ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 188 ไม่หัวเราะ (6)
บทที่ 188 ไม่หัวเราะ (6)
“จะว่าไป ข้ากำลังไล่ตามเฉาหลงเพื่อตรวจสอบที่อยู่ของไข่มุกแดง ตระกูลตู๋กูแห่งทะเลบูรพาประกาศให้รางวัล เจ้าก็รู้ว่าศิษย์พี่เจ้าความสามารถอื่นไม่มี แต่การถ้ำมอง…เหอะๆ…” ว่านเหอจื่อหัวเราะชั่วร้าย
เหยียนไคถอนใจอย่างจนปัญญา
“ศิษย์พี่ ท่านแน่ใจว่าจะไล่ตามเฉาหลงไปได้ตลอดหรือ”
“แน่นอน! ข้าเป็นคนที่รับประกาศรางวัลของตระกูลตู๋กู…”
“อะไรนะ!? ท่านรับประกาศรางวัล?!” เหยียนไคพลันตกใจ เบิกตาลุกพรวด
แม้แต่ต้วนหรงหรงที่อยู่ด้านข้างก็ปิดปาก เห็นได้ชัดว่าตกใจ
“ท่านบ้าไปแล้ว! ว่านเหอจื่อ!” เหยียนไคร้องขึ้นอย่างอดไม่ได้ สับสนลนลาน “ท่านรู้หรือไม่ว่าถ้ารับประกาศรางวัลแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร?!”
“เอ่อ…ผลลัพธ์อะไรหรือ” ว่านเหอจื่อมองทั้งสองคนอย่างงุนงง
“ถ้าทำไม่สำเร็จ กายและวิญญาณจะแยกจากกัน กลายเป็นเชื้อเพลิงอัคคีวิญญาณอันเลวร้ายให้แก่อาวุธที่ตระกูลตู๋กูสร้าง!” เหยียนไคโมโหอกแทบแตก
“หา!?” ครั้งนี้ว่านเหอจื่อทราบความยุ่งยาก ตาค้างไปแล้ว ตอนที่เขาดึงประกาศมา ยังลำพองว่าตนมือไว
ประกาศที่ตระกูลตู๋กูติดไว้ ให้รางวัลมากมาย ชนิดว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาเห็นแวบแรก ก็พุ่งเข้าไปรับไว้ด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิตทันที
ตอนนั้นเขายังแปลกใจว่าเหตุใดสายตาที่คนรอบๆ มองมาจึงประหลาดนัก
ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว…
“จบกัน…” ว่านเหอจื่อตัวอ่อนระทวย ทั่วร่างเย็นเฉียบ ไม่มีแรงแม้แต่น้อย “จบสิ้นแล้ว…”
“ท่านนี่นะ!” เหยียนไคร้อนอกร้อนใจ ชี้นิ้วไปที่ศิษย์พี่แต่ไม่รู้จะพูดอะไร
“ศิษย์น้อง หรงหรง…ครั้งนี้จบสิ้นแล้ว…ศิษย์พี่…ชีวิตนี้… ชีวิตนี้ยังไม่เคยลิ้มรสสตรี ไม่สู้หรงหรงเจ้าพลีกาย…” ว่านเหอจื่อพึมพำด้วยสองตาหม่นหมอง
“ข้าจะฟ้องพี่สาวปิงหยวน!” ต้วนหรงหรงลุกขึ้นทันที
“อย่า! อย่า!” ว่านเหอจื่อพลันรู้สึกตัว ทำหน้าทุกข์ใจ “ข้าผิดไปแล้ว ข้ายอมรับผิดแล้ว ช่างเถอะ นี่เป็นข้ารนหาที่เอง…เดี๋ยวข้าไปตระกูลตู๋กู ดูว่าจะหาโอกาสพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่”
“ตอนนี้ทำอย่างไรดี” ต้วนหรงหรงทั้งขำทั้งโมโห ดูออกว่าว่านเหอจื่อเพียงพูดเล่น แต่หลังจากรู้ความจริง ก็ตกใจจนขวัญหายเช่นกัน นางจึงมองเหยียนไค
นางทราบว่าพี่เหยียนไคจะไม่ทำให้นางผิดหวัง
แม้ว่านเหอจื่อจะเป็นคนทราม แต่ก็เคยช่วยพวกเขาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง
“วิธีการในตอนนี้…ทำความเข้าใจก่อนว่าศิษย์พี่รับภารกิจอะไรมา” เหยียนไคเอ่ยอย่างจนใจ
…
เกี้ยวถูกวางหน้าประตูใหญ่พรรคชา
นิ่งซานเลิกม่านเกี้ยวออกอย่างพินอบพิเทา สตรีกางร่มตัวน้อยกระโดดออกมาเป็นคนแรก ถือร่มแดงยืนอยู่ด้านข้าง หันไปมองด้านหลัง
ลู่เซิ่งเดินออกมาจากในเกี้ยว มองต่งฉีประมุขพรรคชาที่รออยู่หน้าประตูใหญ่ ยังมีผู้บัญชาการกองทัพเฟยเหลียนที่อยู่ข้างๆ
