มันมายังไง” หม่าเต๋อหงถามด้วยความสงสัย
“ใช่” เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “แต่ตอนแรกผมไม่รู้ผมเลยเรียกมันว่ามีดคลื่นโลหิตเพราะมันถูกขโมยมาจากพิพิธภัณฑ์โดยหนึ่งในพี่น้องฟันหมาป่าของฉันสำหรับดาบเล่มนี้ กริช และเขาเสียแขนข้างหนึ่งไป”
“คลื่นโลหิต?” หม่าเต๋อหงก็ตกตะลึงไปชั่วขณะและนึกถึงรูปลักษณ์ของกริชเจ็ดมหัศจรรย์จากนั้นเขาก็โล่งใจแล้วพูดว่า “คลื่นโลหิตงั้นเหรอ..ก็สมชื่อดีเพราะมีดเล่มนี้เป็นอาวุธของพ่อเอ็งในสมัยนั้นแต่ไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปไหน..เขาไม่ได้ใช้มันต่อสู้กับฟู่จื้อซาน..ด้วยเหตุนี้หลังจากที่พ่อของเอ็งตายไปก็ไม่มีใครรู้เลยว่ามันหายไปไหน..ฉันไม่ได้คาดหวังเลยว่ามันจะมาอยู่ในมือของเอ็ง..ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะถูกกำหนดเอาไว้แล้วสินะ” หลังจากหยุดไปชั่วขณะหม่าเต๋อหงก็พูดต่อ “มีดเล่มนี้เป็นสมบัติที่ทุกคนในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณหมายปองและถ้าไม่จำเป็นในอนาคตเอ็งก็ไม่ควรเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้..ไม่อย่างนั้นเอ็งจะต้องลำบากอย่างแน่นอน”
เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ผมรู้ครับ”
“ใช่” หม่าเต๋อหงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและค่อนข้างพอใจกับทัศนคติของเย่เชียน “คืนนี้ไม่ต้องกลับหรอก..อยู่ที่นี่และพูดคุยกันดีกว่า..ฉันมีเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟังอีกมากมายเลย” หม่าเต๋อหงพูด
“ใช่พี่ชายคืนนี้พี่ต้องอยู่ที่นี่..ผมต้องการให้พี่ชายมาเป็นอาจารย์ของผม..ผมต้องการเรียนทักษะการต่อสู้จากพี่ชาย” หม่าห่าวยู่พูด
เย่เชียนหยุดไปครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มและพูดว่า “อย่าบอกนะว่าปู่ของเอ็งไม่ได้สอนเอ็งเลยเหรอ?”
“โถ่ทักษะที่ปู่สอนนั้นง่ายเกินไปและมันไม่ได้ดูแข็งแกร่งเลย” หม่าห่าวยู่ก็ทำหน้าบึ้งเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ผมชอบพวกที่เก่งๆเพราะพวกเขาคือนักสู้ตัวจริงและพี่ชายเองก็เช่นกันแต่พี่ชายดูมีพลังมากกว่าพวกเขา”
หม่าเต๋อหงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ตำราที่ตระกูลหม่าของฉันสืบทอดกันมาเป็นสมบัติอันล้ำค่าแต่เด็กคนนี้ไม่ทำตามความคาดหวังของพวกเราเลย..เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อต่อสู้เลย..เขามีพรสวรรค์อยู่ในตัวของเขาแต่เขาแค่ไม่ยอมเรียนรู้มันให้ดี”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆเพราะศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณนั้นดีมากแต่เนื่องจากการฝึกที่เข้มงวดเกินไปจึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้พลังและขีดจำกัดของพวกเขาได้ ซึ่งหม่าห่าวยู่ที่ไม่ยอมเรียนรู้ต่อก็เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม? อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าทักษะการต่อสู้ที่สอนโดยหม่าเต๋อหงจะไร้ประโยชน์เสมอไปเพราะสิ่งที่สำคัญคือต้องดูว่าคนประเภทไหนที่ได้รับการฝึกสอน
“แบบนั้นก็ได้แต่เอ็งต้องเชื่อฟังปู่ของเอ็งด้วย..ไม่งั้นมันจะไม่เหมือนว่าฉันไปขโมยหลานชายอันมีค่าของเขาไปเหรอ?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่ฉันมีเวลาฉันก็จะสอนให้..แต่ฉันบอกก่อนเลยนะว่าทักษะการต่อสู้ของฉันมันไม่เหมือนกับคนอื่นๆและเอ็งก็ไม่สามารถที่จะละเลยขั้นตอนการฝึกได้เลย..ยิ่งไปกว่านั้นทักษะเหล่านี้ไม่ได้มีเอาไว้ใช้รังแกคนที่อ่อนแอกว่า”
