ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 163 เคลื่อนไหว (1)
บทที่ 163 เคลื่อนไหว (1)
“อิงอิง ช่วงนี้เจ้าไปอยู่ไหนมากันแน่ เพราะเจออันตรายใช่หรือไม่ ทำไมถึงไม่บอกข้าสักคำ?! รู้ไหมว่าข้าเป็นห่วงเจ้าขนาดไหน” ผู้คุมจัตุรัสแดงถามอย่างร้อนใจ คลายกอดสตรีกางร่ม ลูบไล้ผมยาวของนางอย่างแผ่วเบา
“ข้า…ข้า…ถูกคนชุดดำ…ที่ทำลายหน่วยหลักคนนั้น…จับตัวไป ภายหลังเขา…ถามคำถามข้า…แล้วค่อยปล่อย…ข้ากลับมา” สตรีกางร่มกระซิบตอบ
“คนชุดดำหรือ รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร” ผู้คุมจัตุรัสแดงดวงตาสาดประกายดุร้าย กล่าวเสียงเย็นชา
สตรีกางร่มส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เป็นไร ข้าจะค่อยๆ ตรวจสอบ ไม่ช้าก็เร็วต้องเจอเบาะแส ขอแค่หาเจอ ข้าจะกินมันทั้งเป็น!” ผู้คุมจัตุรัสแดงเอ่ยเสียงดุร้าย
“พวกเรา…กลับกันเถอะ…” สตรีกางร่มลนลานอยู่บ้าง แม้จะกลับมาแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าพูดถึงเครือข่ายในร่างกายนาง นางกลัวว่าเกิดท่านพี่แก้ไขของสิ่งนี้ไม่ได้ แล้วนางพบว่านี่เป็นฝีมือลู่เซิ่ง…
ผู้คุมจัตุรัสแดงกอดรัดตัวนางแน่นๆ อีกครั้ง
“ภายหลังข้าจะไม่ไปจากเจ้าอีกแล้ว ข้ารับรอง!” ครั้งนี้นางไล่ล่าภัยพิบัติมังกรสีชาด แม้จะได้มาแค่เศษชิ้นเดียว แต่ว่าก็เพิ่มพลังของตัวเองได้อย่างมหาศาล บวกกับวิชาบนคัมภีร์เล่มนั้น ภายหลังหาที่ปิดด่านสักร้อยวัน ก็ไม่จำเป็นต้องออกมาตลอดแล้ว
“พวกเราหาสถานที่อยู่อย่างสงบ ไม่ต้องสนใจเรื่องราววุ่นวายภายนอก อิงอิงเจ้าว่าดีหรือไม่”
สตรีกางร่มตอบอือ ในใจกลับนึกถึงตาข่ายในร่างกายตนเอง
“จริงสิ เจ้ากลับมาพอดี เรื่องสร้างจัตุรัสแดงแห่งใหม่ข้าไม่ถนัด ให้เจ้าสั่งการดีกว่า ยังมีโคมไฟเหล่านั้น ต้องให้เจ้าช่วยทำขึ้นใหม่” ผู้คุมจัตุรัสแดงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขัดเขิน
“ให้อิงอิง…จัดการเอง…” สตรีกางร่มพยักหน้า
“นอกจากนี้ข้าจะไปพันธมิตรบู๊ ข้าเจอที่อยู่ชั่วคราวของพันธมิตรบู๊แล้ว องค์กรนี้จะเปลี่ยนที่อยู่ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง หนีเร็วมาก ต้องรีบไป ไม่อย่างนั้นพวกมันจะหนีไปอีก” ผู้คุมจัตุรัสแดงสีหน้าเคร่งขรึมลง “พอดีที่ผู้ประกอบพิธีของจวนอู๋โยวหายตัวไประหว่างตรวจสอบพันธมิตรบู๊ ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนที่สังหารผู้ประกอบพิธี กับคนที่ทำลายหน่วยหลักของพวกเราน่าจะเป็นคนเดียวกัน ขอแค่หาตัวคนร้ายที่สังหารผู้ประกอบพิธีของจวนอู๋โยวได้ ก็น่าจะเจอตัวการที่ทำลายหน่วยหลักของพวกเรา”