“ต่งฉีคำนับประมุขพรรคลู่” “หลี่ฉยงกองทัพเฟยเหลียนคำนับประมุขพรรค!” ทั้งสองพากันคำนับ
ลู่เซิ่งพยักหน้า ต่งฉีเคยเจอเมื่อครั้งก่อน ส่วนหลี่ฉยงกองทัพเฟยเหลียนเป็นศิษย์ในพรรคที่เข้าร่วมกองทัพเฟยเหลียนมานาน ได้รับการเลื่อนยศ อิทธิพลที่เขาปกครองแดนเหนือมีส่วนในการเลื่อนยศที่ว่านี้
แดนเหนือของต้าซ่งในปัจจุบัน พรรควาฬแดงเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว ตระกูลซั่งหยางแห่งเก้าตระกูลของจงหยวนยืนอยู่เบื้องหลัง ซั่งหยางจิ่วหลี่เลื่อนสู่ระดับประมุขจวน ก้าวสู่ขั้นอสรพิษ ด้วยความสามารถของนาง เมื่อเลื่อนระดับย่อมไม่ใช่แค่สามขั้นล่าง
ในฐานะแม่ทัพใต้สังกัดของซั่งหยางจิ่วหลี่ ลู่เซิ่งย่อมมีบารมีมากกว่าเดิมเหมือนเรือขึ้นตามน้ำ
“สถานการณ์เป็นอย่างไร ผู้อาวุโสที่หายตัวไปมีข่าวหรือไม่” ลู่เซิ่งเดินเข้าหน่วยหลักพรรคชาพลางถาม
“ไม่มีขอรับ…จนถึงตอนนี้ผู้อาวุโสสวียังไม่มีข่าวใดๆ ผู้จัดการภารกิจภายนอกเฉินได้รับข่าว กำลังออกตามหา ทว่ายังไม่…ประมุขพรรครอผู้จัดการภารกิจภายนอกมาถึง ค่อยถามอย่างละเอียดเถอะ” หลี่ฉยงกองทัพเฟยเหลียนตอบเบาๆ
ลู่เซิ่งเดินเอื่อยๆ ไปบนระเบียงไม้ หันไปมองสวนดอกไม้ ธารน้ำ และภูเขาจำลองที่อยู่ด้านข้าง
ในสวนดอกไม้ยังมีเด็กเล็กหลายคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน เสียงดังมาก ยังมองมาทางนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เอ่อ…เป็นผู้เยาว์ของผู้อาวุโสในพรรค ไม่รู้จักมารยาท ข้าน้อยจะไป…” ต่งฉีตกใจเหงื่อกาฬไหล ก่อนออกมานางย้ำแล้วแท้ๆ ว่าให้กันทุกคนออกไปจากรอบๆ ตอนนี้ยังมีเด็กอยู่ เกิดว่าชนใส่ลู่เซิ่งที่ปัจจุบันเป็นประมุขพรรคเข้า นางรู้นิสัยของเขา ดูเหมือนเป็นมิตร แต่ยามลงมือไม่สนใจว่าเป็นใคร บอกฆ่าก็ฆ่าทันที
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งยกมือ กลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย
“เมืองชาใสเล็กๆ นี้ ข้ามาเป็นครั้งที่สองแล้ว” เขากล่าวอย่างราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออก
“เจ้าค่ะ คราก่อน ประมุขพรรคมาจัดการเรื่องคันฉ่องแก้ว…พริบตาเดียวก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว” ต่งฉีรีบกล่าวอย่างเคารพ
“ไม่นานนัก” ลู่เซิ่งยิ้มแย้ม “จ้าวเจียวเจียวเล่า”
หลี่ฉยงรีบตอบ “ผู้จัดการภารกิจภายนอกเจียว ออกไปตรวจสอบสถานการณ์นานแล้ว วันนี้ยังไม่กลับมา”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว “น่าสนใจ แม้แต่จ้าวเจียวเจียวก็เสียท่าที่นี่ ผู้อาวุโสคนหนึ่งกับผู้จัดการภารกิจภายนอกคนหนึ่ง ของพรรควาฬแดงเสียท่าที่นี่…”
พวกต่งฉีรวมถึงนิ่งซานและสวีชุยที่อยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าส่งเสียง ปัจจุบันลู่เซิ่งมีบารมีมากขึ้น ทุกๆ คำพูดและการกระทำมอบแรงกดดันมหาศาลให้ผู้คน พวกเขาอดประหม่าไม่ได้
“รายงาน!”
