ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 149 หยกปีศาจ (1)
บทที่ 149 หยกปีศาจ (1)
ฟิ้วๆๆๆๆ!
เส้นผมหลายเส้นพุ่งมาราวกับหนามแหลม ปักบนพื้นและกำแพงทั่วตัวลานจนมีแต่รู
ชายชรายืนนิ่งไม่ไหวติงใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ผมขาวด้านหลังเหมือนกับไร้ที่สิ้นสุด ไล่ตามหลี่ซุ่นซีกับไป๋ชิวหลิงอย่างบ้าคลั่ง
“เป็นหยกลี้ลับจริงๆ เจ้าทำนายตำแหน่งที่ข้าลงมือได้” ชายชราดวงตาเป็นประกายสีเขียวที่เข้มข้นแยงตาขึ้นเรื่อยๆ
เขาแสยะยิ้ม ร่างกายบวมพองบิดเบี้ยวน้อยๆ กล้ามเนื้อกระดูกค่อยๆ ขยายใหญ่ ร่างกายสูงขึ้นช้าๆ เปลือกนอกมีผิวชั้นนอกสีดำปกคลุมชั้นหนึ่ง ผมขาวจำนวนมากม้วนสยายอยู่ที่ท้ายทอยเหมือนกับสายน้ำ
ชั้นผิวสีดำชั้นหนึ่งค่อยๆ ปกคลุมใบหน้าของชายชรา
“ร่างเดิมของข้าหลบเลี่ยงการทำนายของหยกลี้ลับได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นเพราะการโจมตีของข้าไม่อาจทำนายได้อยู่แล้ว ขอแค่ข้าต้องการ ก็สามารถปิดผนึกลานแห่งนี้ได้โดยสมบูรณ์ ข้าที่อยู่ในนี้ไร้ศัตรูเด็ดขาด…”
เขากางมือออก ผมขาวจำนวนมากทะลักเข้าหาไป๋ชิวหลิงกับหลี่ซุ่นซีราวกับกระแสคลื่น เส้นแสงรอบๆ ถูกบังไปชั่วขณะ ร่างกายของเขาสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมจำนวนมากเกาะกลุ่มติดบนตัวเขา ทำให้ตัวเขาขยายใหญ่ขึ้นอีกขั้น
“เห็นหรือยัง นี่คือพลังของข้า ต่อให้มีหยกลี้ลับทำนายแล้วอย่างไร เมืองอินทรีคู่ยังมีใครช่วยพวกเจ้าได้ ไม่มีกระมัง ไม่มีสักคนเดียว! ต่อให้พวกเจ้าหนีสุดชีวิต ต่อให้พวกเจ้าแหกปากร้อง ต่อให้พวกเจ้าควบคุมหยกลี้ลับได้อย่างสมบูรณ์แบบ ต่อให้…”
ตูม! เสียงดังกึกก้อง
กำแพงด้านหลังชายชราพลันระเบิดออก เงาร่างมหึมาสูงสามหมี่กว่าๆ พุ่งเข้ามากระแทกด้านหลังชายชราอย่างรุนแรง
อั่ก!
ชายชราเงยหน้ากระอักเลือด ร่างกายถูกชนเป็นมุมประหลาด เสียงแกร๊กดังขึ้น พริบตาเดียวไม่ทราบมีกระดูกหักกี่ท่อน ลอยออกไปด้านหน้าเหมือนกับจรวด แล้วกระแทกใส่พื้นด้านหน้าดังตูม
ครึ่กๆ..!
ตัวลานสั่นไหว
ชายชราฝืนลุกขึ้นจะต่อต้าน แต่เส้นผมตรงท้ายทอยถูกคนจับไว้ แรงอันมหาศาลที่ไม่อาจขัดขืนได้ส่งมาจากหนังศีรษะ
“ตอนแรกข้าจะไปแล้ว! ให้พวกเจ้าจัดการธุระเอง ผลลัพธ์เล่า ผลลัพธ์เล่า!?”
ลู่เซิ่งมีสีหน้าดุร้าย จิกผมของเขากระแทกเขาลงกับพื้นดิน
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
ท่ามกลางเสียงสั่นสะเทือนที่ทำให้ร่างชา ไม่ทราบกระแทกไปนานเท่าไหร่ จนกระทั่งลู่เซิ่งระบายเพลิงโทสะในใจหมด โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ค่อยพบว่าเส้นผมที่ตัวเองจับไว้ นอกจากเลือดเนื้อไม่มีสิ่งใดอีก จำเป็นต้องหยุด
ก่อนนำเส้นผมมัดกับเอว
ฟู่ว…!