“สมกับเป็น…ท่านพี่ผู้คุมจัตุรัส…” สตรีกางร่มยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล
“ถึงตอนนั้นเจ้าพักผ่อนที่บ้าน ไม่… เจ้าไปกับข้าดีกว่า เจ้าในตอนนี้อ่อนแอเกินไป จำเป็นต้องคุ้มครอง” ผู้คุมจัตุรัสแดงหยิกแก้มอิงอิงเบาๆ เอ่ยอย่างเอ็นดู
“อือ…อิงอิงเชื่อฟัง…ท่าน”
…
เรือวาฬแดง
“ไปพันธมิตรบู๊หรือ” ลู่เซิ่งขยำกระดาษสีดำในมือเป็นผุยผง กระดาษแผ่นนี้ไม่ทราบทำจากวัสดุอะไร เป็นสีดำสนิท ตัวอักษรกลับเป็นสีขาว
ผงกระดาษสีดำชิ้นเล็กๆ โปรยปรายผ่านร่องนิ้วของเขา ไม่ได้ตกใส่พื้น หากกลายเป็นควันดำลอยหายไป
นี่เป็นจดหมายที่สตรีกางร่มลอบส่งให้เขา
‘ยุ่งยากอยู่บ้าง…คนของพันธมิตรบู๊ที่รู้ว่าเราฆ่าทูตเขตแดนของจวนอู๋โยวมีไม่น้อย ถ้าหากคลำเบาะแส ไม่แน่จะสาวถึงตัวเรา
ถึงจะฆ่าทูตเขตแดนไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฆ่าผู้ประกอบพิธีตายด้วย แต่แบบนี้จะต้องถูกตรวจสอบแน่ๆ ’
แค่ทูตเขตแดนเท่านั้น ด้วยเบื้องหลังและสถานะของเขา ต่อให้ถูกสืบจนเจอ จวนอู๋โยวอย่างมากก็ลงมือในที่ลับ ถึงขั้นไม่กล้ากล่าวโทษอย่างโจ่งแจ้ง เพราะลู่เซิ่งไม่ต้องยอมรับก็ได้ ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขา เรื่องราวนี้ก็ทำอะไรไม่ได้
เขาลู่เซิ่งไม่ใช่คนไร้สังกัด ไม่มีเบื้องหลัง และไม่ใช่คนกำจัดวิญญาณที่อ่อนแอเหล่านั้น เขามีพลังไม่เลว ซั่งหยางจิ่วหลี่ให้ความสำคัญ ตระกูลซั่งหยางเบื้องหลังก็แข็งแกร่งกว่าจวนอู๋โยวมาก ต่อให้เป็นประมุขจวน ก็ไม่กล้าสร้างความไม่พอใจให้แก่ซั่งหยางจิ่วหลี่ที่ยังไม่ใช่ประมุขตระกูล แต่กลับสนทนาในระดับเดียวกัน
‘พันธมิตรบู๊ๆ…’ ลู่เซิ่งลุกขึ้นมาเดินพล่าน ‘ตอนนี้เราอยู่ในช่วงลอกคราบ พลังยังไม่ถึงระดับประมุขจวน มีความแตกต่างอย่างมากกับเย่หลิงม่อและผู้คุมจัตุรัสแดง จะลงมือซึ่งหน้าไม่ได้
ช่วงลอกคราบนี้ไม่รู้ใช้เวลานานขนาดไหน จากระดับพันธนาการถึงระดับอสรพิษ แม้แต่อัจฉริยะขั้นสุดยอดอย่างซั่งหยางจิ่วหลี่ก็ติดอยู่ในจุดนี้มาหลายปีแล้วเหมือนกัน เราไม่น่าจะเลื่อนระดับได้ในระยะเวลาอันสั้น’
‘เมื่อเป็นแบบนี้…’ ลู่เซิ่งเริ่มคำนวณ
เขามีพลังทำลายล้างของจริงต่อภูตผีปีศาจและตระกูลขุนนาง ขอแค่มีปราณภายในธาตุหยาง ก็อาจรวมกับปราณภายในธาตุหยินได้
