ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 174 ครึ่งเดือน (4)
บทที่ 174 ครึ่งเดือน (4)
ยอดฝีมือที่ท่าเท้าไร้สุ้มเสียงส่วนหนึ่งอ้อมไปด้านหลังบุรุษผมยาว เข้าไปใกล้อย่างช้าๆ
บุรุษผมยาวเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ให้เส้นแสงส่องใบหน้าของตน เขาสวมหน้ากากแพะภูเขาปิดบังหน้าตา ลวดลายสีแดงขาวมีสีสันหยดย้อย
“ลองหยุดข้าดู…ถ้าพวกเจ้าทำได้…” เขาค่อยๆ ยกเท้าขึ้น ก้าวไปด้านหน้า
ครืน!
แสงสายฟ้าวาบผ่าน
ในป่าไม้สูงเทียมฟ้าที่มืดสลัว
ควันขาวนับไม่ถ้วนวนรอบป่าเหมือนกับหมอก ทำให้ทั้งป่าขมุกขมัว
ตึง
เสียงฝีเท้าทุ้มหนักดังมาจากส่วนลึกของป่า สัตว์แมลงที่ซ่อนตัวอยู่ส่วนหนึ่งแตกตื่น เสียงแซ่กๆ ดังขึ้นในพุ่มไม้ใบหญ้าเพราะแมลงไต่ไปทั่วด้วยความตกใจ
ผ่านไปพักหนึ่ง ป่าไม้หนาทึบที่กำลังจะเงียบงันลงอีกครั้ง
ตึง
เสียงฝีเท้าหนักหน่วงดังมาอีก
ตึง
ตึง
ตึง
เสียงฝีเท้าที่มีจังหวะสั่นสะเทือนพื้นดินเข้าใกล้หมอกขาวอย่างช้าๆ
ยักษ์สีเทาร่างมหึมาซึ่งแบกกระบองเขี้ยวหมาป่าหนาเท่าเอวคนเดินเข้ามากลางป่าทีละก้าวๆ
ยักษ์มีปากกว้างและตาข้างเดียว ตาข้างนั้นเล็กยิ่ง ใหญ่เท่าลูกเหอเถา รอบๆ เป็นรอยยับสีเทาที่เป็นของแหลมหลายกลุ่ม เหมือนกับแว่นสำหรับรวมศูนย์
ยักษ์เดินไปด้านหน้าทีละก้าวๆ จนระทั่งถึงต้นไม้มหึมาสองต้น จึงค่อยๆ หยุดลง
ในหมอกขาว ต้นไม้สูงเทียมฟ้าสองต้นตั้งตระหง่าน ยอดพุ่มต้นไม้ขนาดใหญ่โตปกคลุมพื้นที่หลายสิบหมี่ที่อยู่รอบๆ บังสายฟ้าสีน้ำเงินที่วาบผ่านท้องนภาตลอดเวลา
ฟุ่บ
ทันใดนั้น ดวงตาสีแดงขนาดใหญ่สองข้างเปิดขึ้นตรงหน้ายักษ์ตนนั้น
ดวงตานั้นยาวยิ่ง ดวงตาข้างหนึ่งใหญ่เกือบเท่าตัวยักษ์
ดวงตาสีแดงขนาดใหญ่ที่เรียวยาวสองข้างสาดแสงในม่านหมอกขาว ถึงขั้นย้อมไอหมอกบริเวณเล็กๆ เป็นสีแดง
“อ้อ…”
เสียงสงสัยที่ทอดยาวและทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลังดวงตา
“เจ้านี่เองเฉาหู่”
ยักษ์วางกระบองเขี้ยวหมาป่าบนบ่าลงพื้นเสียงดังตึง ก้มหน้าน้อยๆ เพื่อแสดงความเคารพ
“ข้าล้มเหลว…ปล่อยให้สตรีนางนั้นหนีไปได้…”
ดวงตาสีเลือดกลอกเล็กน้อย จ้องมองคนตัวยักษ์สักพัก
“ชิ้นส่วน ชิ้นส่วนชิ้นใหญ่สุดถูกนางชิงไปได้ นางหนีไปไม่รอด…เจ้ายังมีโอกาส”
“ถูกต้อง ข้ายังมีโอกาส” ยักษ์เฉาหู่พยักหน้า “ข้าส่งบริวารไปปล่อยหยกอนธการสลาย ครึ่งเดือนให้หลัง ข้าจะไปหานางตามที่อยู่ ครั้งนี้ นางหนีไม่รอดแน่”
“ข้าเชื่อเจ้า” ดวงตามหึมากล่าวอย่างเชื่องช้า
“ครั้งก่อนเป็นเพราะข้าประมาท…ครั้งนี้ข้าจะไม่ชะล่าใจอีก!” เฉาหู่เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ ในดวงตาเพียงข้างเดียวฉายความคลุ้มคลั่งและความโหดเหี้ยม
