ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 184 ไม่หัวเราะ (2)
บทที่ 184 ไม่หัวเราะ (2)
เมืองห่วงหยก อยู่ในเขตเมืองชาใส… นี่ทำให้ลู่เซิ่งเอะใจถึงอะไรบางอย่าง
‘ข่าวนี้ส่งมาหลายเดือนก่อน หมายความว่าเรื่องนี้เกิดเมื่อหลายเดือนก่อน หรือเกิดก่อนหน้านั้น ตอนนั้นเรากำลังยุ่งกับการลอบเล่นงานผู้คุมจัตุรัสแดง…’ ลู่เซิ่งเคาะโต๊ะเบาๆ ได้กลิ่นตุๆ แล้ว
การหายสาบสูญของหัวหน้าสาขาเช่นนี้หายากมาก ต่อให้เป็นโลกที่มีปีศาจอาละวาด ภูตผีปรากฏถี่ ทว่ายอดฝีมือระดับหัวหน้าสาขาปกติต่อให้ภูตผีคิดลอบโจมตี ก็ไม่แน่จะฆ่าอีกฝ่ายได้ สู้ไม่ไหวก็ยังหนีเอาชีวิตรอดได้
ต่อให้หนีไม่รอด ก็ส่งสัญญาณควันแจ้งข่าวก็ได้ สถานที่ที่ความประหลาดลี้ลับมีอันตรายต่างมีการทำสัญลักษณ์ไว้ ไม่มีทางบุกเข้าไปโดยไม่ส่งข่าวก่อน
ลู่เซิ่งพลิกไปด้านหน้าต่อ หยิบกระดาษจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากข่าวด่วนส่วนหนึ่งของจ้าวเจียวเจียว
‘ว่ากันว่าในหุบเขาลึกมีคฤหาสน์ลึกลับ คนเก็บฟืนกับคนเก็บสมุนไพรเล่าว่าไม่เคยเห็นคนที่เข้าไปออกมาเลย สงสัยว่าจะเป็นภูตผีตนใหม่โผล่มา เตรียมไปสืบดู’
ลู่เซิ่งหลับตา เขาสังหรณ์ว่าสองเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่สุดว่าจะมีการเชื่อมโยงกัน
…
เมืองชาใส พรรคชา
ต่งฉีประมุขพรรคนั่งอย่างกระวนกระวายในโถงใหญ่ นางถือชาใสสีเขียวป้านหนึ่ง กลับไม่ได้ดื่มลงไป
ข่าวด่วนที่รองประมุขพรรคเพิ่งส่งมา ทำให้นางวิตกมาโดยตลอด
‘ช่วงนี้ต้นชาบนเขาชาผืนใหญ่แห้งเหี่ยว การเติบโตย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ไม่เจอสาเหตุ ผลเก็บเกี่ยวในปีนี้เกรงว่าจะได้รับผลกระทบ’
นางได้ไปดูสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรมด้วยตัวเองแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะอะไร
ต่งฉีลุกขึ้น วางป้านชาลงบนโต๊ะ ก่อนเดินออกจากโถงใหญ่พร้อมความอึดอัดใจ ไปรับอากาศกลางลานด้านนอก
“ประมุขพรรค นอกประตูมีคนอ้างว่าเขาช่วยเราจัดการเรื่องต้นชาแห้งเหี่ยวได้ขอรับ!” องครักษ์ในพรรคคนหนึ่งเข้ามารายงานเบาๆ
ต่งฉีงุนงง
ต้นชาแห้งเหี่ยว นางไม่ทันได้ประกาศข่าว อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ทั้งมาหาถึงที่
หรือว่าในพรรคจะมีหนอนบ่อนไส้
นางเอามือไพล่หลังลังเลสักพัก ค่อยพยักหน้า
“เชิญเขาไปโถงรับแขก ข้าจะตามไป”
“ขอรับ” บริวารจากไป
ต่งฉีสงบสติอารมณ์ ดื่มชาสองสามคำ ก็ไปยังโถงรับแขก
พอเข้าไป เงาร่างที่ยืนอยู่กลางโถงก็สะกดนางไว้
นั่นเป็นบัณฑิตวัยเยาว์รูปร่างสูงชะลูด หน้าตาหล่อเหลา คนผู้นี้แสดงความมั่นใจและความสงบนิ่ง ถือร่มสีดำคันหนึ่งยืนอยู่กลางโถง กำลังชมภาพอาทิตย์ตกทะเลที่แขวนอยู่บนผนัง
“ข้าต้วนซีเฉิน คำนับประมุขพรรคต่ง” บัณฑิตประสานมือยิ้มให้นาง “ได้ยินว่าเขาชาแห้งเหี่ยว ซีเฉินมีความมั่นใจจึงมาเสนอตัว หวังว่าประมุขพรรคจะไม่ถือสา”