เขาเป่าลม ในตัวลานมีลมพัดขึ้นมา
ตอนนี้บนพื้นระหว่างเขากับพวกหลี่ซุ่นซี มีหลุมลึกกว้างขวางเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าหมี่เพิ่มขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะลู่เซิ่งกระแทกศีรษะชายชราอย่างบ้าคลั่ง
ชายชราตายแล้ว หลี่ซุ่นซีกับไป๋ชิวหลิงยืนตกตะลึงเหมือนไก่ไม้ ดวงตาแข็งทื่อขณะมองเขา
“อ้อ? พี่หลี่นี่นา ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่” ลู่เซิ่งมองหลี่ซุ่นซีซึ่งอยู่ที่นี่อย่างประหลาดใจ ส่งเสียงถาม
“…นี่สมควรเป็นสิ่งที่ข้าสมควรถามมากกว่ากระมัง” หลี่ซุ่นซีสายตาสั่นสะท้านขณะมองเนื้อเหลวเหมือนโคลนบนพื้น ยังมีหลุมขนาดใหญ่หลายหลุมที่ถูกกระแทกยุบ ชายชราที่แข็งแกร่งจนวิปริตเมื่อครู่จบสิ้นเช่นนี้แล้ว
ลู่เซิ่งกล้าแข็งขนาดนี้เลยหรือ
เขาไม่เชื่ออยู่บ้าง แต่พอนึกถึงภาพศึกใหญ่กับทูตเขตแดนแห่งจวนอู๋โยวก่อนหน้า ก็เข้าใจทันที
หลี่ซุ่นซีละสายตาอย่างลำบากยากเย็น กลืนน้ำลายเอื๊อก มองลู่เซิ่งในเวลานี้
ร่างกายขนาดใหญ่ที่คุ้นเคยแม้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้า แต่โดยรวมแล้วยังเหมือนเดิม
เพียงแต่ในโชคชะตาจากหยกลี้ลับที่เขาเห็น ไม่ได้มีลู่เซิ่งออกหน้า ที่นี่เดิมทีสมควรเป็นเขาพาไป๋ชิวหลิงหนีตายจึงจะถูก
แม้เขาจะเห็นงานแลกเปลี่ยนวรยุทธ์จากการทำนาย แต่ว่านั่นไม่ใช่พรรควาฬแดง หนำซ้ำผู้นำของพรรคนั้นยังเป็นชายชราที่แก่มาก ไม่เห็นลู่เซิ่งปรากฏตัว ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายอยู่แต่แรก เขาคงจะไปแจ้งข่าวทันที อาจจะอาศัยพลังของเขาพลิกโศกนาฎกรรมรอบนี้ได้…
“พวกท่าน…พวกท่านรู้จักกัน?!” ไป๋ชิวหลิงไม่รู้จักสภาพหยางโชติช่วงของลู่เซิ่ง ตอนนี้ตกใจกลัวจนหลบไปอยู่ด้านหลังหลี่ซุ่นซี สำหรับนาง ตัวประหลาดจวนอู๋โยวเพิ่งหายไป ก็มีตัวที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมา ถ้าไม่ใช่เห็นว่าหลี่ซุ่นซีรู้จักอีกฝ่าย นางคงเลือกหมุนตัวหนีไปก่อนแล้ว
“ที่แท้เป็นหลานชิวหลิง ข้าเอง ข้าอาลู่ของเจ้าเอง” ลู่เซิ่งร่างกายหดเล็กลงด้วยความเร็วสูง กลับคืนสู่สภาพเดิม ไป๋ชิวหลิงเบิกตาโตพูดไม่ออก
“แย่แล้ว รีบไป หยกปีศาจจะระเบิดแล้ว!” หลี่ซุ่นซีพลันได้สติ ร้องขึ้น
“หยกปีศาจหรือ” ลู่เซิ่งเห็นท่าทางของเขา ก็ทราบว่าเป็นของที่อันตรายถึงขีดสุด ไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่างกายประดุจสายฟ้า คว้าคนทั้งสอง กระโจนออกจากลาน ไล่ตามขบวนพรรควาฬแดง
ส่วนชายชราคนนั้นก็แค่ระดับจตุลักษณ์ ความสามารถต่างกันเกินไป กอปรกับป้องกันไม่ทันถูกโจมตีใส่ ร่างกายโดนบดเป็นเนื้อเหลว ย่อมไม่รอด
ทางด้านจัตุรัสแดงยังมีเวลาคิดบัญชี ตอนเห็นสัญลักษณ์บนโคมไฟ ลู่เซิ่งก็ทราบว่าจัตุรัสแดงจะต้องสอดขาเข้ามาที่นี่
เขาพาคนทั้งสองพุ่งปราดถึงขบวนพรรควาฬแดงในอึดใจเดียว ตอนนี้ผู้คนหนีถึงสถานที่ใกล้ประตูเมืองอินทรีคู่แล้ว
เมืองอินทรีคู่มืดมิด หมอกสีเขียวเข้มคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง อาคารบ้านเรือนในเมืองเลือนรางในม่านหมอก เงียบสงัดน่ากลัว
“ประมุขพรรค!”