“จงระวัง…นางยิ่งทำลายชีวิตก็ยิ่งแข็งแกร่ง นี่คือลักษณะพิเศษของภัยพิบัติมังกรสีชาด” ดวงตามหึมาเตือน
“ข้าทราบดี”
…
ในเวลาเจ็ดวันสั้นๆ เมืองประสานมังกรในเขตเมืองป่าบูรพาเกิดเรื่องใหญ่
โร่วหลงประมุขพรรคดาวเขียวซึ่งเป็นหนึ่งในสองพรรคที่ใหญ่ที่สุดของเมืองตายอย่างลึกลับ ขณะจัดงานเลี้ยงตอนกลางคืนเพื่อต้อนรับหัวหน้าพรรคอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ตน
ไม่เพียงแค่เขา หัวหน้าพรรคมากมายในงานเลี้ยงก็พากันตกตาย เวลาแค่คืนเดียวขุมกำลังครึ่งหนึ่งในเมืองประสานมังกรไร้ผู้นำ พรรคทรายขาวพรรคใหญ่อีกแห่งหนึ่งได้โอกาส
เพียงแต่ว่าตอนพรรคทรายขาวฮุบกลืนขุมกำลังของพรรคดาวเขียว ประมุขพรรคทรายขาวก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น อย่างน่าประหลาด
ว่ากันว่าประมุขพรรคถูกความเย็นในคืนนั้นเข้าแทรก ต้องพักผ่อนในห้อง ไม่สะดวกลงมือ แต่ความจริงมีคนลือว่า ในคืนเดียวกันนั้นหัวหน้าพรรคทรายขาวประกาศปิดด่านอย่างอธิบายไม่ได้ จากนั้นมอบภารกิจทั้งหมดให้มือรองและบริวารจัดการ
เมืองประสานมังกรเดิมมีกิจการประมงเป็นหลัก พรรคเหล่านี้ควบคุมเรือหาปลาที่ใหญ่ที่สุดและมากที่สุด ปัจจุบันขุมกำลังพรรคปั่นป่วน กิจการหาปลาพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
ภายหลังมีคนในยุธภพเล่าลือว่า ในเมืองมียอดฝีมือกำลังภายในจำนวนไม่น้อยเกิดเรื่องอย่างลึกลับ หากไม่ประกาศปิดด่าน ก็หายตัวไปด้านนอก ไม่ทราบเป็นหรือตาย
มีคนนึกถึงคำสั่งเรียกประชุมของพรรควาฬแดงที่ตอนนี้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด จึงคาดเดาว่าอาจเป็นเพราะเมืองประสานมังกรไม่ยอมปฏิบัติตาม พรรควาฬแดงจึงส่งคนมาคิดบัญชี ข่าวลือดูมีมูล ทำให้คนค่อนข้างเชื่อถือ
ลู่เซิ่งพับจดหมายในมือลง นี่เป็นข้อมูลที่มาจากสายในเมืองประสานมังกร กล่าวถึงเหตุเปลี่ยนแปลงของเมืองประสานมังกรในช่วงนี้
ความจริงเขาไม่มีความจำเป็นต้องอ่าน เพราะว่าเหตุเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เป็นเขากระทำเอง เขาฆ่าคน คนที่ปิดด่านเหล่านั้นทั้งหมดก็ถูกดูดปราณภายในจนหมด จำเป็นต้องปิดด่านเพื่อซ่อนความจริงที่พลังยุทธ์หายไป
ในเจ็ดวันนี้ เขาบุกตะลุยไปหลายร้อยลี้ ไปๆ มาๆ ระหว่างเรือวาฬแดงกับเมืองประสานมังกร โดยไม่มีใครพบเห็น