“มิกล้าๆ!” ต่งฉียิ้มแย้ม “ท่านมีปัญญาดั่งคบเพลิง ถ้ามีความสามารถจริงๆ พรรคจะมอบของตอบแทนให้แน่”
“ประมุขพรรคเกรงใจแล้ว” ต้วนซีเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็ถามคล้ายไม่ได้ตั้งใจ “จะว่าไปหน่วยหลักพรรคชาแห่งนี้คล้ายอึมครึมอยู่บ้าง ได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีผีอาละวาดหรือ”
ต่งฉีงงงัน ก่อนจะส่ายหน้า
“ไหนเลยมีผีอาละวาด นอกจากว่าในพรรคเกิดเรื่องไม่ดี”
“จริงหรือ” ต้วนซีเฉินแสดงความสนใจ “บอกเล่าได้หรือไม่ เรื่องของพรรคชาให้ข้าจัดการได้เต็มที่”
ต่งฉีละสายตาจากเขาไม่ได้ เพียงแค่ได้ยินคำพูดของเขา ก็รู้สึกอบอบอุ่นและปลอดโปร่ง ทำให้คนอยากทำให้คำขอของอีกฝ่ายเป็นจริง
“เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่ในเมื่อท่านอยากฟัง ข้าจะเล่าเอง”
…
ในหุบเขาลึก
เสียงสายฟ้าคำรามครืนครัน ฝนเทกระหน่ำ ป่าดำทะมึนถูกลมฝนพัดจนโยกเยก
โอย… โอย…!
ใต้เนินดำมืดกลางหุบเขา จางอู่หลางนอนครวญครางอยู่ในช่องเขา น้ำฝนผสมกับโคลนท่วมท่อนล่าง
ดินโคลนถล่มทับขาที่เต็มไปด้วยเลือดทั้งสองข้าง ตอนนี้น้ำโคลนสกปรกท่วมอยู่ ทั้งปวดทั้งบวม
ยื่นมือไปลูบคลำ ผิวหนังที่ขาไม่มีความรู้สึกบ้างแล้ว
‘แย่แล้ว ต้องรีบปีนขึ้นไป นอนที่นี่ต่อไปคงไม่รอด!’ เขาคืบคลานอย่างยากลำบาก เป็นเพราะก่อนหน้านี้ถูกกระแทกจนสลบไสล พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการกลับออกไป
ตอนนี้ฝนตกฟ้าร้อง ป่ามืดมิด แทบมองไม่เห็นเส้นทาง รอบๆ เป็นพุ่มไม้หยาบและต้นไม้ใหญ่
คิดจะหาเส้นทางกลับบ้านก็ลำบากแล้ว
‘อยู่นี่ต่อไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้เสียเลือดมากไป จะดึงดูดสัตว์ป่ามาหา…’ จางอู่หลางปกติเก็บสมุนไพรล่าสัตว์ในหุบเขา มีประสบการณ์การณ์โชกโชน
เขายันตัวขึ้นอย่างช้าๆ เดินกะโผลกกะเผลกออกจากช่องเนินเขาที่ลาดเอียง กวาดตามองซ้ายขวา หมายจะอาศัยแสงสายฟ้าที่ผ่าลงมาหาเส้นทางกลับออกไป
ทว่าเขาตกลงมาในหุบเขา ไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่ใช้ยามปกติ บวกกับพายุและสายฟ้า กลางดึกมืดสนิท ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายแบบนี้ คิดหาทางกลับออกไป ยากราวปีนป่ายขึ้นสวรรค์
แต่เขารู้ว่าถ้าตนยอมแพ้ อยู่กลางป่าลึกแบบนี้ เกรงว่าจะไม่รอดผ่านคืนนี้ พรุ่งนี้ต้องหนาวตายทั้งเป็น
แดนเหนือเดิมก็อุณหภูมิไม่สูงอยู่แล้ว ตอนนี้เป็นฤดูสารทคิมหันต์ เย็นกว่าเดิม จางอู่หลางฟื้นขึ้นมา ก็รู้สึกหนาวจนตัวสั่น ร่างกายบางส่วนถึงขั้นขอแค่หยุดขยับ ก็จะกระตุกแข็งทื่อทันที
“มีผู้คนหรือไม่” เขาลองตะโกน
แต่ว่าเสียงพายุฝนปะปนกัน เสียงฮือๆ แทรกเสียงฟ้าร้อง เสียงเบาๆ ของเขาดังออกไปไม่ไกลเท่าไหร่
จางอู่หลางจนปัญญา ได้แต่ลากร่างกายอันเหนื่อยล้าไปตามหาสถานที่ที่มีร่มเงามากพอสำหรับซ่อนตัวอย่างสุดความสามารถ แต่หลังจากหลบฝนได้ ลมเย็นที่พัดร่างเปียกชื้น ก็ยังคงหนาวแทบขาดใจ
เขาเดินพล่านอยู่ในป่า พลันเงยหน้าขึ้นมองเห็นแสงสีขาวจุดหนึ่งอยู่ด้านหน้า