องครักษ์ใกล้ชิดคนหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ผู้จัดการภารกิจภายนอกเฉินกลับมาแล้ว ขอพบประมุขพรรค!”
“พาเขาเข้ามา” ลู่เซิ่งสั่ง
อย่างรวดเร็ว ชายชราผมขาวหน้าซีด ใบหน้าอมทุกข์ก็รีบเข้ามา คุกเข่าข้างหนึ่งก้มหัวถามโทษจากลู่เซิ่ง
“ข้าน้อยเฉินจงเทา คำนับประมุขพรรค! ขอให้ประมุขพรรคลงโทษ!”
“ลุกขึ้น เจ้ามีโทษใด เล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ
เฉินจงเทาเริ่มเล่าเรื่องที่ตนเจอมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“วันนั้นข้าน้อยกับผู้อาวุโสสวีฉวนโจวเข้าไปค้นหาเบาะแสในหุบเขาลึกด้วยกัน เป็นเพราะได้ยินว่าทุกครั้งเจ้าบ้านไม่หัวเราะจะโผล่มาตอนกลางดึก พวกเราจึงไปตอนกลางคืน หาไปหามา ข้าน้อยก็ได้ยินผู้อาวุโสสวีตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ จึงรีบเข้าไป รอจนถึงต้นตอของเสียงกลับไม่พบอะไร ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสสวี แม้แต่กลุ่มคนที่เขาพาไป ทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
“หมายความว่า ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าไม่รู้และไม่เห็นว่าผุ้อาวุโสสวีหายไปอย่างไร เพียงแค่ได้ยินเสียงตะโกนหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างราบเรียบ
“ขอรับ…เป็นเช่นนี้!” เฉินจงเทาก้มหน้ากล่าวอย่างผวา
ลู่เซิ่งมองเขา ไม่ได้ส่งเสียง
มองเขาอยู่ครู่หนึ่ง เหงื่อเย็นเยียบกลางหลังเฉินจงเทายิ่งมายิ่งมาก แทบทำให้หลังเขาเปียกชุ่ม
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น เฉินจงเทาถูกถีบกระเด็น กระแทกกับเสาเรือนอย่างแรง กระอักเลือดออกมา
คนอื่นๆ ตกใจตัวสั่น สวีชุยกับนิ่งซานหนังตากระตุก ต่งฉีหลับตาไม่กล้าดูต่อ
“ขอถามอีกรอบ” ลู่เซิ่งเดินถึงหน้าเฉินจงเทาอย่างสงบ “เจ้าแค่ได้ยินเสียง ไม่เห็นผู้อาวุโสสวีจริงๆหรือ”
เฉินจงเทากลิ้งตกพื้น รีบพลิกตัวคุกเข่า ปากเต็มไปด้วยเลือด
“ข้าน้อย…ข้าน้อย…”
“ตอบข้า!” ลู่เซิ่งถลึงตา ตวาดเสียงเฉียบ
เฉินจงเทาหวาดกลัวตัวสั่น ในที่สุดก็ทนไม่ไหว
“ข้าน้อยพบแล้ว…พบผุ้อาวุโสสวีแล้ว!” เสียงเขาถึงขั้นเจือสะอื้น ชายชราอายุเจ็ดสิบกว่าปีตอนนี้ร้องไห้เหมือนเด็ก
“เจ้าเห็นผู้อาวุโสวีขอความช่วยเหลือด้วยกระมัง” ลู่เซิ่งถามราบเรียบ
“ขอ ขอรับ…ข้าน้อยเห็นแล้ว…แต่ตอนนั้นข้าน้อย…หวาดกลัวเกินไป…บ้านหินหลังนั้น…” เฉินจงเทาน้ำหูน้ำตาไหล “คนมากขนาดนั้นไม่ทันไร ก็หายตัวไป…แม้แต่เงาก็มองไม่เห็น!” เขาหมอบคลานถึงข้างเท้าลู่เซิ่ง
“ประมุขพรรค ไม่ใช่ข้าน้อยรักตัวกลัวตาย แต่ไม่มีโอกาส ไม่มีโอกาสชนะจริงๆ เข้าไปก็มีแต่จะตายเปล่า! เพื่อรักษาชีวิตของพี่น้องในมือ!”