‘ในเจ็ดวันดูดพลังยอดฝีมือกำลังภายในไปสี่สิบสามคน คนพวกนี้ปราณภายในปะปนขุ่นมัวเกินไป พอเปลี่ยนเป็นปราณขวดสมบัติก็เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน พอเอามารวมกัน ก็มีปราณเหลวเพิ่มมาแค่สามหยด’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย ‘ดูเหมือนนอกจากปราณภายในจากสุดยอดวิชาแล้ว ปราณภายในที่เหลือมีการเจือปนมากไป ดูดมาได้น้อยเหลือเกิน’
ครั้งนี้เขาไปเมืองประสานมังกรลงมือในที่ลับ แปดส่วนของปราณภายในที่ดูดมา ได้มาจากยอดฝีมือห้าอันดับแรก สองส่วนที่เหลือเป็นของยอดฝีมือสี่สิบสามคนรวมกัน
‘ปราณเหลวสามหยด…เทียบเท่ากับพลังยุทธ์สามร้อยปี’ ลู่เซิ่งสัมผัสปราณภายในที่ไหลเวียนในข่ายกระเรียนหยิน บวกกับปราณภายในจากคนของสำนักพยัคฆ์ภูผาที่ดูดมาก่อนหน้า หลังจากเปลี่ยนแปลง วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานในปัจจุบันของเขาก็มีปราณเหลวเจ็ดหยด
นี่เป็นผลลัพธ์หลังจากหยินหยางสมดุลและพัฒนาในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงช้าเล็กน้อย ปราณขวดสมบัติกับวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานมีพลังฝึกปรือเจ็ดร้อยปี
‘จัดการทางเมืองประสานมังกรเรียบร้อย ต่อจากนี้ไปเมืองคูรวม’ ลู่เซิ่งเริ่มคำนวณ
‘ถ้าเมืองคูรวมดูดปราณเหลวมาได้สามหยด เราก็จะมีพลังยุทธ์แปดร้อยปี จากนั้นไปเมืองผลัดหลิว แล้วไปเมืองธารประจิม…’ เขาหยีตาเล็กน้อย
ใช้ข่ายกระเรียนหยินดูดปราณภายใน พอเปิดช่องออก เขาก็เหมือนน้ำในทำนบ หากปล่อยก็ไม่อาจควบคุมได้
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าปราณเหลวบวมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในร่างกาย ถึงขั้นที่ด้วยระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อในปัจจุบันก็ยังรู้สึกบวมเล็กน้อย
เพราะการปรับสมดุลหยินหยางของปราณขวดสมบัติ ในเวลาสั้นๆ เขาจึงมีพลังยุทธ์เพิ่มมาหลายร้อยปี ความเร็วระดับนี้ไม่ด้อยกว่าการใช้ปราณหยินเพื่อยกระดับวรยุทธ์
“เรียนประมุขพรรค ขุนนางตรวจการของราชสำนักส่งจดหมายมา” องครักษ์ใกล้ชิดคนหนึ่งกล่าวเบาๆ ด้านนอกประตู
ลู่เซิ่งรู้สึกตัว ความคิดถูกขัดจังหวะ
“เอาเข้ามา”
องครักษ์ผลักประตูเข้ามาวางจดหมายลงบนโต๊ะ จากนั้นคำนับ แล้วล่าถอยไป
ลู่เซิ่งรอประตูห้องปิดลง ค่อยหมุนตัวเดินไปหยิบจดหมายบนโต๊ะมาเปิด ดึงกระดาษออกมา
ด้านบนเป็นเทียบเชิญที่ไป๋เฟิงเหล่าเต้าเขียนมา เชิญเขาไปงานพบปะเพื่อปรึกษาการเคลื่อนไหวที่ถี่ๆ ของพรรควาฬแดงในช่วงนี้
ถ้อยคำบนจดหมายซ่อนคมในความคลุมเครือ คล้ายคิดมอบแรงกดดันให้เขา
ลู่เซิ่งอดหัวเราะไม่ได้
‘ลืมไปว่าพวกเขาคิดว่าเราเป็นแค่ระดับตรีลักษณ์’
