ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 202 ผละจาก (2)
บทที่ 202 ผละจาก (2)
พอลู่เซิ่งกลับมาถึงเรือวาฬแดง ก็ไปหาหงหมิงจือผู้เป็นศิษย์พี่ในห้องโอสถ เพื่อสอบถามวิธีจัดการดอกจตุวิญญาณอันเป็นยาล้ำค่าทันที
หลังจากทราบขั้นตอนรายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรม เขาก็ให้หงหมิงจือกับหมอยาช่วยกลั่นโอสถด้วยกัน
ดอกจตุวิญญาณอายุสามหมื่นปี พวกหงหมิงจือเหมือนได้สมบัติล้ำค่า เดิมทีพวกเขาแนะนำให้ลู่เซิ่งแบ่งกลั่นหลายครั้ง เป็นเพราะว่าฤทธิ์ของยาล้ำค่าชนิดนี้รุนแรงเกินไป ตัวยาที่กลั่นออกมาจะแรงมากจนกินไม่ได้
แต่ลู่เซิ่งขอให้พวกเรากลั่นไปเลย
ด้วยความจนปัญญา พรรควาฬแดงเริ่มรวบรวมวัตถุดิบยาชนิดอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบอย่างสุดกำลัง
ดีที่ในเวลานี้ ผู้อาวุโสระดับเอกะฟ้าหลายคนที่ออกไปค้นหายาล้ำค่ากลับมาแล้ว พวกเขานำวัตถุดิบยาอายุพันปีหลายชนิดกลับมาด้วย
พวกหมอยา เลือกตัวยาที่มีฤทธิ์ยารองจากตัวยาหลักจากด้านใน เพื่อเป็นตัวยาเสริมฤทธิ์ดอกจตุวิญญาณ
หลังจากผ่านการกลั่นสามวันสามคืน ในที่สุดโอสถจตุวิญญาณก็ออกจากเตากลั่น เป็นเพราะไม่ใช่ตำรับโอสถที่กลั่นยากแต่อย่างไร เพียงแค่กำจัดผลข้างเคียง เสริมฤทธิ์ยาหลัก ดังนั้นการกลั่นจึงไม่นับว่าเปลืองแรงมาก
แต่พวกหงหมิงจือเหนื่อยแทบตาย ลู่เซิ่งจึงถ่ายปราณให้พวกเขา ใช้พลังยุทธ์หนึ่งปีเป็นรางวัลค่าตอบแทน
โอสถนั้น นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครทนฤทธิ์ยาไหวอีก
ยาล้ำค่าอันรุนแรงที่เดิมควรแบ่งใช้หลายสิบครั้ง ถูกเขากลั่นในครั้งเดียว
ลู่เซิ่งนำโอสถจตุวิญญาณเข้าห้องลับ
ในเสียงครืนครัน ประตูหินปิดลง
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิตรงกลางห้อง เงยหน้ากินโอสถจตุวิญญาณโดยไม่ลังเล
โอสถเหมือนกับลูกหิมะ พอเข้าปากก็ละลายกลายเป็นของเหลวเย็นฉ่ำ ไหลลงสู่กระเพาะทันที ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิ ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย
หนึ่งชั่วยามผ่านไป สองชั่วยามผ่านไป
เขาหยิบโอสถจตุวิญญาณอีกเม็ดหนึ่งขึ้นมา แล้วเงยหน้ากินอีกครั้ง
จากนั้นก็ผ่านไปอีกสองชั่วยาม
โอสถจุตวิญญาณเม็ดที่สี่ถูกกินอีกรอบ
ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งโอสถจตุวิญญาณเม็ดที่ห้าถูกกิน ลู่เซิ่งค่อยหยุดลง
ตอนนี้ทั่วร่างเขาเริ่มมีไอน้ำจำนวนมากลอยออกมา น้ำในร่างกายระเหยออกจากรูขุมขนกลายเป็นไอหมอก