“นำไปจัดการตามกฎพรรค” ลู่เซิ่งสั่งอย่างเรียบเฉย
องครักษ์ใกล้ชิดสองสามคนรีบเข้ามา กระหนาบด้านข้างเฉินจงเทา แล้วลากตัวออกไป
เฉินจงเทาตัวสั่นเทา ไม่กล้าขยับ ถูกคนสองคนประคองออกไปเหมือนกับโคลนเหลว
ไม่มีคนร้องขอความเมตตา ลู่เซิ่งจัดการเขา ไม่ใช่เพราะเฉินจงเทาเห็นความตายไม่ช่วย หากแต่เป็นเพราะเขารู้เรื่องแต่ไม่แจ้ง
เกิดเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของสหายร่วมศึกในพรรค แต่ก็ยังไม่รายงานเพราะผลประโยชน์ส่วนตน ตามกฎพรรค ใช้มีดคู่ลงโทษ โทษไม่ถึงกับตาย ใช้มีดสองเล่มปักซี่โครง ถ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ อย่างน้อยก็อายุสั้นลง
“ทำให้เขาพูดสิ่งที่ควรพูด จากนั้นพวกเราไปดูว่าในหุบเขาลูกนั้นมีสิ่งใดกล้าลงมือกับคนของพรรควาฬแดงของข้า” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ
“ขอรับ” สวีชุยล่าถอย ไล่ตามเฉินจงเทาไป
“ตอนนี้พวกเรามาพูดถึงเรื่องเล่านั้น ที่ช่วงนี้แพร่หลายในเมืองชาใสดีกว่า” ลู่เซิ่งมองต่งฉี
“เป็นเรื่องเล่าไม่หัวเราะ” ต่งฉีก้มหน้ากล่าวอย่างเคารพ “ช่วงนี้พรรคชาใสของพวกเราก็มีคนหายตัวไปกลางดึกเช่นกัน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หุบเขาลึก กลับยังคงหายตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุ คนจำนวนมากสาบสูญในบ้าน มีเรื่องเล่ากล่าวว่า ในหุบเขาลึกมีบ้านหินหลังหนึ่ง เจ้าบ้านไม่หัวเราะอาศัยอยู่ด้านใน มีคนหลงเข้าไปในบ้าน ก่อนเตือนให้เขาออกจากหุบเขาลึก เจ้าบ้านไม่หัวเราะหลังมาถึงเมือง จำเป็นต้องมีคนเล่าเรื่องตลกที่ทำให้เขาหัวเราะ ไม่อย่างนั้นจะเข่นฆ่าคนไปทั่ว”
“เล่าเรื่องตลกหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
“ถูกต้อง” ต่งฉีพยักหน้า “ว่ากันว่า ถ้าเจอเจ้าบ้านไม่หัวเราะ จะต้องเล่าเรื่องตลกให้เขาหัวเราะในเวลาสั้นๆ จึงจะผ่านด่านได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์วันที่สองอีก”
ลู่เซิ่งส่ายหน้ายิ้มๆ กวาดตามองซ้ายขวา
“พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ ยังมีเรื่องเล่าประเภทนี้อยู่อีกหรือนี่”
นิ่งซานกลับใคร่ครวญอย่างจริงจัง
“ข้าน้อยว่าอาจจะเป็นความจริง เจ้าบ้านไม่หัวเราะนี้ในเมื่อมีกฎและชื่อเสียงแบบนี้เล่าลือกัน หมายความว่าต้องมีคนรอดจากเงื้อมมือเขา ดังนั้นจึงมีเรื่องเล่านี้แพร่หลายออกมา”
“มีเหตุผล” ลู่เซิ่งพยักหน้า
คนที่เหลือต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
……………………………………….