ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 213 สนธยา (3)
บทที่ 213 สนธยา (3)
“ขอรับ ระดับสอง” ลู่เซิ่งเอะใจถึงบางสิ่ง จึงบอกต่ำๆ ไว้ก่อน ความจริงเขาเลื่อนถึงระดับสาม กำลังจะเลื่อนถึงระดับสี่แล้ว
แต่พอนึกได้ว่าวิชามีทั้งหมดเก้าระดับ เขาจึงบอกว่าตนเองอยู่ในระดับสอง
ผู้อาวุโสใหญ่อ้าปาก พูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
ศิษย์คนก่อนๆ ที่เลื่อนระดับเร็วแบบนี้มีใครบ้าง เขาจำไม่ได้แล้ว เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
คุณสมบัติแบบนี้…ที่มาสำนักมารกำเนิดอาจจะเป็นเพราะสำนักมีคลังหนังสือที่มีอายุมากกว่าสำนักส่วนใหญ่กระมัง
พูดอีกอย่างก็คือ เขามาเพื่อหนังสือจริงๆ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เข้าสำนักอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายยิ่ง
ผู้อาวุโสใหญ่มองศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักได้ไม่กี่เดือนตรงหน้า ยินดีระคนงุนงง รู้สึกเหมือนเห็นฟ้าหลังฝน
ก่อนหน้านี้เขาลำบากตามหาศิษย์ที่มีคุณสมบัติไม่เลวไปทั่ว หวังว่าจะส่งต่อเชื้อไฟของสำนักต่อไปได้ในวันสุดท้าย เช่นนี้ต่อให้หน่วยหลักเปลี่ยนมือ สำนักล่มสลาย ก็ยังคงถ่ายทอดต่อได้
แต่ตอนนี้ ตอนที่ศิษย์ซึ่งมีคุณสมบัติโดดเด่นที่แท้จริงมายืนอยู่ต่อหน้า ผู้อาวุโสใหญ่พลันมีความรู้สึกเหลือเชื่อซึ่งอธิบายไม่ถูก เป็นความยินดีประดุจฝนตกจากฟ้า
ผู้อาวุโสใหญ่เคยคิดมาก่อนว่า ลู่เซิ่งเป็นสายลับที่สำนักอื่นส่งมาหรือไม่ เพียงเพราะต้องการทำให้ตนเชื่อใจ จึงแสดงออกเช่นนี้ ทว่าเขาก็ปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ทันที
ถ้าหากว่าเป็นสายลับของสำนักอื่นจริงๆ ศิษย์อย่างลู่เซิ่งอยู่ในสำนักเล็กๆ ไปเรื่อยๆ เกรงว่าจะถูกคนอื่นซื้อตัวไปแล้ว
สำนักขนาดใหญ่ไม่สนใจกิจการอันกระจ้อยร่อยของสำนักมารกำเนิด พวกเขาหาหน่วยหลักสำนักมารกำเนิดได้สองแห่ง สามแห่ง หรือมากกว่านี้ แต่ถ้าเป็นศิษย์ที่มีคุณสมบัติดี ก็ไม่แน่ว่าจะเจอว่าที่ยอดฝีมือระดับสุดยอดของสำนักหลายๆ คนได้อย่างง่ายดาย
‘แค่ไม่กี่เดือนก็เลื่อนถึงระดับสอง ศิษย์คนอื่นๆ อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งปี คุณสมบัตินี้ไม่เลวยิ่ง…แต่ต้องคอยสังเกตต่อไป เกิดว่าฝากการสืบทอดของสำนักให้ผิดคน…’ อยู่ๆ ผู้อาวุโสใหญ่ก็นึกถึงศิษย์อีกสองคนที่เหลืออยู่
คนหนึ่งคือเฟยหวงจื่อ ตอนนี้มองออกแล้วว่าเขาคิดไม่ซื่อ ตอนแรกตัวเองมองผิดไป