ผลการต่อสู้จนถึงตอนนี้ของเขา ที่ผู้คนรู้จริงๆ คือการเอาชนะสตรีกางร่ม การฆ่าฑูตเขตแดนและผู้ประกอบพิธีที่เหลือ คนทราบเรื่องไม่ได้แพร่งพรายออกไป ดังนั้นความรู้ของไป๋เฟิงเหล่าเต้ากับเซียวหงเย่ต่อเขาจึงหยุดอยู่ตอนก่อนหน้า
ในความทรงจำของพวกเขา เขายังเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางสายเลือดอ่อนแอที่เข้าร่วมตระกูลซั่งหยางคนหนึ่ง
ไป๋เฟิงเหล่าเต้าเป็นแค่ระดับตรีลักษณ์ เซียวหงเย่ก็ไม่ต่างกันนัก สำหรับลู่เซิ่งในตอนนี้ ระดับเช่นนี้ต่ำเกินไปจริงๆ
เขาวางจดหมายลงบนโต๊ะ ใคร่ครวญครู่หนึ่ง
‘ลองไปดูก่อน ในเมื่อรู้แล้วว่าเป้าหมายที่แท้จริงของผู้คุมจัตุรัสแดงไม่ใช่เรา อย่างนั้นไปสืบข่าวหาข้อมูลส่วนหนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกัน’
ลู่เซิ่งเผาจดหมายทิ้ง จัดการภารกิจพรรคส่วนหนึ่งในห้องหนังสือ ก่อนออกมากินอาหาร
อวี้เหลียนจื่อกำลังมารายงานเรื่องสำคัญในช่วงนี้ที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องที่พอดี
“ทางเมืองประสานมังกรปรากฏความวุ่นวาย โร่วหลงประมุขพรรคดาวเขียวกับยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งเกิดเรื่องในคืนเดียว นี่เป็นผลสรุปตามหลังที่เพิ่งส่งมา” อวี้เหลียนจื่อส่งเอกสารรายละเอียดชุดหนึ่งให้
“วางไว้ด้านข้าง มีเรื่องอะไรอีก” ลู่เซิ่งกล่าวเรียบเฉย
“อีกอย่างคือ คุณชายหยางเซ่ออกจากแดนเหนือโดยขึ้นเรือใหญ่ไปยังธารน้ำแข็งแล้ว ออกเดินทางไปตอนเช้าวันนี้” อวี้เหลียนจื่อกล่าวอย่างจริงจัง “รวมถึงคุณหนูซั่งหยางจิ่วหลี่ก็ส่งรายการวัตถุดิบยาที่ต้องการมาด้วย ในนี้มียาสองสามชนิดที่ในคลังหมดแล้ว จำเป็นต้องเก็บ…”
“รายงาน” ทันใดนั้นองครักษ์ใกล้ชิดคนหนึ่งก็วิ่งมานอกประตู “คุณหนูเฉินอวิ๋นซีเดินทางมายังหน่วยหลัก ใต้เท้านิ่งซานส่งคนไปคุ้มครองแล้ว ประมุขพรรคจะให้จัดการอย่างไร”
“อวิ๋นซีหรือ นางมาทำอะไร” ช่วงนี้ลู่เซิ่งยุ่งจนหัวฟู ไม่ได้ไปหานางนานแล้ว คนที่อยู่ข้างกายช่วยดูแลเรื่องหยุมหยิมทางเฉินอวิ๋นซีให้
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ ผู้คุมจัตุรัสแดงกับสมาคมหทัยร่อนเร่พร้อมจะระเบิดศึกใหญ่ได้ตลอด เขาอาจจะโดนลูกหลงไปด้วย
นอกจากนี้รองประมุขจวนอู๋โยว เย่หลิงม่อก็กำลังตามสืบเรื่องการตายของผู้ประกอบพิธีอยู่ เขาเกาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ล้ำลึก ถ้าไม่ระวัง ความลับอาจถูกเปิดเผย
ในเวลาแบบนี้ ลู่เซิ่งไม่มีเวลาพลอดรักกับเฉินอวิ๋นซี
แต่อย่างไรก็เป็นภรรยาที่ยังไม่แต่งงาน มาหาตนด้วยตัวเอง อย่างไรก็เมินเฉยไม่ได้
ลู่เซิ่งไตร่ตรอง “พานางมาสวนดอกไม้”
“ขอรับ!”
