ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 150 หยกปีศาจ (2)
บทที่ 150 หยกปีศาจ (2)
สวีชุยตัวสั่น ข่มใจไม่ก้มกราบลำแสงบนยอดเขา กวาดตามองรอบๆ
“พวกเจ้าคุกเข่ากราบใคร!? ลืมตัวประหลาดเมื่อครู่แล้วหรือ ถ้าไม่ไปอีกหรือจะรอความตายที่นี่”
ยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งหลายคนยังดี ตาไม่ได้มืดบอดขนาดนั้น รีบรวบรวมพลพรรคพร้อมกับเขา มุ่งหน้าออกห่างจากเมืองอินทรีคู่
รีบรุดตลอดทาง ระหว่างทางมีนายพรานกับชาวนาที่อยู่ใกล้ๆ ไม่น้อยร่วมทางด้วย ส่วนมากเป็นคนอายุน้อย แต่ละคนขอบตาแดง ส่วนใหญ่ร้องไห้
ลู่เซิ่งไม่ได้ไล่พวกเขา แต่พาไปด้วย
เดินทางถึงหุบเขา มาถึงบนทุ่งหญ้า ลำแสงลำนั้นค่อยๆ จางจนหายไป
“ใช้ได้แล้ว ที่นี่นับว่าปลอดภัยแล้ว” หลี่ซุ่นซีในที่สุดแจ้งเตือนเสียงดังอย่างอิดโรย
“หยุด!” ลู่เซิ่งยกมือขึ้น ในที่สุดขบวนก็หยุดลง
เพิ่งหยุดลง คนไม่น้อยแข้งขาอ่อนระทวย ทรุดนั่งกับพื้น ชาวนาและนายพรานทางด้านหลังสะอึกสะอื้น
แต่ไม่มีคนอธิษฐานแล้ว
ลู่เซิ่งอดหันไปมองดูลำแสงสีขาวที่ค่อยๆ จางลงลำนั้นไม่ได้ ในใจนึกถึงเพลิงไม้ในเมืองเลียบคีรีเมื่อตอนนั้น
‘นี่รุนแรงกว่าเหตุเพลิงไหม้ของภัยพิบัติมังกรสีชาดมาก…นี่คือพลังของอาวุธเทพหรือ…’
เขามองลำแสง ในใจเกิดอารมณ์ซับซ้อนนับไม่ถ้วน
หลี่ซุ่นซีขี่ม้ามาถึงข้างตัวเขา มองทิศทางของลำแสงที่พุ่งสู่ฟ้าเช่นกัน โอบกอดไป๋ชิวหลิงที่ร้องไห้ฟูมฟายไว้ด้านหน้า
“นั่นคือพลังของศัสตรามาร…” เขาถอนใจกล่าว “อาวุธเทพศัสตรามารจะเลือกผู้ถืออาวุธที่ต้องการเอง
ไป๋เจิ้นหมิงได้หยกปีศาจในที่ลับมาหลายปีแล้ว ต้องการเป็นผู้ถืออาวุธมาโดยตลอด น่าเสียดายไม่ได้รับการยอมรับ ถูกคนชักนำพลังชั่วร้าย ขาดอีกก้าวเดียวก็จะสำเร็จ ถึงขั้นทำให้เมืองอินทรีคู่พินาศย่อยยับไปด้วย”
“ได้อาวุธเทพศัสตรามารมา แต่ยังไม่อาจกลายเป็นผู้ถืออาวุธหรือ” ลู่เซิ่งแปลกใจ ลองถามดู
“นี่เป็นความลับของตระกูลขุนนาง” หลี่ซุ่นซีกล่าวเบาๆ รอบๆ มีแต่สองคนอยู่ใกล้ เขายินดีบอกต่อสหายที่ช่วยเขามาหลายครั้งอย่างลู่เซิ่ง
“ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบังท่าน คิดจะถือครองอาวุธเทพศัสตรามาร มีแค่สองเงื่อนไข พิธีกฎเกณฑ์และการถูกเลือก ถ้าอาวุธเทพศัสตรามารไม่ยอมรับ ก็ไม่มีทางเป็นผู้ถืออาวุธ และควบคุมพลังของพวกมันได้ตลอดกาล”
“ทำอย่างไรจึงจะถูกเลือก” ลู่เซิ่งถาม สีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้น
“ง่ายดายยิ่ง หนึ่งคือเข้ากันได้ สองคือทุ่มเทกายใจต่ออาวุธเทพศัสตรามาร วางความต้องการของพวกมันไว้เป็นอันดับแรกของทุกสิ่ง” หลี่ซุ่นซีเอ่ยอย่างจนปัญญา
เงียบงัน
ลู่เซิ่งเคยอยากชิงอาวุธเทพชิ้นหนึ่งมาควบคุมพลังของมัน ดูจากตอนนี้ เป็นไปไม่ได้แล้ว
ทุ่มเทกายใจ ล้อเล่นหรือไง!?