‘แสงไฟใช่หรือไม่ มีคนหรือ’ จางอู่หลางยินดี พลันเริ่มเร่งฝีเท้า รีบรุดไปยังจุดที่แสงไฟสาดมา
ครืน
สายฟ้าผ่าลง ย้อมฟ้าดินเป็นสีขาวโพลนในพริบตาหนึ่ง
จางอู่หลางลากร่างที่อิดโรยอย่างยากลำบากออกจากป่าทึบ มาถึงด้านหน้าของแสงนั้น
สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ผุพังในหุบเขา บ้านหินหลายหลังกระจัดกระจาย ตั้งอยู่บนพื้นแข็งสีดำเหมือนกับเปลือกไม้แก่ๆ
ทอดตาดู แสงสีขาวนั้นมาจากบ้านหินหลังใหญ่ตรงประตูหมู่บ้าน
บ้านหินหลังนั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง สูงกว่าบ้านหินหลังอื่นช่วงหนึ่ง ประตูใหญ่เชื่อมติดกับบันใดหินที่ทอดสู่ทางซ้าย
จางอู่หลางกลืนน้ำลาย ในใจลิงโลด เร่งความเร็วเดินไปยังแสงสว่าง
ในป่าลึกแบบนี้ ยังเจอคนได้ นี่เป็นโชคดีมหาศาลแล้ว
“มีผู้คนหรือไม่!? รบกวนด้วย!” เขาตะโกนขึ้น เดินมาถึงด้านหน้าบันไดหินอย่างรวดเร็ว
บ้านหินแต่ละหลังในหมู่บ้านมืดสนิท มีแต่หลังนี้ที่จุดไฟ ทั้งยังอยู่ใกล้ประตูหมู่บ้านพอดี เขาจึงมุ่งมาทางนี้ทันที
“รบกวนด้วย! มีผู้คนหรือไม่” จางอู่หลางไม่ได้ยินคำตอบ ตะโกนขึ้นอีกครั้ง
เขาปีนขึ้นบันไดหินอย่างยากเย็น ในที่สุดก็ไปถึงด้านหน้าประตูบ้านของบ้านหิน
ก๊อกๆๆ
เขาเคาะประตู
แอ๊ด ประตูไม้ไม่ได้ปิด จึงเปิดออกเมื่อโดนเคาะ
จางอูหลางใจเต้น ในหุบเขาลึกที่อันตรายแบบนี้ ดึกดื่นค่อนคืนกลับไม่ปิดประตู นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ!
พึงทราบว่าในหุบเขามีสัตว์ร้ายอยู่มาก ไม่ปิดประตูตอนกลางคืน เกิดล่อเสือล่อตะเข้มา นั่นเท่ากับเป็นอันตรายต่อชีวิตแล้ว
แต่ตอนนี้สายฟ้ากับลมฝนผสมกัน ความหิวกับความหนาวเหน็บกดดัน เขาไม่สนใจอะไรมาก
จางอู่หลางกัดฟันผลักประตูเดินเข้าไป
ด้านหลังประตูเป็นลานกว้างขวาง ด้านในลานตรงข้ามกับประตูคือเรือนหลักที่แสงสีขาวสว่าง สามารถมองเห็นผ่านหน้าต่างได้ว่าคล้ายมีคนนั่งอยู่ตรงนั้น
จางอู่หลางพลันมีความหวัง
‘อาจเป็นเจ้าของบ้านสะเพร่าจนลืมปิดประตู ที่ตะโกนไปก่อนหน้านี้ อาจะเป็นเพราะฟ้าฝนเสียงดังเกินไป เลยไม่ได้ยิน’
เขาพลิกมือปิดประตู กระโผลกกระเผลกเดินไปยังเรือนหลัก
“ช่วยด้วย! มีคนหรือไม่!?” เขารู้สึกว่าร่างกายปวดหนึบขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบตะโกน
แต่เสียงสายฟ้าดังกัมปนาทขึ้น กลบเสียงร้องของเขาไว้
จางอู่หลางจนใจ ได้แต่เร่งฝีเท้าเดินไปยังเรือนหลัก
เดินถึงใต้ชายคา ลมฝนถูกบ้านหินบังไว้มากว่าครึ่ง เขาค่อยโล่งอก
“ข้าชื่อจางอู่หลาง ประมาทตกหุบเขากลางดึก สลบจนถึงตอนนี้ หวังว่าท่านเจ้าของบ้านจะให้ข้าได้ค้างสักคืน วันหน้าต้องตอบแทน!” เขาตะโกนร้องไปด้านในเรือนหลักด้วยเสียงอันดัง
เห็นคนที่นั่งอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจนจากด้านนอกหน้าต่างกระดาษสีขาว
ตรงกลางเรือนหลัก เงาคนคนนั้นถูกแสงสะท้อนลงบนหน้าต่าง ยังคงนั่งนิ่งเหมือนกับกำลังหลับ
“มีคนหรือไม่ ช่วยด้วย!”
