ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 864 รู้ทัน
ตอนที่ 864 รู้ทัน
ในเช้าตรู่เมื่อแสงแรกของแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทางหน้าต่างเย่เชียนก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ และเมื่อหันไปมองที่แม่ม่ายดำจือเหวินที่หลับอยู่ข้างๆ เขาก็เห็นรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของเธอและคิดว่าเธอคงกำลังฝันอะไรบางอย่างใช่ไหม? เมื่อนึกถึงความบ้าคลั่งของแม่ม่ายดำจือเหวินเมื่อคืนแล้วเย่เชียนก็ยังคงมีความกลัวอยู่เล็กน้อยเพราะผู้หญิงในวัยสามสิบนั้นเหมือนกับหมาป่าและวัยสี่สิบก็เหมือนเสือซึ่งมันเป็นความจริง
เมื่อมองดูการหลับนอนอันแสนหวานแม่ม่ายดำจือเหวินเย่เชียนก็รู้สึกดีเพราะดูเหมือนว่าเธอไม่ได้นอนหลับอย่างสบายมาเป็นเวลานาน แท้ที่จริงแล้วถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะแข็งแกร่งเพียงใดแต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงและมีภาระมากเกินไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่เธอแบกรับแรงกดดันนี้เอาไว้เธอก็ต้องการไหล่ผู้ชายเอาไว้พึ่งพิง
สิ่งที่เย่เชียนกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือจะอธิบายให้หลินโรวโร่วและผู้หญิงคนอื่นๆ อย่างไร พวกเธอใจดีกับเขามากและพวกเธอก็ไม่ได้ทิ้งเขาเพราะความเจ้าชู้ของเขาและพวกเธอยังคงอยู่เคียงข้างเขาโดยไม่เสียใจและแต่ตอนนี้เขาก็เป็นหนี้หนี้พวกเธอจริงๆ
เย่เชียนเชื่อสิ่งที่แม่ม่ายดำจือเหวินพูดว่าถ้าหากเย่เชียนไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับเธอแม่ม่ายดำจือเหวินก็เลือกที่จะจากไปอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเย่เชียนไม่สามารถตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้เพราะแม่ม่ายดำจือเหวินไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะมีเซ็กส์เพื่อความได้ ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการรู้สึกผิดต่อเธอหรือทำร้ายเธอเพราะท้ายที่สุดร่างกายของผู้หญิงคนนี้มีรอยแผลเป็นอยู่แล้วและไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้อีก
แม่ม่ายดำจือเหวินก็พลิกตัวและวางต้นขาของเธอเอาไว้บนร่างกายของเย่เชียนและตื่นขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อเธอลืมตาขึ้นและเห็นว่าเย่เชียนมองมาที่เขาอย่างตั้งใจแล้วใบหน้าของเธอก็ดูเขินอายแปลกๆ และเธอก็พูดว่า “เธอตื่นแล้วเหรอ” ขณะที่เธอพูดเธอก็รีบขยับขาของเธอออกจากร่างกายของเย่เชียน
“เธอนอนต่อเถอะเดี๋ยวฉันจะไปทำอาหารให้” แม่ม่ายดำจือเหวินเอาผ้าเช็ดตัวมาพันรอบตัวเธอแล้วลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็ถือเสื้อผ้าเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอเดินอย่างยากลำบากและดูเหมือนว่าเมื่อคืนนี้จะบ้าไปแล้วจริงๆ เพราะจนถึงตอนนี้เธอยังคงมีความเจ็บปวดที่ช่วงล่างอยู่เลย
หลังจากมองดูแม่ม่ายดำจือเหวินออกมาจากห้องน้ำแล้วเย่เชียนก็จะไปอาบน้ำแต่งตัวเช่นกัน “ตื่นแล้วเหรอ..ทำไมไม่นอนต่ออีกสักหน่อยล่ะ..เมื่อคืน..” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แม่ม่ายดำจือเหวินก็กลืนคำพูดลงไปและหน้าของเธอก็ยิ่งเขินอายมากขึ้นไปอีก “ฉันไปทำกับข้าวก่อนนะ..เธอไปอาบน้ำก่อน”