ฤทธิ์ของโอสถจตุวิญญาณน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด พุ่งทะลวงในร่างกายของเขาเหมือนสัตว์ป่า ทว่าเส้นลมปราณและหลอดเลือดของลู่เซิ่งก็แข็งแกร่งถึงขีดสุดเหมือนกัน ขอแค่ถูกกระแทกฉีกเพียงเล็กน้อย ปราณขวดสมบัติก็เร่งความเร็วฟื้นฟูทันที
ฤทธิ์ยาถูกกายเนื้อย่อยสลายดูดซับอย่างรวดเร็ว ถูกพลังฝึกปรือจำนวนพันปีอันยิ่งใหญ่เปลี่ยนเป็นปราณภายในที่บริสุทธิ์หลายสาย ก่อนหลอมละลายเข้าไปในร่างกาย
ปราณภายในที่เกิดจากฤทธิ์ยาถูกลู่เซิ่งเปลี่ยนให้กลายเป็นปราณภายในของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน และปราณหยินหยางขวดสมบัติในจำนวนเท่ากัน
ฤทธิ์ยาที่ดูเหมือนรุนแรง หลังเปลี่ยนแปลงในความเป็นจริง ยังดูดซับไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ที่เหลือเป็นสิ่งเจือปน ได้แต่กำจัดทิ้ง
หลังปราณภายในจากฤทธิ์ยาไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนนี้ผ่านการควบแน่นเป็นของเหลว ก็หดตัวลงเป็นส่วนใหญ่
รอถึงตอนค่ำของวันที่สอง ลู่เซิ่งก็เปลี่ยนแปลงฤทธิ์ยาทั้งหมดเสร็จ พลังฝึกปรือในความเป็นจริงมีพลังยุทธ์สามร้อยปีเพิ่มพรวดขึ้น
วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานกับปราณหยินหยางขวดสมบัติดูเหมือนมีปราณเหลวเพิ่มขึ้นวิชาละสามหยด เทียบเท่ากับพลังฝึกปรือวิชาภายในเพิ่มขึ้นโดยรวมหนึ่งระดับกว่าๆ
นอกจากนี้สิ่งที่ได้มาอีกอย่างทำให้เขาแตกตื่นยินดีอยู่บ้าง
ดอกจตุวิญญาณเดิมเป็นธาตุหยางที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด เป็นวัตถุดิบยาที่ร้อนแรงและเป็นพิษร้อน พิษร้อนในดอกจตุวิญญาณอายุสามหมื่นปีน่ากลัวยิ่งกว่า
พิษร้อนนี้เป็นส่วนสำคัญที่ลู่เซิ่งใช้รวมเป็นพลังฝึกปรือวิชากำลังภายในที่แท้จริง
ขณะที่พิษร้อนถูกกลั่นเป็นฤทธิ์ยา มันก็หลอมละลายเข้าไปในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน ทำให้พลังยุทธ์ของวิชานี้มีพิษร้อนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
เดิมทีพิษร้อนของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานก็น่าพรั่นพรึงมากอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะสิ่งที่ลู่เซิ่งต่อสู้มาตลอดเป็นภูตผีปีศาจและคนจากตระกูลขุนนาง จึงไม่ได้มีประโยชน์มากนัก
เพียงแต่ตอนนี้เมื่อมีพิษร้อนของดอกจตุวิญญาณเพิ่มมา ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่าวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติบางอย่าง