“ทำไมท่านถึงรู้เยอะขนาดนี้” ลู่เซิ่งมองเขาด้วยสายตาสงสัย เหมือนกับรู้จักหลี่ซุ่นซีที่อยู่ตรงหน้าเป็นครั้งแรก
“เป็นเพราะ…” หลี่ซุ่นซีชี้ทรวงอกตัวเอง “ถึงแม้ข้าไม่ใช่ผู้ถืออาวุธ ก็เป็นผู้ครอบครองอาวุธเทพ…” เขายิ้มฝาดเฝื่อน
ไม่รอให้ลู่เซิ่งถาม เขาก็ตอบเสียงทุ้มต่ำ
“หยกลี้ลับบนตัวข้า เป็นอาวุธเทพของตระกูลหลิ่วแห่งแคว้นเมฆาที่หลิ่วฉินกับหลิ่วไฉ่อวิ๋นรับสืบทอดมา มีความสามารถทำนาย ทราบความลับได้มากมาย”
ลู่เซิ่งเงียบเล็กน้อย “ท่านไม่กลัวจะถูกข้าแย่งหรือ”
หลี่ซุ่นซีส่ายหน้า
“ข้อแรก ข้าเชื่อถือในจริยธรรมของพี่ลู่”
“ข้อสอง”
เขาเว้นเล็กน้อย ถอนใจเฮือกหนึ่ง “หยกลี้ลับไม่มีรูปร่างที่แท้จริง จวนอู๋โยวแย่งชิงมานานขนาดนี้ นอกจากกดดันให้ผู้ถือครองโอนถ่ายเอง ไม่มีทางแย่งไปได้ หนำซ้ำค่าตอบแทนในการใช้หยกลี้ลับก็สูงเกินไป ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาคาดหวังยิ่งกว่าคือใช้หยกลี้ลับหาโลหิตวิญญาณยักษ์
“โลหิตวิญญาณยักษ์หรือ” ลู่เซิ่งได้ยินศัพท์ใหม่อีกแล้ว
ถ้าการเลือกของอาวุธเทพศัสตรามารที่หลี่ซุ่นซีพูดเป็นจริง เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจควบคุมอาวุธเทพและศัสตรามารชิ้นใดๆ ได้ตลอดกาล
เป็นเพราะการทะลุมิติกับเครื่องมือปรับเปลี่ยนเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ถ้าเกิดเปิดเผย ยากจินตนาการว่าอาวุธเทพศัสตรามารที่มีจิตใจเป็นของตัวเองจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
นี่ตัดความหวังในการเข้าสู่แวดวงระดับสูงตามเส้นทางปกติของเขาโดยสิ้นเชิง
เส้นทางผู้ถืออาวุธเป็นระบบหลักของโลกใบนี้ และเป็นเส้นทางการยกระดับเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติเพียงเส้นทางเดียว แต่ว่าสำหรับลู่เซิ่ง กลับขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิงแล้ว แม้เขาจะเตรียมใจพึ่งพาแต่ตัวเองตั้งแต่แรก แต่พอได้ยินความจริงนี้ ยังคงเกิดความรู้สึกอ้างว้างเล็กน้อย
“กลับไปค่อยว่ากันเถอะ” หลี่ซุ่นซีหดหู่ ตบปลอบไป๋ชิวหลิงในอ้อมอกเบาๆ
คณะพรรควาฬแดงมุ่งหน้ากลับ ครั้งนี้เป็นเพราะมีหลี่ซุ่นซี จึงหลีกเลี่ยงความยุ่งยากได้ไม่น้อย ถึงแดนเหนืออย่างราบรื่น