“ประมุขพรรคกลับมาแล้ว!”
เห็นลู่เซิ่งกลับมาพร้อมกับหิ้วคนสองคนในมือ ยอดฝีมือในพรรคก็พากันเข้ามา
“ออกไปก่อนค่อยว่ากัน!” ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงกลางขบวนรถอย่างแผ่วเบา กล่าวเสียงกังวาน
ผู้คนรับคำสั่ง ถลันไปด้านหน้า พวกทาสศพค่อยๆ เดินออกมาจากมุม เคลื่อนไหวเข้าหาขบวนเหมือนกับผีดิบที่เชื่องช้า
พลพรรคแต่ละคนถือดาบต่อสู้กับทาสศพเป็นพัลวัน ไม่สนใจความอึดอัดในตอนแรก ทาสศพจำนวนมากถูกคนของพรรควาฬแดงที่ติดอาวุธพร้อม ฟันล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ภูตผีเหล่านี้ดูน่ากลัว แต่ความจริงอ่อนแอ ได้แต่รังแกคนธรรมดา
ภายใต้การนำของยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งหลายคนโดยมีลู่เซิ่งเป็นหัวหอก ทุกคนเร่งความเร็วไปด้านหน้า ทาสศพจำนวนมากติดตามมาด้านหลัง ยังคงไม่อาจทำอะไรขบวนพรรควาฬแดงได้
ลู่เซิ่งขี่ม้า ปล่อยพวกหลี่ซุ่นซีไว้บนม้าตัวหนึ่งทางด้านหลัง คุ้มครองไว้อยู่กลางขบวน
เขาฟันดาบหนึ่งลงไป กระแทกทาสศพหลายตัวที่ขวางทางเบื้องหน้าออก แล้วหันไปถามหลี่ซุ่นซี
“หยกปีศาจที่ท่านว่าคืออะไร เหตุใดจึงดึงดูดภูตผีมามากมายขนาดนี้”
หลี่ซุ่นซีในที่สุดก็ปลอดภัยชั่วคราว ผ่อนลมหายใจ มองทาสศพที่ค่อยๆ ล้อมเข้ามาอย่างระมัดระวัง
“หยกปีศาจไม่ได้ดึงดูดเจ้าพวกนี้มา เจ้าพวกนี้เป็นตัวประหลาดที่จวนอู๋โยวกับจัตุรัสแดงสร้างขึ้น พวกเขาเซ่นสรวงเมืองอินทรีคู่ทั้งเมือง!
หยกปีศาจเป็นเศษศัสตรามารที่มีชื่อว่าสิบหอกผลึกปีศาจ ในหมู่อาวุธเทพศัสตรามารอานุภาพของมันถือว่าเหี้ยมหาญสุดขีด เพียงแต่ว่ามันรวมตัวกันสักครั้งจะใช้ได้แค่สิบหอก หลังใช้จบ พริบตาเดียวก็จะระเบิด เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ถูกพลังลี้ลับชักนำหายไป คิดจะใช้งานอีกรอบจำเป็นต้องรวบรวมเศษหยกปีศาจให้ครบ” เขารีบอธิบาย
“สิบหอกผลึกหยกปีศาจหรือ” ลู่เซิ่งนึกอะไรได้ เขาบังคับม้าที่ยกเท้าขึ้นอย่างตกใจกลัว “ออกไปก่อนค่อยว่ากัน!”
โครม!
ประตูเมืองที่เปิดครึ่งหนึ่งถูกกระแทกออก ลู่เซิ่งพุ่งออกไปเป็นคนแรก พลพรรควาฬแดงด้านหลังพากันวิ่งตามออกมา
ลู่เซิ่งหันกลับไปดู เห็นกำแพงเมืองอินทรีคู่เริ่มกลายเป็นกึ่งโปร่งใส
หลี่ซุ่นซีสีหน้าเคร่งเครียด “หยกปีศาจจะระเบิดแล้ว”
“ไปจากที่นี่ก่อน!”