เย่เชียนพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรและเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำเมื่อน้ำเย็นๆ ไหลผ่านร่างกายของเขาเย่เชียนก็รู้สึกสบายไปทั้งตัวและพลังปราณในร่างกายของเขาก็หมุนเวียนจนความอ่อนเพลียจากเมื่อคืนนี้หายไปทันที เย่เชียนรู้สึกชัดเจนว่าพลังปราณที่หมุนเป็นเกลียวในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อยและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เป็นเวลานานคำอธิบายเดียวก็คือเมื่อเขาอยู่กับแม่ม่ายดำจือเหวินเธอได้ส่งเสริมการพัฒนาของพลังปราณโดยไม่ได้ตั้งใจ
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าเขาจะใช้วิธีนี้อีกในอนาคตเพราะในกรณีนี้พลังปราณของเขาจะได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่ง หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเย่เชียนก็เดินออกจากห้องน้ำและที่ประตูห้องครัวเขาก็เห็นแม่ม่ายดำจือเหวินที่กำลังมีความสุขและยุ่งอยู่กับการทำอาหาร ใจของฉัน
เห็นได้ชัดว่าแม่ม่ายดำจือเหวินอารมณ์ดีมากเพราะเธอฮัมเพลงขณะทอดไข่และเมื่อเห็นเย่เชียนเธอก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “รอก่อนมันใกล้จะเสร็จแล้ว”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหารและนั่งลง อันที่จริงเย่เชียนปรารถนาชีวิตแบบนี้เมื่อเขาตื่นขึ้นทุกเช้าเขาหวังให้มีผู้หญิงทำอาหารเช้าให้เขากินและถึงแม้ว่ามันอาจจะดูน่าเบื่อแต่ก็เป็นความสุขชนิดหนึ่ง เพียงแค่ว่าความฝันแบบนี้ดูเหมือนห่างไกลสำหรับเย่เชียนเพราะเขายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำและมีหลายสิ่งที่เขาปล่อยวางไม่ได้บางทีเขาก็สามารถมีชีวิตเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเขาประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงและไม่มีข้อจำกัดใดๆ อีกต่อไป
ไม่นานนักแม่ม่ายดำจือเหวินก็เตรียมอาหารเช้าและนำแฮมกับไข่ดาวมาเสิร์ฟพร้อมกับนมสดร้อนๆ “มาเถอะ..นี่คือฝีมือการทำอาหารเช้าของฉัน” แม่ม่ายดำจือเหวินยื่นจานให้เย่เชียนและพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เชียนก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยและกินอย่างช้าๆ ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ อันที่จริงเขากำลังคิดที่จะพูดกับแม่ม่ายดำจือเหวินแต่คนฉลาดๆ อย่างเธอจะไม่รู้ได้อย่างไร ซึ่งมันยอมรับได้ยากเล็กน้อยดังนั้นเย่เชียนจึงพูดเรื่องอื่นๆ เพื่อต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ
“พี่สาวเหวินวันนี้ผมจะต้องกลับแล้ว” หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า
แม่ม่ายดำจือเหวินที่กำลังพูดอย่างมีความสุขก็หยุดพูดกะทันหันเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเย่เชียนและหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม” เบาๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตามมันมีความผิดหวังในสายตาของเธอจากนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ฉันรู้..ฉันไม่เป็นไร..ฉันจะไปส่งเธอเอง”
เธอพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ดูเหมือนเธอไม่เสียใจแต่ทำไมเธอถึงแสดงออกมาได้ดีในเวลาเช่นนี้และไม่ว่าเธอจะพยายามเก็บความเสียใจเอาไว้เพียงใดและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงความสงบของเธอ อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญกับช่วงเวลานี้เธอก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเธอได้เลย
“พี่เหวินเข้าใจผิดแล้ว..มันแค่ยังมีสิ่งที่สำคัญในปักกิ่งที่รอให้ผมกลับไปจัดการ..ผมไม่สามารถเสียเวลากับสิ่งต่างๆ ได้มากเกินไป..ถ้าพี่เหวินต้องการก็มาหาผมที่ปักกิ่งได้เสมอหรือถ้าผมมีเวลาผมก็จะกลับมาหาพี่เหวิน” เย่เชียนพูด
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดและเธอก็แปลกใจเพราะเธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเย่เชียนคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อเธอพูดแบบนั้นและไม่ว่าเย่เชียนจะชอบเธอหรือรู้สึกว่าสงสารเธอก็ตาม “ได้สิ” แม่ม่ายดำจือเหวินพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “บริษัทของฉันมีหลายสิ่งที่ต้องจัดการในวันนี้และฉันต้องอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนิวเปิ่นให้ผู้บริหารฟัง..ฉันอาจจะไม่สามารถพาเธอไปส่งที่สนามบินได้”
เย่เชียนเข้าใจความคิดของเธอในตอนนี้ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีกเพียงแค่พยักหน้า
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเย่เชียนก็ออกจากบ้านของแม่ม่ายดำจือเหวินและโบกรถแท็กซี่เพื่อขับไปยังสนามบิน เมื่อเห็นแผ่นหลังของเย่เชียนที่กำลังจะจากไปแม่ม่ายดำจือเหวินก็รู้สึกราวกับว่าเธอได้สูญเสียเขาไปตลอดกาลจนทั้งร่างกายและจิตใจของเธอดูเหมือนจะว่างเปล่าและโดดเดี่ยวอย่างมาก
เวลาประมาณสี่โมงเย็นเย่เชียนก็มาถึงสนามบินนานาชาติปักกิ่งจากนั้นเขาก็โทรไปหาหม่าเต๋อหงแล้วบอกว่าจะยังไม่ไปหาเพราะเย่เชียนต้องจัดการบางอย่าง ซึ่งเย่เชียนก็พูดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองปินไห่คร่าวๆ ทางอ้อมและเชื่อหม่าเต๋อหงจะสามารถเข้าใจสิ่งที่เขาพูดอย่างแน่นอน
จากสนามบินนานาชาติปักกิ่งเย่เชียนก็ขึ้นรถแท็กซี่ตรงไปยังบริษัทเครือน่านฟ้ากรุ๊ปและระหว่างทางเขาก็โทรไปหาเย่หานหลินและถามเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมสั้นๆ ซึ่งเย่หานหลินก็บอกเขาว่าเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้วและหูจื้อฟานตายแล้ว ส่วนเรื่องที่เขาตายนั้นเย่เชียนไม่ได้ถามเพราะเขาเชื่อในความสามารถของเย่หานหลินในการทำสิ่งต่างๆ และเนื่องจากเขาใช้วิธีการกำจัดจุดอ่อนของศัตรูดังนั้นเขาจะไม่รู้สึกผิดใดๆ
หลังจากมาถึงบริษัทเมื่อซือจื้อเห็นเย่เชียนกลับมาก็เห็นได้ชัดว่าเธอดูมีความกระตือรือร้นมากกว่าปกติและด้วยรอยยิ้มที่เย้ายวนใจมากบนใบหน้าของเย่เชียนที่ทางเข้าบาร์ในคืนนั้นซือจื้อก็รู้สึกประทับใจในการแสดงของเย่เชียนและเธอก็สังเกตเห็นอย่างแผ่วเบาว่าอิทธิพลของเย่เชียนนั้นยิ่งใหญ่กว่าชางกวนเจ้อมาก เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและรู้ว่าควรเลือกอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่บอกชางกวนเจ้อว่ามันเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น