“ไม่มีปัญหาผมสัญญาว่าผมจะไม่รังแกคนอ่อนแอ”
เย่เชียนแสยะยิ้มและตบหัวหม่าห่าวยู่เพราะเด็กคนนี้พูดว่าจะไม่รังแกคนอ่อนแอแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าหากหม่าห่าวยูคิดว่าตัวเองอ่อนแอกว่าเขาก็เขาก็สามารถต่อสู้และทำร้ายคนเหล่านั้นได้อยู่ดี อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องของเย่เชียนอยู่ดี
คืนนั้นเย่เชียนไม่ได้ออกจากบ้านของตระกูลหม่าและพูดคุยกับหม่าเต๋อหงจนถึงตอนเช้า ส่วนหม่าห่าวยู่ก็เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำเพราะหม่าเต๋อหงยังคงเข้มงวดกับเขาและต้องตื่นนอนตรงเวลาทุกวันและไม่มีการละเลยอย่างแน่นอน ระหว่างหลังอาหารมื้อเย็นหม่าเต๋อหงก็ยังคงอยากจะพูดคุยแต่เย่เชียนนั้นไม่สามารถอยู่ต่อได้ดังนั้นหลังจากผ่านไปได้ไม่นานหม่าเต๋อหงก็ไม่รบกวนอีกต่อไปและปล่อยให้เย่เชียนไปนอน
เช้าวันรุ่งขึ้นเย่เชียนตื่นขึ้นด้วยเสียงตะโกนของหม่าเต๋อหงและหลังจากลงบันไดไปเย่เชียนก็เห็นหม่าเต๋อหงกำลังคุยโทรศัพท์อย่างโกรธเกรี้ยวและดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น “ผมขอเตือนคุณนะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนว่านี่เป็นเรื่องของกองทัพและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของคุณ..ทางเราจะแก้ไขปัญหาของเราเองและเราไม่ต้องการคนจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติเข้ามาแทรกแซง..ถ้าพวกคุณกล้าเคลื่อนไหวล่ะก็อย่ามาโทษผมที่ไม่ไหวหน้าคุณก็แล้วกัน” หลังจากพูดจบหม่าเต๋อหงก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากหันไปแล้วเห็นเย่เชียนเดินลงมาที่ชั้นล่างแล้วท่าทางของหม่าเต๋อหงก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดว่า “หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเป็นคนที่พูดด้วยยากจริงๆ..สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติไม่ได้มีอำนาจในทุกๆอย่างแล้วแบบนี้จะเข้ามาแทรกแซงทุกเรื่องได้ยังไง!”
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?” เย่เชียนถาม
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหม่าเต๋อหงก็พูดว่า “มันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ..มีทหารชื่อเจียงซินในหน่วยพิทักษ์มังกรได้หลบหนีไปพร้อมปืนพกBeretta92สองกระบอกและกระสุนอีกมากกว่าหนึ่งร้อยนัด..หน่วยพิทักษ์มังกรเป็นกองกำลังพิเศษที่ทรงพลังที่สุดในประเทศจีนและเจียงซินก็มีฝีมือดีที่สุดในหมู่พวกเขา..ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้เพราะงั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขามันก็จะควบคุมอะไรไม่ได้เลย”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะเขาไม่มีสิทธิ์พูดถึงเรื่องแบบนี้และมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาเลย
“แต่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพร้อมที่จะลงมือและฉันก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาทำอย่างนั้นได้..ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรคนที่รับผิดชอบหน่วยพิทักษ์มังกรก็คือฉันและพวกเขาก็เป็นคนของฉันเพราะงั้นพวกเขาจะต้องไม่ตายในกำมือของคนอื่น” หม่าเต๋อหงพูดต่อ “เสี่ยวเชียนไปกองทัพกับฉัน!”