มีแต่ปราณภายในจึงจะทำร้ายตัวตนเหนือธรรมชาติชนิดนั้นได้ วิชาแข็งกร้าวได้แต่ยกระดับกายเนื้อของตัวเองในระดับสูงสุด ต่อให้มีพลังกล้าแข็งกว่านี้ มีความเร็วมากกว่านี้ มีการระเบิดพลังที่รุนแรงกว่านี้ ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของวิชาแข็งกร้าวก็มีแต่การป้องกันตัว
แน่นอนว่าวิชาแข็งกร้าวป้องกันการโจมตีจากสิ่งเหนือธรรมชาติ และพิษร้ายที่รุนแรงสุดเปรียบปานเหล่านั้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปราณภายในยากจะทำได้
‘ในเมื่อใช้ปราณภายในอย่างเต็มที่ไม่ได้ชั่วคราว อย่างนั้นก็รวมปราณหยินไว้ที่วิชาแข็งกร้าวก่อน กายเนื้อยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งดีต่อปราณภายในที่จะตามมา ไม่ช้าก็เร็วต้องทุ่มเทให้ปราณหยินอยู่ดี’ ลู่เซิ่งตกลงใจ
“องครักษ์” เขาลุกขึ้น
องครักษ์ใกล้ชิดที่เป็นพลพรรคสองคนรีบเข้ามา
“คำนับประมุขพรรค!”
“ไปพาซ่งเจิ้นกั๋วมา แล้วเตรียมตัวออกเดินทางด้วย” ลู่เซิ่งสั่งการ ออกจากห้องหนังสือ ตรงดิ่งไปที่ห้องสงบใจ
‘เราจำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน เกิดทางพันธมิตรบู๊โดนตรวจสอบ สายตาของผู้คุมจัตุรัสแดงกับประมุขจวนจะต้องจับจ้องที่เราแน่’
เขาเข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องสงบใจ แล้วรีบเพ่งจิตสงบลมหายใจ
‘ดีปบลู’
เครื่องมือปรับเปลี่ยนสีน้ำเงินลอยออกมา
ลู่เซิ่งมองกรอบที่โล่งตาด้านบน ก่อนหน้านี้ตอนปล่อยสตรีกางร่มไป ถึงจะคืนของวิเศษสามชิ้นนั้นให้ แต่ปราณหยินที่อยู่ด้านในโดนเขาดูดจนเกลี้ยงไปก่อนแล้ว เป็นเพราะว่าปราณหยินที่เพิ่งได้มาเกือบยี่สิบหน่วยนี้ บวกกับที่ได้มาจากภูตผีปีศาจฝูงใหญ่ในจัตุรัสแดง
ผลรวมปราณหยินบนตัวเขาในเวลานี้ เป็นจำนวนถึงแปดสิบหน่วยโดยที่ไม่เคยมีมาก่อน!
เพิ่งจะเปิดเครื่องมือปรับเปลี่ยน กรอบสนทนาก็เด้งออกมาทันที
[ดำเนินการเรียนรู้วรยุทธ์หรือไม่]
[ใช่] ลู่เซิ่งยืนยันคำตอบ จากนั้นความคิดก็ไปอยู่บนกรอบวิถีหยางโชติช่วง
‘ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่สังคมตระกูลขุนนาง หลังจากพลังของเราเพิ่มขึ้น อาจประสบอันตรายถูกเปิดเผยความลับไม่ช้าก็เร็ว จะต้องฉวยโอกาสตอนที่พวกตระกูลขุนนางยังไม่ได้สนใจเรา รีบยกระดับให้เร็วที่สุด’ เขาใช้ความคิดกดลงบนปุ่มด้านหลังวิถีหยางโชติช่วง
พริบตานั้น ปราณหยินจำนวนมากในร่างของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับถูกหลุมดำที่มองไม่เห็นกลืนกิน
แคว่ก!