อีกคนคือเหอเซียงจื่อ ซื่อสัตย์ ซื่อบื้อ ถึงขั้นที่โง่เขลายู่บ้าง ความเชื่อถือและความซื่อสัตย์ต่อสำนักเป็นอันดับหนึ่ง แต่ว่าคุณสมบัตินั้น…ฝึกมาสิบเก้าปี ตอนนี้ยังติดอยู่ในระดับเก้าของวิชาไร้มูลเหตุ
คิดถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสสูดหายใจเฮือกหนึ่ง
“เจ้า…อึดอัดตรงไหนหรือไม่” วิชาไร้มูลเหตุจำเป็นต้องใช้ปราณภายในกระตุ้นหว่างคิ้ว หากในระยะเวลาสั้นๆ เกิดความถี่มากเกินไป จะทำให้ร่างกายแบกรับภาระไม่ไหว เขาจึงถามเช่นนี้
ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของเขา ดูจากเปลือกนอกของอีกฝ่าย ตนคล้ายไม่ได้อยู่ในสภาพปกติ ถือว่าแสดงออกเร็วเกินไป
“ยังดีอยู่ขอรับ ไม่มีตรงไหนอึดอัด”
“เช่นนั้นก็ดีๆ เจ้าโคจรวิชาไร้มูลเหตุให้ข้าดู” ผู้อาวุโสคล้ายกับกระตือรือร้นขึ้นเล็กน้อย
ลู่เซิ่งทางหนึ่งนึกถึงใบหน้าไฟหยิน ทางหนึ่งกระตุ้นร่างกาย กล้ามเนื้อมัดเล็กๆ บนร่างเริ่มสั่นไหวน้อยๆ การสั่นไหวนี้เขาจงใจควบคุมเอาไว้ ไม่ให้แตกต่างจากระดับสองมากเกินไป
“อัคคีจิตส่องสว่างเอง ใช้ได้ๆ!” ผู้อาวุโสแวบเดียวก็มองสภาพของลู่เซิ่งในตอนนี้ออก เป็นระดับอุดมคติของศิษย์ในสำนักแล้ว
“ต่อจากนี้ข้าจะสอนจุดสำคัญของวิชาไร้มูลเหตุในขั้นต่อไป…” เขาขมีขมันขึ้นมาในทันที แต่เปลือกนอกยังคงไม่แสดงท่าที
ลู่เซิ่งนั่งลงตั้งใจเรียนคาบเช้าส่วนตัว
เวลาสองชั่วยามไม่นานก็ผ่านไป ตอนที่ลู่เซิ่งเดินออกจากถ้ำ กลับเห็นเฟยหวงจื่อที่ยืนพิงกำแพงอยู่ที่ปากบันได
เฟยหวงจื่อจ้องเขาอย่างเย็นชา ดวงตามีความรู้สึกบางอย่าง
หึ!
เขาแค่นเสียง ก่อนหมุนตัวไป
ลู่เซิ่งมองส่งเฟยหวงจื่อออกไปไกล จนหายไปในความมืด
วันเวลากลับคืนสู่จังหวะเหมือนเมื่อก่อนหน้า
เรียนคาบเช้า อ่านหนังสือ ฝึกวิชา พักผ่อน เรียนคาบเช้า อ่านหนังสือ ฝึกวิชา…เช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา
ปราณขวดสมบัติของลู่เซิ่งไม่นานก็ฟื้นฟูจนเต็ม เขายกระดับวิชาไร้มูลเหตุอีกรอบ
เหง่ง…หง่าง…
ออกมาจากหอเก็บหนังสือ ลู่เซิ่งปิดประตูถ้ำแน่น ได้ยินเสียงระฆังดังช้าๆ ด้านนอก
ยืนอยู่ที่หน้าต่าง เขามองออกไปด้านนอก เห็นพื้นที่กว้างขวางด้านล่างหน้าผาหินค่อยๆ ถูกเงามืดปกคลุม แสงสีแดงบนเสาหินเริ่มสลัวลงเช่นกัน
ราตรีมาถึงแล้ว
แอ๊ด…
ลู่เซิ่งปิดหน้าต่าง กลับไปนั่งลงบนเตียง เริ่มนั่งขัดสมาธิเข้าสู่ห้วงสมาธิ
‘ปราณขวดสมบัติฟื้นฟูเกือบหมดแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่สอนจุดสำคัญของสองระดับต่อจากนี้ไปแล้วด้วย ลองเลื่อนระดับวิชาไร้มูลเหตุดู’ เขาทำตามแบบแผนเดิม ตั้งสมาธิกลั้นลมหายใจ เริ่มนึกถึงใบหน้าคนด้วยไฟหยิน
‘ดีปบลู’
กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนโผล่ขึ้นตามความคิด ลอยอยู่ด้านหน้าเขา
ลู่เซิ่งกดปุ่มปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย เห็นเครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นน้อยๆ วิชาในกรอบส่วนใหญ่ปรากฏปุ่มยกระดับได้อยู่ด้านหลัง
เขาเจอวิชาไร้มูลเหตุที่โผล่มาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
[วิชาไร้มูลเหตุ: ระดับที่สาม ผลพิเศษ: เพิ่มความแข็งแกร่งระดับสาม]
‘เป็นวิธีการฝึกฝนขั้นพื้นฐานที่ธรรมดามาก แต่มันก็เป็นพื้นฐานสำหรับวิชาต่อจากนี้ เรียบง่ายและสำคัญ ลองดูก่อนว่าจะยกระดับกายเนื้อในตอนนี้ของเราได้มากขนาดไหน’ ลู่เซิ่งคิดในใจ จากนั้นหลับตาลง เพ่งสมาธิทั้งหมดไว้บนปุ่มด้านหลังวิชาไร้มูลเหตุ แล้วกดอย่างแผ่วเบา
‘ยกระดับวิชาไร้มูลเหตุถึงขั้นที่สี่’
ฟุ่บ!
กรอบเล็กๆ พลันเลือนลง ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณขวดสมบัติในร่างหายไปประมาณหนึ่งในหกส่วน
ไม่นานกรอบก็ชัดขึ้นอีกครั้ง เนื้อหาด้านในเปลี่ยนไป
[วิชาไร้มูลเหตุ: ระดับที่สี่ ผลพิเศษ: เพิ่มความแข็งแกร่งระดับสี่ สำนึกมารระดับหนึ่ง]
‘สำนึกมารหรือ’ ลู่เซิ่งนึกถึงเนื้อหาแนะนำของวิชา รวมถึงผู้อาวุโสใหญ่เคยพูดขึ้นโดยบังเอิญว่า ถ้าวิชาไร้มูลเหตุบรรลุขอบเขตอันสมบูรณ์ได้ จะมีโอกาสสองสามส่วนที่จะฝึกฝนสำนึกมารได้ก่อน
ความจริงแล้วสำนึกมารเป็นความคิดที่กระจัดกระจายเช่นความฟุ้งซ่าน และความอยาก
ความคิดอันกระจัดกระจายเหล่านี้ไม่ว่าใครต่างก็มี ไม่อาจทำให้หายไปได้ พวกเขาสร้างขึ้นมาตลอดเวลา และอาจจะหายไปได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นกัน
จริงๆ แล้วการตรึกตรองสำหรับฝึกวิชาไร้มูลเหตุใช้การรวบรวมสมาธิ สกัด และออกกำลัง เพื่อให้บรรลุผลขจัดความคิดฟุ้งซ่าน
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าความคิดฟุ้งซ่านจะหายไปโดยสิ้นเชิง
หากอนุมานตามทฤษฎีและหลักตรรกะของตัวลู่เซิ่งเองแล้ว
‘ความคิดฟุ้งซ่านที่ถูกขจัดไปจะโดนบีบให้ออกจากความคิดเชิงอัตวิสัย นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะหายไป ถ้าหากจิตใจแข็งแกร่งเกินไป ความคิดฟุ้งซ่านและจิตมุ่งร้ายจะเกาะติดอยู่ด้านข้างผู้ฝึกฝน ย่อมเกิดเป็นสภาพจิตที่ส่งผลต่อจิตใจ และก่อให้เกิดภาพหลอน’
‘นี่ก็คือสำนึกมาร’ ลู่เซิ่งลืมตา ลุกขึ้นเดินไปถึงอ่างน้ำมุมกำแพง มองตนเองผ่านการสะท้อนของผิวน้ำ