“ช่วยด้วย!”
“ท่านเจ้าของบ้าน ช่วยด้วย!”
จางอู่หลางร้องอยู่หลายครั้งพลางทุบประตู
ด้านในไม่มีเสียงใด
เขาพลันหวาดกลัว
‘หรือหรือว่าจะเจอผีเข้าแล้ว!?’ จางอู่หลางสีหน้าค่อยๆ ซีดขาว กระสับกระส่ายอยู่บ้าง
ทันใดนั้นเอง
แอ๊ด…
ประตูบ้านเปิดออก
จางอู่หลางยินดี รีบเดินเข้าประตูไป
ด้านในเรือนหลักไฟตะเกียงส่องสว่าง อบอุ่นดังฤดูใบไม้ผลิ ด้านในบ้านประณีตงดงาม แตกต่างจากบ้านหินหยาบๆ ภายนอกโดยสิ้นเชิง
บนโต๊ะเก้าอี้และเครื่องเรือนซึ่งทำจากไม้มีลวดลายสลักไว้ บนผนังแขวนเครื่องประดับประหลาดที่ไม่รู้จัก บุรุษวัยกลางคนนั่งอยู่กลางเรือนหลัก
เป็นบุรุษวัยกลางคนร่างท้วม ใบหน้าไร้อารมณ์
“เล่าเรื่องตลกมา” เขาพลันเอ่ยปาก
จางอู่หลางงุนงง ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“อะไรนะ…” เขามองอีกฝ่าย ไม่ทราบว่าเมื่อครู่ตนเองหูฝาดหรือไม่ “ข้าชื่อจางอู่หลาง เป็นคนเก็บสมุนไพรที่อยู่แถวนี้ พลาดพลั้งตกเขา สลบจนถึงตอนนี้ กลับบ้านไม่ได้ ดังนั้นจึงมาขอความช่วยเหลือ หวังว่า…”
“เล่าเรื่องตลกมา”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นพูดอีกครั้ง
รอบนี้จางอู่หลางได้ยินชัดแล้ว รู้สึกผิดปกติ กวาดตามองรอบๆ เรือนหลักแห่งนี้นอกจากบุรุษผู้นี้ ก็ไม่มีใครอีก
มืดค่ำขนาดนี้ บุรุษผู้นี้นั่งในเรือนหลักสำหรับรับแขกคนเดียว ไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าไร้อารมณ์ อย่างไรก็รู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง
“ข้า…ข้า…เล่าเรื่องตลกไม่เป็น…ขออภัย…” จางอู่หลางรู้สึกใจหวิว ขาเริ่มสั่น
“เล่าเรื่องตลกมา”
เป็นครั้งที่สาม เสียงประหลาดและราบเรียบของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นอีกครั้ง
จางอู่หลางแทบเป็นบ้าแล้ว ก้าวถอยหลัง คิดออกจากประตู
“ข้า…ข้า…” เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึม เขาเริ่มหายใจกระชั้นถี่
โครม!
ทันใดนั้น ประตูบ้านปิดลงอย่างแรง
แสงตะเกียงในเรือนหลักดับวูบ ทุกอย่างตกสู่ความมืดมิด
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่
แสงสีขาวสว่างขึ้นในเรือนหลักที่มืดสนิทอีกครั้ง ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ
เงาคนที่นั่งบนตำแหน่งเจ้าบ้านถูกแสงตะเกียงส่องสะท้อนใส่กระดาษหน้าต่างอีกครั้ง ไม่ขยับเขยื้อน
นอกจากนี้ ในบ้านไม่มีคนอื่นอีก
“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย!” ทันใดนั้นนอกบ้านหินแว่วเสียงฝีเท้าดังมา
คนที่ทั่วตัวเปื้อนโคลนโซเซพุ่งเข้ามาในตัวลาน พอเห็นเรือนหลักที่จุดตะเกียง ก็พลันยินดี รีบเข้าไป
แอ๊ด…
ประตูไม้ปิดลงอีกครั้ง
“เล่าเรื่องตลกมา” เสียงดังออกมานอกหน้าต่างอีกครั้ง
……………………………………….