แม้พลังฝึกปรือจะไม่เพิ่มระดับ แต่อานุภาพของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานกลับถูกยกระดับอีกครั้ง คุณสมบัติของการควบแน่นมีความเหนียวเพิ่มขึ้น และเพราะหยินหยางชักนำกันและกัน แม้แต่ปราณขวดสมบัติก็หนาแน่นกว่าเดิมไปด้วย
ลู่เซิ่งไม่มีตัวเปรียบเทียบอย่างชัดเจน จึงไม่ทราบว่าปัจจุบันพลังแข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้ว
นอกจากนี้ดูจากผลกระทืบพสุธาเมื่อก่อนหน้า หลังจากโคจรวิชาแสงมายา เมื่อถีบเท้าออกไป จะได้ผลการกระทืบพสุธาฉบับแข็งแกร่งขึ้น หนำซ้ำยังแข็งแกร่งกว่ามาก
เขาจึงเปลี่ยนชื่อวิชาแสงมายาเป็น วิชากระทืบพสุธาแสงมายา
หลังจากการปิดด่านเวลาสั้นๆ ตอนที่ลู่เซิ่งออกมา การประลองก็จบลงแล้ว
คนสิบอันดับแรกที่ได้รับการคัดเลือกพากันเข้าร่วมสำนักอาทิตย์ชาด กลายเป็นคนของสำนักอาทิตย์ชาดในนาม ทว่าความจริงได้รับการชี้แนะสั่งสอนจากผู้อาวุโสระดับเอกะฟ้ามากมาย
พวกเอกะฟ้าได้รับการคุ้มครองอยู่ใต้ธงผืนใหญ่เช่นลู่เซิ่ง ตอนนี้ลู่เซิ่งกลายเป็นธงคันหนึ่งของแดนเหนือ คนจำนวนมากคิดว่าเขาจะต้องไม่ใช่มนุษย์แน่ แต่ส่วนใหญ่ไม่นำพา เป็นเพราะลู่เซิ่งอาศัยวรยุทธ์แสดงบารมี แค่นี้ก็พอแล้ว
หลังการประลอง ก็เป็นพิธีเข้าสำนัก ลู่เซิ่งเพิ่มข่ายกระเรียนหยินให้กับลูกศิษย์ที่เข้าสำนักใหม่เหล่านี้ จากนั้นก็เริ่มเตรียมงานแต่งงาน
…
“เจ้าอยากฝึกวรยุทธ์หรือ” ลู่เซิ่งมองเฉินอวิ๋นซีที่ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างประหลาดใจ
ทั้งสองคนอยู่บนหอประทานสุคนธ์ด้านในเมืองตามลำพัง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ใช้ขายถุงหอมแป้งน้ำ ทว่าชั้นสูงสุดของหอประทานสุคนธุ์ถูกลู่เซิ่งเหมา ให้เฉินอวิ๋นซีเลือกตามใจ
เพียงแต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ เฉินอวิ๋นซีกลับเสนอคำขอแบบนี้กับเขา
“ใช่แล้ว! ข้าไม่อยากตามหลังท่านมากเกินไป!” เฉินอวิ๋นซีตอบอย่างจริงจัง
“ตามหลังหรือ” ลู่เซิ่งมองหญิงสาวตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจความคิดในใจของอีกฝ่าย
“ใช่” เฉินอวิ๋นซีสงบนิ่งและจริงจัง แสดงว่าการตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดอย่างกะทันหัน
“ฝึกวรยุทธ์นั้นได้ เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ “เพียงแต่เจ้ารับความลำบากนั้นได้หรือ”
ต่อให้เขามีข่ายกระเรียนหยิน ถ่ายทอดวิชาให้นางได้ แต่นั่นจะอย่างไร ทักษะ กระบวนท่า วิชา ไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ผลลัพธ์หนึ่งเดียวจากการรีบร้อนถ่ายทอดวิชาคือการสร้างตัวแปลกประหลาดที่กำลังภายในแข็งแกร่ง แต่เป็นไก่อ่อนในด้านอื่นๆ