ครั้งนี้ลู่เซิ่งเกือบตายเพราะคนของจวนอู๋โยว ป้อมปราการเมืองอินทรีคู่ถูกระเบิดทิ้ง เกิดเขาหนีออกมาไม่ทัน ผลลัพธ์ยากจะคาดคิด
อย่างน้อยลู่เซิ่งก็ไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถต้านทานอานุภาพอันน่าสะพรึงที่ใกล้เคียงกับภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้น หนำซ้ำเขายังฆ่ายอดฝีมือของจวนอู๋โยวไปอีกคน ได้ยินหลี่ซุ่นซีบอกว่า เป็นผู้ประกอบพิธี…
นี่นับว่าเพาะเป็นแค้นตายกับจวนอู๋โยวแล้ว
เขาพอกลับมาถึงแดนเหนือ ก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้ซั่งหยางจิ่วหลี เล่าเรื่องราวที่ประสบพบเจอในครั้งนี้คร่าวๆ
แน่อนว่าไม่ได้พูดถึงเรื่องหลี่ซุ่นซีและผู้ประกอบพิธี เพียงแต่สาธยายเรื่องการระเบิดของหยกปีศาจกับสิบหอกผลึกหยกปีศาจ การเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้น ตระกูลซั่งหยางคงไม่ได้มีเขาเป็นแค่ช่องทางข่าวสารช่องเดียว เขารายงานทันที ได้คะแนนประทับใจไม่น้อย
เป็นอย่างที่คาด ซั่งหยางจิ่วหลี่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ด้านการปฏิบัติต่อจวนอู๋โยวให้เขาจัดการได้ตามใจ นางจะเข้าด่านฝึกฝน ไม่มีธุระไม่ต้องรบกวนนาง จากนั้นให้ลู่เซิ่งส่งวัตถุดิบยาและทรัพยากรหลายชนิดไปให้
นี่ความจริงเป็นผลลัพธ์ที่ลู่เซิ่งต้องการ
พรสวรรค์และความสามารถของซั่งหยางจิ่วหลีน่าพรั่นพรึงถึงขีดสุด อายุยังน้อย ก็ขุดสายเลือดบรรลุถึงจุดสุงสุดของระดับพันธนาการสัตตะลักษณ์แล้ว การเข้าด่านในครั้งนี้จะต้องเป็นเพราะต้องการเลื่อนระดับพันธนาการ ย่างก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงกว่าแน่
ถึงเวลานั้น ไม่ว่าความสามารถของซั่งหยางจิ่วหลี่จะต่อสู้กับจวนอู๋โยวได้หรือไม่ กองบัญชาการของตระกูลซั่งหยางที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเพิ่มสถานะ ทรัพยากร และตำแหน่งให้นาง
ลู่เซิ่งพอกลับถึงพรรค ก็รวบรวมวัตถุดิบยาและทรัพยากรมูลค่าหลายสิบหลายร้อยหมื่นตำลึงอย่างสุดความสามารถ ส่งให้ที่อยู่ลับของซั่งหยางจิ่วหลี่ แทบทุ่มสินทรัพย์ทั้งหมดของพรรคให้ ภายหลังค่อยเริ่มจัดการพวกหลี่ซุ่นซีที่พากลับมา
…
ในห้องลับของประมุขพรรควาฬแดง