เย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อยโดยไม่รู้ว่าทำไมและเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหม่าเต๋อหงถึงต้องการให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งหน่วยพิทักษ์มังกรเป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศจีนและสื่อกับหนังสือพิมพ์หลายแห่งก็เริ่มรายงานและออกข่าวเกี่ยวกับกองกำลังพิเศษใน 7 เขตสงครามหลักเมื่อหลายปีก่อน โดยมีหน่วยพิทักษ์มังกร,หน่วยคอมมานโดเสือดาวหิมะ,หน่วยรบดาบสายฟ้า,หน่วยลับของกองทัพอากาศ,หน่วยซีลของกองทัพเรือรวมไปถึงหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าของจีนและยังมีกองกำลังพิเศษของกองทัพบกสิบเหล่าทัพที่คนทั่วไปรู้จักกันดี
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงกองกำลังรบขนาดกลางเล็กถึงกลางนั้นเพราะพลังที่ทรงพลังที่สุดของประเทศจีนล้วนเป็นความลับที่ไม่ได้ประกาศออกมาเสมอ แต่แน่นอนว่าความสามารถของสมาชิกในกองกำลังเหล่านี้ในเมืองปักกิ่งนั้นเหนือกว่าพวกหน่วยพิเศษของเขตทหารพอสมควร
บุคลากรของหน่วยพิทักษ์มังกรนั้นเป็นยอดฝีมือและสิ่งที่พวกเขาได้รับไม่เพียงแต่การฝึกหลักสูตรทหารพิเศษเท่านั้นแต่ยังรวมถึงผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณด้วย ดังนั้นหากบุคคลดังกล่าวหลุดออกไปล่ะก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือบุคคลที่อันตรายอย่างยิ่งและมีบทบาทมากพอจะทำให้ประเทศจีนต้องสั่นคลอน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่หม่าเต๋อหงจะประหม่าถึงขนาดนี้
“พี่ชายช่วยอะไรผมหน่อยได้มั้ย” เด็กน้อยเดินไปข้างๆเย่เชียนและดึงแขนของเขาอย่างเงียบๆแล้วพูดเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วก้มลงไปฟัง “ลุงเจียงเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมขริงๆผมชื่นชมเขามานานแล้ว..พี่ชายสัญญากับผมได้มั้ยว่าพี่ชายจะช่วยเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้?” เห็นได้ชัดว่าหม่าห่าวยู่เองก็ตระหนักดีว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรเมื่อเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น
เย่เชียนตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเพราะสำหรับชายชาติทหารที่แท้จริงเย่เชียนก็เคารพพวกเขาเสมอและไม่ว่าพวกเขาจะทำผิดอะไรก็ตามแต่มันไม่สามารถลบล้างคุณงามความดีในสิ่งที่เขาทำไปได้
หลังออกจาบ้านของหม่าเต๋อหงแล้วเย่เชียนก็เข้าไปในรถ Jeep Land Rover และขับรถออกจากเขตหมู่บ้านไปและตรงไปที่มี่หยุนซึ่งมณฑลมี่หยุนนั้นตั้งอยู่ที่เชิงเขาหยานซาน สถานที่ที่เย่เชียนกำลังจะไปนั้นอยู่ในภูเขาที่ลึกมากซึ่งหลังจากผ่านอ่างเก็บน้ำมี่หยุนไปแล้วรถก็ออกจากถนนและขับไปตามถนนลูกรังที่ขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อและถนนลูกรังแทรกก็เข้าไปในหุบเขาลึกสุดของหุบเขาแห่งนี้และหลังจากผ่านเข้าไปก็พบป้ายปูนขาวขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรสีแดงที่โดดเด่นมากกว่า “เขตปลอดทหาร”
หลังจากผ่านถนนหนทางที่เป็นหลุมเป็นบ่ออีกครึ่งชั่วโมงมันก็ค่อยๆเข้าใกล้ค่ายทหารในภูเขาลึก โดยบรรยากาศมีลมพัดแรงและกิ่งของต้นสนก็แกว่งไกวไปทั่วภูเขา เมื่อได้ยินเสียงปืนและเสียงตะโกนของผู้คนแล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับว่าเขาย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เขาอยู่ในฐานบัญชาการกลางเขี้ยวหมาป่า ซึ่งเขาคติดว่าทำไมเขาไม่ใช้ชีวิตแบบนี้ไปทั้งวันล่ะ? ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างซ้ำซากจำเจแต่ก็สะดวกสบายและน่าตื่นเต้นอย่างมาก
เพราะเย่เชียนรู้ดีว่าเมื่อเขาหยุดฝึกนั่นก็หมายความว่ามันมีงานรอเขาอยู่และเมื่อทหารรับจ้างมีภารกิจนั่นก็หมายความว่ามันจะต้องมีอันตรายถึงชีวิตและถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวความตายในสนามรบแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเต็มใจที่จะตายเพราะบางทีพวกเขาอาจจะรักชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนทั่วๆไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งการรักชีวิตของตัวเองนั้นมันจะทำให้ลืมทุกๆอย่างในสนามรบและแค่คิดถึงแต่การเอาตัวรอดจนกระทั่งลืมความกลัวและความตายไปอย่างสมบูรณ์แบบ
นี่คือเครื่องย้ำเตือนสติของเย่เชียนที่แสดงให้เขาเห็นว่าความโหดเหี้ยมและความรุนแรงของสนามรบเป็นอย่างไรและคราวนี้เองที่ความปรารถนาอันกระหายเลือดของเย่เชียนที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของเขาก็ได้ปลุกเร้าขึ้นมาแล้วจริงๆ ซึ่งนี่คือเส้นทางที่แท้จริงในอนาคตของเขา
ถ้าเป็นไปได้เย่เชียนก็หวังที่จะย้อนเวลากลับไปในอดีต!