ถ้าหากบอกว่าก่อนที่จะเลื่อนระดับ เขาปกปิดตนเองจนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปผ่านสภาพหยินโชติช่วง อย่างนั้นเขาในตอนนี้ก็มีความชั่วร้ายบางอย่างบนตัว มองไกลๆ ทำให้คนจิตใจปั่นป่วน บังเกิดความหวาดกลัว
‘นี่คือผลของสภาพจิต คล้ายกับยานอนหลับชนิดส่งผลต่อประสาท’ เขาใช้ความคิด ผลของสำนึกมารก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เขาในน้ำกลับเป็นเหมือนก่อนหน้า ธรรมดาไม่มีสิ่งพิเศษ คล้ายกับคนทั่วไป
นี่เป็นผลของสภาพหยินโชติช่วง สภาพหยินโชติช่วงอันแข็งแกร่งสามารถเก็บซ่อนสารกาย ปราณ และจิตทั้งหมด รวมถึงปฏิกิริยาทางสรีระวิทยาที่เกี่ยวข้อง
สำนึกมารถือเป็นความคิดฟุ้งซ่าน อยู่ในขอบเขตของจิตใจ ดังนั้นจึงถูกสภาพหยินโชติช่วงของลู่เซิ่งควบคุมไว้เช่นกัน
‘นอกจากนี้ดูเหมือนความแข็งแกร่งของร่างกายคล้ายรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันมากกว่าเดิม การป้องกันเองก็มีการเลื่อนระดับเล็กน้อย… ไม่ต้องคำนวณก็ได้’
เขาย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่านี่สมเหตุสมผลแล้ว ร่างกายของเขาแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ที่วิชาลับระดับวิชาไร้มูลเหตุมีผลเพิ่มความแข็งแกร่งต่อเขา ก็ไม่เลวแล้ว
ปัจจุบันตามหาเนื้อหาในวิชาวรยุทธ์ที่มีส่วนช่วยต่อเขาอย่างใหญ่หลวงได้ยากมาก ดังนั้นลู่เซิ่งจึงฝากความหวังไว้ที่วิชาลับของตระกูลขุนนาง ถ้าหากวิชาลับไม่ได้ความ อย่างนั้นเขาก็ได้แต่ต้องจำใจสั่งสมพลังภายใน หาปราณหยินเพื่อเรียนรู้ต่อไป ดูว่าจะเดินบนเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อนในด้านวิชากำลังภายในได้หรือไม่
ทว่าแค่ดูจากความตั้งใจในการสร้างวิชากำลังภายในเหล่านั้น กว่าจะเลื่อนระดับถึงขั้นอาวุธเทพศัสตรามาร คงจะยากลำบากมาก…อีกทั้งความหวังยังเลือนราง ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเรียนรู้วิชาวรยุทธ์ขนาดไหน ก็มีขีดจำกัดอยู่ เรื่องนี้เขาเริ่มสัมผัสได้แล้ว แม้แต่เครื่องมือปรับเปลี่ยนก็ทำไม่ได้
ความตั้งใจในการสร้างวิชากำลังภายในเกือบทั้งหมดอยู่ในขอบเขตปราณภายในและสภาพปราณ ไม่ได้พูดถึงการควบแน่นปราณภายในแม้แต่น้อย แนวคิดและการทำความเข้าใจของปราณภายในส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับตื้นเขิน จึงไม่มีส่วนช่วยใดๆ ต่อลู่เซิ่ง
ถึงขั้นผู้บัญญัติวิชาไม่เข้าใจความพิเศษโดยธรรมชาติอันมากมายของการควบแน่นปราณภายในด้วยซ้ำ ยังใช้ความคิดที่คาดเดาผิดพลาดของตนเอง เรียนรู้สร้างวิชาที่ดูเหมือนร้ายกาจขึ้นมา