ลู่เซิ่งกับหลี่ซุ่นซีนั่งหันหน้าเข้าหากัน ด้านข้างคือไป๋ชิวหลิงที่มีสีหน้าหม่นหมอง
ในห้องลับมีแค่สามคน ในห้องมีโต๊ะตัวหนึ่งเพิ่มมา วางน้ำชาผลไม้ที่ไอร้อนลอยกรุ่นไว้สามป้าน
โคมน้ำมันที่วางบนกำแพงส่องแสงสีเหลืองนวล เต้นระริกทุกครั้งตอนที่ไส้ตะเกียงระเบิด
“พี่ลู่ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน เกรงว่าข้ากับชิวหลิงคงรับบาดเจ็บสาหัส หนีออกจากเมืองอินทรีคู่ตามแบบฉบับเดิม” หลี่ซุ่นซียกชาขึ้นอย่างจริงจัง กล่าวกับลู่เซิ่ง “ท่านช่วยข้าจากภัยพิบัติหลายครั้ง ข้าหลี่ซุ่นซีไม่มีอะไรจะตอบแทน ขอใช้ชาป้านนี้ต่างสุรา คารวะท่านหนึ่งจอก!” เขาดื่มรวดเดียวหมด
ลู่เซิ่งยกชาขึ้นเช่นกัน
“พี่หลี่พูดเรื่องพวกนี้ทำไม พวกเราเจอกันเหมือนสหายเก่า ตอนอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลซ่งก็คุยกันสัพเพเหระจนถูกคอกลายเป็นสหายสนิท ท่านมีเรื่องลำบาก ข้าย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย” เขาเอ่ยอย่างขึงขัง “คำกล่าวแบบนี้วันหน้าไม่ต้องพูดถึงอีก เล่าเรื่องหยกลี้ลับกับโลหิตวิญญาณยักษ์ที่ท่านเคยพูดถึงมาดีกว่า”
หลี่ซุ่นซีพยักหน้าเล็กน้อย หลับตาครู่หนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้น
“รอบๆ นี้นับว่าปลอดภัย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่ปิดบังพี่ลู่” เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง “หยกลี้ลับเป็นอาวุธเทพระดับสูงแห่งตระกูลหลิ่วของพวกหลิ่วฉินและไฉ่อวิ๋น อาวุธเทพชิ้นนี้ไม่อาจแย่งชิง เป็นเพราะไม่มีรูปร่าง ต่อให้ไม่มีผู้ถืออาวุธก็แย่งไปไม่ได้ ดังนั้นคนของจวนอู๋โยวสรรหาทุกวิถีทางก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่เปลี่ยนเป้าหมายไปที่ของอีกชิ้น โลหิตวิญญาณยักษ์”
“โลหิตวิญญาณยักษ์ ดูจากชื่อ ก็คือเลือดที่ทำให้วิญญาณของตัวเองใหญ่ขึ้น มารปีศาจก่อตั้งจวนอู๋โยว ใช้วิญญาณเป็นหลัก โลหิตวิญญาณยักษ์ทำให้พวกมันลดความผิดพลาดและเพิ่มอัตราความสำเร็จตอนพวกมันยกระดับขอบเขตความสามารถได้ ไม่มีประโยชน์กับคนธรรมดาเช่นพวกเรา ทว่าโลหิตวิญญาณยักษ์นี้มีประโยชน์ต่อมารปีศาจในระดับมากกว่าพันธนาการขึ้นไป!”