หนำซ้ำเมื่อคนที่ไม่มีพื้นฐานโดยสิ้นเชิงรับการถ่ายปราณ ส่งวิชาจนกลายเป็นยอดฝีมือ จะมีสภาพอันตรายยิ่ง
การไม่มีพื้นฐานหมายถึงร่างกายที่ไม่เคยผ่านการออกกำลัง หากจำเป็นต้องแบกรับความสิ้นเปลืองและการส่งเสริมปราณภายในอันมหาศาลในร่าง นั่นจะสร้างอาการบาดเจ็บซ่อนเร้นและภาระอันใหญ่หลวง
เหมือนกับเด็กถือปืนที่มีแรงถีบอันน่าตกตะลึง ขอแค่ใช้สักครั้ง จะถูกแรงถีบอันมหาศาลกระแทกร่างกายจนบอบช้ำ
ตอนหลอดเลือดและเส้นลมปราณในร่างเจอปราณภายในที่มีคุณภาพสูง ก็จะสร้างความเสียหายที่ชดเชยไม่ได้
หลายครั้งเข้า ไม่ต้องพูดถึงการหล่อเลี้ยงชีวิต แม้แต่อายุขัยธรรมดาก็ไม่แน่ว่าจะรับประกันได้
คิดจะเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย จะต้องเริ่มจากปราณภายในที่เล็กที่สุด ทำพร้อมกับการหล่อเลี้ยงร่างกาย ถึงจะปรับตัวได้
ตอนแรกลู่เซิ่งเผลอยกระดับวิชากำลังภายในมากเกินไป ต้องรักษาอาการบาดเจ็บหนึ่งปีถึงจะหายดี
เขาจึงถ่ายปราณให้แค่คนที่มีพื้นฐานแน่นแล้วเท่านั้น ไม่ใช่หาใครสักคนมาถ่ายปราณจนกลายเป็นยอดฝีมือได้
“อายุอย่างข้าสามารถฝึกฝนวรยุทธ์อะไรได้บ้าง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนืออย่างท่านเหตุใดไม่ชี้แนะสตรีตัวเล็กๆ เช่นข้า” เฉินอวิ๋นซีเห็นว่าลู่เซิ่งตอบรับ จิตใจก็เบิกบาน
“ต้องดูว่าเจ้าจะฝึกกำลังภายนอกหรือกำลังภายใน” ลู่เซิ่งกล่าวง่ายๆ เริ่มอธิบายความแตกต่างของกำลังภายนอกและกำลังภายใน
เฉินอวิ๋นซีเลือกวิชากำลังภายในที่คงความเยาว์วัยได้อย่างกระตือรือร้น ให้ลู่เซิ่งถ่ายทอดวิชาง่ายๆ ให้นางไปศึกษาอย่างละเอียดก่อน
สิ่งนี้อาศัยคุณสมบัติ ไม่ใช่ว่าใครก็ฝึกวิชากำลังภายในได้ ดังนั้นต้องดูก่อนว่าไหวหรือไม่
ลู่เซิ่งไม่ได้เห็นดีในตัวเฉินอวิ๋นซีเท่าไหร่ ถ้าหากนางมีคุณสมบัติ อย่างมากหลังนางมีพื้นฐาน ก็ถ่ายปราณให้สักสายหนึ่ง เพื่อช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายใน ให้มากไปกลับจะทำร้ายนาง
เหมือนกับนิ่งซาน แม้ปัจจุบันจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่กล้าใช้มั่วซั่ว ใช้เมื่อไหร่ก็บาดเจ็บเมื่อนั้น
จากนั้นลู่เซิ่งกับเฉินอวิ๋นซีก็ปรึกษากันเรื่องงานแต่งงาน ตระกูลลู่กับตระกูลเฉินเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว วันแต่งงานถูกกำหนดไว้ในอีกไม่กี่วัน
ลู่เซิ่งบอกเรื่องที่ตนเตรียมออกจากแดนเหนือไปยังจงหยวน ถึงแม้พวกลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดาจะอาลัยอาวรณ์ กระนั้นก็รู้ว่าลู่เซิ่งมีเส้นทางและทิศทางของตัวเอง ไม่ใช่ระดับที่พวกเขาจะเข้าไปก้าวก่ายได้อีกแล้ว จึงได้แต่ยอมรับ
แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะไปจงหยวนกับลู่เซิ่ง ที่นี่เป็นฐานทัพใหญ่ของตระกูลลู่และเป็นฐานทัพใหญ่ของพรรควาฬแดง
เฉินอวิ๋นซีอยากจะติดตามลู่เซิ่งไปด้วย แต่เขาเกลี้ยกล่อมนาง สตรีธรรมดาคนหนึ่งติดตามอยู่ข้างกายไม่ค่อยสะดวกสบายนัก ถูกใช้เป็นแต้มต่อสำหรับข่มขู่ได้อย่างง่ายดาย
เวลาเหมือนติดปีก พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายวัน วันแต่งงานในที่สุดก็มาถึง
…
“เฮ้อ…” ลู่เซิ่งนั่งถอนใจในห้องนอนตระกูลลู่
“คุณชายใหญ่เหตุใดจึงถอนใจ” เฉี่ยวเอ๋อร์หวีผมให้ลู่เซิ่งอย่างระวังและช่วยเขาจัดการรอยย่นบนเสื้อผ้า
ลู่เซิ่งใส่เสื้อเจ้าบ่าวสีแดงตัวใหญ่ มัดเชือกมัดผมสีแดงที่มีลวดลายประณีต แบกกิ่งท้อสีทองเหลืองซึ่งใช้สำหรับเปิดผ้าคุมหน้าเจ้าสาว
‘ข้าถอนใจเพราะ…’ ลู่เซิ่งโอดครวญในใจ
ใกล้ถึงงานแต่งงาน เขาค่อยนึกถึงปัญหาที่น่ากลัวถึงที่สุด
เฉินอวิ๋นซีเป็นแค่คนธรรมดา จะทนของเหลวใดๆ ที่ร่างกายเขาหลั่งออกมาได้ไหม
พึงทราบว่า ตอนแรกเขาไม่ได้แข็งกล้าเท่าตอนนี้ เซลล์ในเลือดที่หยดออกมาถึงขั้นกัดกร่อนโลหะเป็นหลุมเล็กๆ ได้
ปัจจุบันแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ การทำงานของร่างนี้ไปถึงขั้นเหนือจินตนาการแล้ว ถ้าหากไอ้ของเหลวหยดนั้นเข้าไปในตัวเฉินอวิ๋นซี…
ลู่เซิ่งพลันกลัดกลุ้ม
‘หรือว่าต้องถ่ายปราณให้เฉินอวิ๋นซีเพื่อให้ไปถึงระดับแข็งแกร่งสุดๆ ก่อน ไม่ได้… นอกจากจะเลื่อนถึงระดับพันธนาการในครั้งเดียว ไม่งั้นก็หมดหวัง นอกจากนี้กายเนื้อยังแข็งแกร่งไม่พอ เซลล์ก็ทำงานไม่ดีพอ…’
“ในที่สุดคุณชายใหญ่ก็จะได้แต่งงานแล้ว มีลูกจ้ำม่ำสักคนเร็วๆ ตระกูลลู่ถึงนับว่ามีทายาท พรรควาฬแดงที่ยิ่งใหญ่มีคนรับช่วงต่อ! เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ! น่ายินดีมากๆ!” เครือญาติในครอบครัวด้านนอกสนทนาเรื่องในอนาคตเสียงดัง บรรยากาศชื่นมื่น เสียงดังเข้าห้อง
“ลูกจ้ำม่ำ…” ลู่เซิ่งปวดหัวกว่าเดิม
เขานวดหัวคิ้ว ไม่รู้ว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไร เขาแข็งแกร่งเกินไป ถ้าหากเข้าหอกับเฉินอวิ๋นซีจริงๆ ควบคุมพลังไว้ดีๆ อาจไม่มีเรื่อง แต่เวลาสำคัญก็ต้องมีลูกกันอยู่ดี ถึงตอนนั้น ถ้าเกิดเรื่อง…
‘ดูเหมือนจะยังมีลูกไม่ได้…’ ในที่สุดลู่เซิ่งก็ตัดสินใจ
ที่สายเลือดของตระกูลขุนนางเจือจางก็เพราะมีคนแต่งงานกับมนุษย์ การไปจงหยวนในครั้งนี้อาจจะเจอวิธีการแก้ไขเรื่องนี้ก็ได้
……………………………………….