นี่เป็นเรื่องจนปัญญา ปราณภายในส่วนหนึ่งเมื่ออยู่ในสภาพคุณสมบัติที่แตกต่าง ก็จะแสดงออกแตกต่างไปด้วย กฎเกณฑ์และปรากฏการณ์มากมายจะปรากฏออกมาหลังควบแน่นเท่านั้น ลู่เซิ่งใช้วิธีนี้จึงค่อยเรียนรู้ความพิเศษกับสาระสำคัญของปราณภายในออกมาได้
เหมือนกับไมโครฟิสิกส์กับมาโครฟิสิกส์ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ นิยามหลายๆ อย่างไม่อาจใช้รวมกันได้
วิชากำลังภายในก็เป็นเช่นนี้ ความคิดต่อวิชากำลังภายในจำนวนมาก หลังจากควบแน่นแล้ว ลู่เซิ่งก็พบว่าเป็นความผิดพลาด ใช้ไม่ได้ ได้แต่คลำทางใหม่
‘หวังว่าวิชาลับจะให้ทิศทางใหม่กับเราได้’ ลู่เซิ่งสัมผัส สภาพของตนเองในปัจจุบัน ‘ฟ้าสว่างค่อยไปบึงมารอีกรอบ การเลื่อนสู่ระดับต่อไปน่าจะใช้เวลาไม่กี่วัน’
เขาดึงตู้ใบเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากใต้เตียง นี่เป็นโอสถกระจายพลัง โอสถที่เขาให้บริวารในพรรคส่งมาให้
เป็นโอสถล้ำค่าที่ใช้บำรุงเลือดลม ด้านในผสมตัวยาราคาแพงไว้มากมาย ทรงประสิทธิภาพในการบำรุงเลือดลม โดยเฉพาะด้านบำรุงเลือดหล่อเลี้ยงหยิน
หลายวันมานี้เขาอาศัยมันมาชดเชยการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง
ถึงแแม้อาหารของสำนักนี้จะมีหยินหยางสมดุล แต่ให้น้อยเกินไป ทุกๆ ครั้งหลังจากไปบึงมาร ลู่เซิ่งจะเสียปราณขวดสมบัติมหาศาล ต้องการสารอาหารและโภชนาการสำหรับบำรุงจำนวนมากมาเร่งการฟื้นฟูปราณภายใน
อาศัยแค่สิ่งของอันน้อยนิดในสำนักย่อมไม่พอ ดังนั้นจึงต้องใช้โอสถกระจายพลัง
เทออกมาสองเม็ดแล้วโยนเข้าปาก ลู่เซิ่งเคี้ยวละเอียดก่อนกลืน นั่งสมาธิอีกครั้ง วิชาไร้มูลเหตุเพิ่งเลื่อนระดับ จำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งปล่อยให้ร่างกายพักผ่อนและ ซ่อมแซมอาการบาดเจ็บซ่อนเร้นที่เกิดขึ้นเพราะการเลื่อนระดับอย่างกะทันหัน
…
ในวันต่อมา
ลู่เซิ่งยังคงไปเรียนคาบเช้าตามเวลา ตั้งใจจะไปฝึกร่างกายที่บึงมาร ผู้อาวุโสสอนเคล็ดวิชาต่อจากวิชาไร้มูลเหตุให้ลู่เซิ่งฟังอย่างใจกว้าง
การแสดงออกของลู่เซิ่งทำให้เขาปลื้มใจ แม้เป็นเนื้อหาที่เขาเคยสอน ลู่เซิ่งก็ทำความเข้าใจและจดจำได้อย่างง่ายดาย
พริบตาเดียวผ่านไปอีกเจ็ดแปดวัน ลู่เซิ่งกินโอสถกระจายพลังหมดแล้ว วันนี้ต้องไปรอคนมาส่งที่นอกถ้ำ
เขาส่งจดหมายถึงมือพลพรรควาฬแดง และทำความเข้าใจสถานการณ์ในเมืองกระดิ่งขาวได้อย่างง่ายดายผ่านนกส่งสารพิเศษของสำนัก
ยืนพิงประตูถ้ำ ลู่เซิ่งมองดูสายฝนขมุกขมัวด้านนอก เหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ
“คิดถึงบ้านหรือ” เหอเซียงจื่อไม่รู้ว่ามาถึงด้านหลังของลู่เซิ่งตอนไหน นางยืนพิงผนังเลียนแบบเขา
……………………………………….