“ในระดับมากกว่าพันธนาขึ้นไป!?” ลู่เซิ่งใบหน้าแปรเปลี่ยน “ระดับขอบเขตสูงกว่าพันธนาคืออันใด…”
“คือระดับอสรพิษ” หลี่ซุ่นซีตอบ “ประมุขจวนอู๋โยวคือระดับอสรพิษ ประมุขตระกูลขุนนางทั้งหลายก็เป็นระดับนี้” มองความเคร่งเครียดบนใบหน้าลู่เซิ่ง เขาคล้ายมีวาจาคิดกล่าว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปาก ยังคงหยุดลง รอลู่เซิ่งย่อยเนื้อหาในนี้
“ผู้เข้มแข็งที่ย่างก้าวเข้าสู่ระดับอสรพิษคือพวกประมุขตระกูล ผู้คุมจัตุรัสแดง ประมุขจวนอู๋โยว ตัวตนเช่นนี้ในแดนเหนือมีไม่เกินห้าคน จงหยวนมีประชากรมากกว่าแดนเหนือสิบกว่าเท่า ก็มีไม่เกินยี่สิบคน” หลี่ซุ่นซีเอ่ยเสียงทุ้ม
“หมายความว่าคนมีความสามารถระดับนี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นผู้ปกครองที่เปิดสำนักก่อตั้งจวน ยึดครองที่นั่งในตระกูลขุนนางได้หรือ” ลู่เซิ่งเข้าใจพอประมาณแล้ว
“พูดแบบนี้ก็ได้ ในหมู่ตระกูลขุนนาง ยอดฝีมือระดับนี้ก็งอนิ้วนับได้เช่นกัน” หลี่ซุ่นซีอธิบาย
ในห้องลับเงียบงันอยู่ชั่วขณะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง
“ตอนนี้ท่านมีแผนการอย่างไร” ลู่เซิ่งมองหลี่ซุ่นซี
“ตามหาผู้มีโลหิตวิญญาณยักษ์คนต่อไป อายุขัยของประมุขจวนอู๋โยวใกล้สิ้นสุดแล้ว ไม่มีโลหิตวิญญาณยักษ์คอยช่วยเลื่อนระดับ ก็จะเสื่อมถอยจนตาย นี่เป็นสาเหตุที่พวกมันคลั่งกว่าเดิม รวบรวมคนอย่างชิวหลิงไปทั่ว ดังนั้น…”
“ดังนั้นท่านคิดจะชิงรวบรวมผู้มีโลหิตวิญญาณยักษ์ก่อนใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งเสริม
“ใช่ ข้ามีวิธีแก้ไขคุณสมบัติร่างโลหิตวิญญาณยักษ์” หลี่ซุ่นซีพยักหน้า ดวงตาฉายความเคียดแค้น “ครอบครัวข้าตายด้วยน้ำมือจวนอู๋โยว ชิวหลิงก็เหมือนกัน พวกเราไม่ขออยู่ร่วมฟ้ากับจวนอู๋โยว จะช้าจะเร็วต้องมีสักวันที่ข้าจะขุดรากถอนโคนขุมกำลังแบบนี้!”
“จริงด้วย จัตุรัสแดงความจริงก็เป็นขุมกำลังพันธมิตรของจวนอู๋โยว ท่านระวังตัวหน่อย” ลู่เซิ่งเตือน
“ข้ารู้ พี่ลู่ไม่ต้องห่วง” หลี่ซุ่นซีเอื้อมมือไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากในถุงด้านหลังเอว แล้วส่งให้ลู่เซิ่ง
“ถึงจะไม่รู้ว่าท่านอยากได้คัมภีร์ลับวิชามรรคายุทธ์ไปทำอะไร แต่ว่าพันธมิตรบู๊มีของเหล่านี้มากมาย ตอนนี้พันธมิตรบู๊ระส่ำระส่าย ขาดการติดต่อกับผู้นำ พี่ลู่พาคนไปรับเอาขุมกำลังของพันธมิตรบู๊ส่วนหนึ่งได้
นอกจากนี้ท่านฆ่าผู้ประกอบพิธีจวนอู๋โยวทิ้ง ถ้าจัตุรัสแดงไม่พบก็ดี ถ้าถูกพบ…” หลี่ซุ่นซีไม่ได้พูดต่อ “ให้พี่ลู่มุ่งหน้าไปจงหยวน หาสถานที่ที่ชื่อว่าหุบเขาเขียวทะยาน”
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย รับกระดาษมา เป็นแผนที่
“นี่เป็นแผนที่ของพันธมิตรบู๊ พี่ลู่หาหุบเขาที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ได้ตามแผนที่” หลี่ซุ่นซีกล่าวเสียงทุ้ม
……………………………………….