ร่างกายของลู่เซิ่งพลันขยายจากสภาพหยินโชติช่วงทั่วไปจนชุดขาด ร่างกายเหมือนกับวัตถุบีบอัดที่ถูกปลดปล่อย กล้ามเนื้อกับผิวหนังสีเทาอมเขียวจำนวนมากเบียดอัดออกมา กลายเป็นยักษ์สูงเกือบห้าหมี่ด้วยความเร็วสูง
ดีที่ก่อนหน้านี้คำนึงถึงปัจจัยด้านอาวุธ ห้องสงบใจจึงสร้างค่อนข้างสูง แทนที่จะบอกว่าเป็นห้องสงบใจ ความจริงจัดเป็นห้องฝึกวรยุทธ์ขนาดเล็กได้ สามารถบรรจุร่างสูงในตอนนี้ของเขา
‘สบายจริงๆ…ร่างกายไม่ถูกพันธนาการอีกต่อไป…’ ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวร่างกาย รูปลักษณ์ในปัจจุบันของเขาเหมือนคนอ้วนที่ท่อนบนใหญ่โตแข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่สองขาสั้นป้อม ได้แต่ฝืนตั้งร่างกาย ดูเหมือนกับไม่อาจทนการวิ่งและการระเบิดพลังด้วยความเร็วสูงได้
ผิวหนังสีเทาแกมเขียวให้ความรู้สึกเหมือนเกราะผิว ก้อนเนื้อสองแท่งงอกบนขมับ เป็นเพราะผิวหนังไม่ใช่สีเนื้อ ดังนั้นก้อนเนื้อจึงดูเหมือนเขาวัวซึ่งเป็นของแข็ง
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือด้านหลัง ที่สะบักสองข้างมีกลุ่มกล้ามเนื้อที่แข็งสุดเปรียบปาน มองดูก็รู้ว่าเป็นส่วนที่สนับสนุนการออกแรงของแขน เพียงแต่กล้ามเนื้อส่วนนี้ของคนทั่วไปไม่ได้อลังการถึงขั้นนี้ แต่ส่วนนี้ของลู่เซิ่งกลายเป็นทรงกลมใหญ่สองกลุ่ม
ฟู่ว…
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจยาวๆ
‘สภาพหยางโชติช่วงความจริงเป็นร่างจริงของเรา เป็นสภาพที่กล้ามเนื้อได้รับการปลดปล่อยโดยสมบูรณ์ สภาพหยินโชติช่วงกับสภาพมนุษย์ก็แค่ใช้วิชาแข้งกร้าว วิชาหดกระดูกบีบอัดร่างกายเป็นก้อนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่สภาพร่างกายตามปกติ’ ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวฝ่ามือเบาๆ รู้สึกว่าเลือดลมทั่วร่างปลอดโปร่งโล่งสบาย
ปราณหยินยังคงถูกใช้ไปเป็นจำนวนมาก ตอนนี้หายไปราวสามสิบกว่าหน่วยแล้ว ลู่เซิ่งเริ่มรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึง ความเจ็บปวดทิ่มแทงที่เลือนรางตรงกลางหลัง
อือ…
เขายืดตัว ร่างกายเริ่มมีเหงื่อไหลหลั่งออกมามหาศาล
เดินสองสามก้าวไปถึงช่องลับ เอาถุงน้ำมากรอกใส่ปาก น้ำใสปริมาณมากเติมเต็มร่างกาย ทดแทนน้ำที่ไหลออกมา
เวลาผ่านไปช้าๆ ในที่สุดปราณหยินก็หยุดหายไป จนถึงตอนนี้ ใช้ไปแล้วประมาณสี่สิบกว่าหน่วย
ลู่เซิ่งรู้สึกว่ากลางหลังเจ็บและนูนขึ้นเรื่อยๆ คล้ายมีสิ่งใดกำลังจะทะลุออกมา
สวบ!