“นางมาคนเดียวหรือ ยังมีคนอื่นหรือไม่”
“เรียนประมุขพรรค ไม่มีคนอื่น คุณหนูอวิ๋นซีปลอมตัวออกจากบ้านมา” องครักษ์ใกล้ชิดรีบตอบ
ลู่เซิ่งพลันสีหน้าเคร่งเครียด
อวี้เหลียนจื่อแอบยิ้มอยู่ด้านข้าง
“ประมุขพรรคช่วงนี้ยุ่งกับภารกิจ คงจะไม่ทราบว่าคุณหนูอวิ๋นซีมักไปจุดธูปไหว้พระที่วัด ทุกๆ ครั้งจะจุดธูปขอความปลอดภัยให้ประมุขพรรคเล่มหนึ่ง”
ลู่เซิ่งได้ยิน สีหน้าค่อยๆ อ่อนโยนลง
“นางกังวลเกินไป ท่านไปเถอะ เรื่องอื่นๆ ท่านจัดการเอง นอกจากนี้อย่าลืมดูแลรองประมุขพรรคเฉินอิงด้วย เตรียมยารักษาสำหรับบำรุงไว้เยอะๆ ให้ความสำคัญกับโภชนาการในแต่ละวันด้วย”
“ทราบแล้ว ประมุขพรรควางใจ ข้าจะตั้งใจดูแล” อวี้เหลียนจื่อกล่าวอย่างเคารพ
ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาวางใจในตัวอวี้เหลียนจื่อ หลังกำชับหลายคำ ก็ลุกขึ้นเดินไปยังสวนดอกไม้
อากาศทึมทึบอยู่บ้าง ลู่เซิ่งรอในสวนดอกไม้ครึ่งชั่วยาม เฉินอวิ๋นซีที่แต่งชุดบุรุษก็เดินเข้ามาสวนดอกไม้ด้วยย่างก้าวเร่งรีบ
“ลู่เซิ่ง! ท่านไม่ไปหาข้าเลย”
นางมีสีหน้าไร้เดียงสา รอยยิ้มเจิดจ้าประดับบนใบหน้า
“คืนนี้ข้าไม่กลับไปแล้ว จะอยู่กับเจ้า ดีหรือไม่”
ลู่เซิ่งมองนางด้วยรอยยิ้ม มองจนเฉินอวิ๋นซีก้มหน้าอย่างเขินอาย เขาค่อยหัวเราะ กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าแบบนี้ไม่ดีต่อเจ้าเหมือนกัน” เขายื่นมือไปกุมแก้มเฉินอวิ๋นซีอย่างแผ่วเบา
ปราณหยินหยางขวดสมบัติสายหนึ่งซึมเข้าไปในร่างของเฉินอวิ๋นซีตามแก้มของนาง
ปราณขวดสมบัติเป็นวิชาหล่อเลี้ยงชีวิต ดังนั้นขอแค่เพิ่มการควบคุม ก็จะไม่จับตัวเป็นข่ายกระเรียนหยิน เกิดผลหล่อเลี้ยงพลังชีวิตเพียงอย่างเดียว ปราณภายในหล่อเลี้ยงชีวิตชนิดนี้มีผลยืดอายุขัย
ดังนั้นเขาจึงคิดจะทดลองจัดการโรคซ่อนเร้นให้แก่ภรรยาที่ยังไม่แต่งงาน อีกเดี๋ยวค่อยกลับไปจัดการให้พวกลู่เฉวียนอัน
แต่ว่าพอปราณภายในเพิ่งเข้าสู่ร่างกายของเฉินอวิ๋นซี ดวงตาที่เบิกบานในตอนแรกของเขาก็เปลี่ยนแปลงในพริบตา
มีกลิ่นอายประหลาดสายหนึ่ง!
เขาสัมผัสกลิ่นอายที่ลึกลับซ่อนเร้นสายหนึ่งที่เหมือนกับผู้คุมจัตุรัสแดงได้ในร่างกายของเฉินอวิ๋นซี
……………………………………….