ลู่เซิ่งร้องเรียกพลพรรค ทั้งกลุ่มเร่งความเร็วไปตามเส้นทางภูเขา จนกระทั่งใกล้ถึงสันเขา
ครึ่กๆ!
ทิศทางของเมืองอินทรีคู่บนยอดเขาแว่วเสียงสั่นสะเทือนเลือนราง
พวกลู่เซิ่งหันไปมอง
ป้อมปราการขนาดใหญ่บนหน้าผาตอนนี้สั่นไหวอย่างรุนแรง เดี๋ยวสูญหายเดี๋ยวปรากฏ โปร่งใสขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับเงาสะท้อนในผืนน้ำ และภาพลวงตาในกระจก
ตูม!”
พริบตานั้น ท่ามกลางสายตาของทุกคน เมืองบนภูเขาระเบิดดังกึกก้อง เศษโปร่งใสนับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย พริบตาเดียวก็หายสาบสูญ
“ไป!” ลู่เซิ่งตวาด เตือนสติคนที่ตกตะลึง
ม้าและเกวียนเทียมวัวมุ่งไปด้านหน้าอย่างทุลักทุเล เป็นเพราะวัวม้าจำนวนไม่น้อยตกใจจนขาอ่อน ปัสสาวะอุจจาระไหล ก้าวขาไม่ออก
ลู่เซิ่งต้องออกคำสั่งให้วัวม้าที่ขยับได้บรรทุกเสบียง สัมภาระส่วนหนึ่ง เร่งความเร็วมุ่งไปด้านล่างภูเขา
ขบวนออกจากเมืองอินทรีคู่มาถึงตีนเขา นายพราน ชาวนาจำนวนมากที่อยู่นอกเมืองรอดชีวิต ตอนนี้อ้าปากตาค้าง ส่วนน้อยยังคงหยุดอยู่ที่เดิมมองดูเมืองอินทรีคู่ที่หายไปบนยอดหน้าผา ส่วนใหญ่คุกเข่าร่ำไห้ อธิษฐานวิงวอน
ลู่เซิ่งขี่ม้าลงภูเขาอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นเขาใจเต้นเบาๆ หันกลับไปมองเมืองอินทรีคู่
แสงอันเจิดจ้าสายหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นบนยอดเขา หอกยาวที่เป็นผลึกสีม่วงเล่มหนึ่งเดี๋ยวโผล่เดี๋ยวหาย
หอกยาวยิ่ง เงาคนกำยำขี่ม้าตัวใหญ่สายหนึ่งลอยขึ้นด้านหลัง
ซู่!
พริบตานั้น หอกยาวพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นแสงสีทองกว้างใหญ่พุ่งสู่ท้องนภา
เมฆดำกลางท้องฟ้าถูกเจาะเป็นรูสีทอง ราตรีเหมือนกับกลายเป็นรุ่งอรุณ แสงทองบริสุทธิ์สาดลงช้าๆ เปลี่ยนอาณาเขตที่เมืองอินทรีคู่อยู่เป็นสีทองทั้งแถบ
เกิดลมกระโชกแรง นาข้าว ต้นไม้รอบๆ ภูเขาถูกพัดพุ่งเอียงไปด้านนอก ลู่เซิ่งต้องเอามือบังสองตา แสงทองเจิดจ้าสาดส่องจนลืมตาไม่ขึ้น
“เซียนสำแดงอภินิหาร!”
“องค์เทพผู้ช่วยให้พ้นทุกข์พ้นโศกมีความสุข!”
“พระพุทธองค์สำแดงปาฏิหาริย์แล้ว!”
พลพรรควาฬแดงที่อยู่รอบๆ คุกเข่า ตกใจหน้าถอดสี
แสงทองค่อยๆ มืดสลัวลง ลู่เซิ่งกวาดมองรอบๆ มีพลพรรควาฬแดงมากกว่าครึ่งคุกเข่ากับพื้นอธิษฐานด้วยความศรัทธา
“บัดซบ!” เขาโมโห ชักดาบใหญ่ออกมาฟันใส่หน้าผาด้านข้าง
ตูม!
เศษหินจำนวนมากถูกกระแทกกระเด็นออกมา พลพรรคจำนวนไม่น้อยถูกหินหล่นใส่จนหัวแตกเลือดอาบ ร้องอย่างตกใจ
“พวกสวะ! ลุกขึ้นมาซะ!” ลู่เซิ่งแผดเสียง เขาไม่เชื่อเทพเซียนพระพุทธเจ้าอันใด
พลพรรคตกใจตัวสั่นงันงกโดยไม่อาจควบคุม
……………………………………….