ในตอนนี้เอง หนามแหลมซึ่งเป็นกระดูกขาวแท่งหนึ่งทะลุพรวดออกมาจากด้านหลังของเขา
หนามแหลมนี้ตั้งตรงคมกริบ เป็นสีขาวแวววาวในแสงไฟ
มีหนามกระดูกแท่งที่หนึ่ง ก็มีแท่งที่สอง แท่งที่สาม…
อย่างค่อยเป็นค่อยไป หนามกระดูกสิบแท่งทะลุกออกจากหลังของลู่เซิ่ง ตั้งตรงดุจกระบี่ ผิวเป็นสีขาวและคมกริบ
หนามกระดูกสิบแท่งเพิ่งทะลุออกจากหลังของลู่เซิ่ง ก็กลายเป็นจานกลม จานกลมที่ยิงได้
ตรงกลางจานกลมเป็นกลางหลังของเขา แต่ว่าตรงนั้นถูกกระดูกสีดำที่แข็งแกร่งทนทานท่อนหนึ่งบังไว้ เป็นกระดูกท่อนนี้เองที่ที่ยืดหนามกระดูกสิบแท่งออกไปทั่วตัวลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งในตอนนี้เป็นสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาที่มีจานกลมกระดูกขาว เค้าโครงใบหน้ากับคอของเขาไม่ชัดอีกต่อไป แต่รอบๆ แก้มไม่รู้มีของแหลมสีดำดำอันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งงอกออกมาตอนไหน มันปกคลุมใบหน้าไว้เหมือนกับหมวกเกราะ
‘หยุดแล้ว…’
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ลู่เซิ่งค่อยๆ ยืดตัว ความเจ็บปวดภายในกายในที่สุดก็หายไป
เขายื่นมือไปลูบหนามกระดูกด้านหลัง หนามกระดูกมีขอบคมกริบ ยาวกว่าร่างกายเขาหนึ่งเท่า
จากนั้นมองสถานะบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน
[วิถีหยางโชติช่วง: สำเร็จสภาพหยางโชติช่วงขั้นสอง ผลพิเศษ: พละกำลังเพิ่มเป็นระดับเก้า การป้องกันเพิ่มเป็นระดับเจ็ด สะท้อนกลับระดับหก เผาไม้ระดับสอง…]
‘ผลพิเศษทั้งหมดเพิ่มขึ้นขั้นเดียว ใช้ปราณหยินไปสี่สิบหน่วย…ไม่ค่อยคุ้มเลย…’ ลู่เซิ่งยิ่งอ่านยิ่งขมวดคิ้ว
เขาหาปราณหยินขนาดนี้มาอย่างยากลำบาก นี่ต้องกลับไปอยู่ในสภาพเก่าอีกแล้ว
แต่ไม่ทันไร ตอนเขาเห็นผลพิเศษสุดท้าย ผลพิเศษที่เพิ่มมาใหม่นี้ทำให้เขารู้สึกว่าปราณหยินสี่สิบหน่วยของตนคล้ายไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรมาก
[ผลพิเศษ: โลหิตอัคคี]
ตอนที่ลู่เซิ่งย้ายความคิดไป ก็ได้รับคำอธิบายอย่างชัดเจนของผลพิเศษนี้
[การกระตุ้นระดับสูงสุด ทำให้เซลล์และเลือดของตัวเองมีคุณสมบัติกลืนกินและคุณสมบัติรุกรานอันแข็งแกร่ง สามารถป้องกันแบคทีเรียและพิษร้ายส่วนหนึ่ง เป็นเพราะการกระตุ้นอย่างรุนแรง จึงมีผลต่อต้านพิษที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด ถ้าส่งเข้าไปเพื่อกลืนกินสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จะกระตุ้นปฏิกิริยาต่อต้านที่รุนแรงถึงขีดสุด ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระตุ้นในระดับที่รุนแรงต่อปราณภายใน]
……………………………………….