ขณะที่เย่เชียนเดินเข้าไปในสำนักงานซือจื้อก็เดินเข้ามาพร้อมกับกาแฟหนึ่งถ้วยในมือของเธอและนั่งลงตรงข้ามกับเย่เชียนจากนั้นก็ยื่นกาแฟให้เย่เชียนแล้วพูดว่า “คุณเย่..ดื่มกาแฟสักแก้วสิคะ”
เย่เชียนตกตะลึงอยู่พักหนึ่งแต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยกับความใส่ใจเป็นพิเศษของซือจื้อ จากนั้นเขาก็ยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “เป็นยังไงบ้าง..มีอะไรผิดปกติกับบริษัทหรือเปล่า”
“อะไรจะเกิดขึ้นกับบริษัทได้ล่ะ..ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี” ซือจื้อพูด “แต่เราจัดประชุมผู้บริหารกันเมื่อเช้านี้เพื่อหารือเกี่ยวกับการลงทุนด้านโฆษณาของปีนี้..การลงทุนด้านโฆษณาประจำปีของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปมีงบประมาณอยู่ที่ยี่สิบล้านหยวนและบริษัทที่จะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับเราก็จะมีตัวเลือกอยู่สี่บริษัทด้วยกัน”
“ธุรกิจโฆษณา?” เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและนึกถึงแผนการที่ฉีเยว่บอกเขา “แล้วบริษัทไหนที่พวกคุณตัดสินใจเลือก” เย่เชียนถาม
“ในตอนนี้มีบริษัทที่เหมาะสมกับธุรกิจของเรามีอยู่สี่บริษัท..ซึ่งทั้งหมดเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่และมีชื่อเสียงในปักกิ่ง..เดิมทีเมื่อเช้านี้รองผู้จัดการทั่วไปวางแผนจะนำโปรเจคโฆษณานี้ให้กับบริษัททะเลสี่ทิศแต่ผู้จัดการแผนกอื่นๆ บอกว่าพวกเขาจะต้องรอให้คุณกลับมาก่อนจึงจะตัดสินใจได้” ซือจื้อพูด “นี่เป็นกฎที่กำหนดโดยผู้จัดการสาขาคนก่อนเพราะงั้นสัญญาทางธุรกิจทั้งหมดของบริษัทจะต้องมีลายเซ็นของผู้จัดการสาขาก่อนถึงจะมีผลบังคับใช้”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าผมไม่รู้ว่าคุณเป็นผู้จัดการแผนกการเงินผมคงคิดว่าคุณเป็นรองผู้จัดการสาขาไปแล้วเพราะงั้นทำไมคุณถึงไม่มาเป็นผู้ช่วยของผมล่ะ..คุณน่าจะช่วยอะไรผมได้มากมายหลายอย่างเลย”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแต่ฉันก็ชอบทำงานด้านการเงินมากกว่า..ถึงแม้ว่าการจัดการกับตัวเลขทั้งวันดูเหมือนจะค่อนข้างยุ่งยากและก็ใช้เวลานานกว่าจะทำได้แต่ฉันคิดว่าฉันถนัดแบบนั้นมากกว่า” ซือจื้อพูด “นอกจากนี้งานของผู้ช่วยก็น่าจะยุ่งยากและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ..ฉันคิดว่าฉันอาจทำได้ไม่ดีพอและคงทำให้คุณเย่โกรธตลอดทั้งวัน”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ที่จริงแล้วตราบใดที่ผมเห็นคุณทุกวันไม่ว่าผมจะโกรธหรืออารมณ์เสียแค่ไหนแต่ผมจะไปโกรธคุณหรือหงุดหงิดใส่คุณที่สวยขนาดนี้ได้ยังไง..เอาเถอะช่วยบอกผู้บริหารและผู้จัดการให้ด้วยว่าฝ่ายบริหารของบริษัทจะจัดประชุมในเวลาห้าโมงเย็นเพื่อหารือเกี่ยวกับธุรกิจโฆษณาในปีนี้..คงไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?”
“ยินดีค่ะ” ซือจื้อยิ้มอย่างมีเสน่ห์และพูด