ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 224 ปลอมแปลง (2)
บทที่ 224 ปลอมแปลง (2)
อาจเป็นเพราะเพื่อแย่งชิงผลงานกัน หรือเพราะหวาดกลัว คนชุดดำผู้นี้ได้รับการจัดสรรให้ทำหน้าที่จัดการสตรี แต่ภารกิจสร้างผลงานหลักกลับถูกสองคนนั้นชิงไปแล้ว
ทว่าเรื่องพวกนี้เขาไม่นำพา เดิมตัวเขาก็ไม่เคยคิดจะสร้างผลงานอะไรอยู่แล้ว
อ๊าก!
อยู่ๆ ไกลออกไปก็แว่วเสียงร้องโหยหวนดังมา
คนชุดดำชะงักฝีเท้า เงยหน้ามองไปยังที่ไกล
‘จัดการได้แล้วหรือ ดูเหมือนน่าจะกลับได้แล้ว’ เขาหมุนตัวจะไปยังทิศทางของเส้นทางน้อยที่เหอเซียงจื่ออยู่
ทันใดนั้นเขาหยุดฝีเท้าลง เยื่อดำโผล่ขึ้นทั่วร่างอย่างกระทันหัน
เขาหมุนตัว ยกมือขึ้น
เปรี้ยง!
แสงสีแดงเจิดจ้าสายหนึ่งหมุนด้วยความเร็วสูง มาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวน่ากลัว กระแทกสองแขนของเขาอย่างรุนแรง
ในเสียงกระแทกอันอึงอล กระแสอากาศโปร่งแสงถูกบีบกลายเป็นถาดกลม แล้วระเบิดไปทั่วทิศ
พลังงานบนแสงสีแดงรุนแรงอย่างยิ่ง ทำให้เสื้อผ้าบนแขนของคนชุดดำถูกฉีกออกหมดสิ้น เยื่อดำเหมือนกับฟองน้ำที่ถูกลมพัดจนเปลี่ยนรูปร่าง กระตุกและฉีกขาดออกอย่างคลุ้มคลั่ง
ซู่…
เขาไขว้แขนบังไว้ด้านหน้า เท้ายันพื้นไว้ แต่ทั้งตัวยังถูกพละกำลังอันมหาศาลกระแทกไปด้านหลัง
หินที่ใช้ยันไว้ข้างใต้เท้าถูกบดแหลก คนชุดดำรับแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว
“ระฆังวิญญาณ ทำงาน!” ระฆังใหญ่สีดำที่พร่ามัวใบหนึ่งลอยขึ้นด้านหลังคนชุดดำ
ระฆังสีดำพลันระเบิดออก ปล่อยเส้นสายโปร่งแสงเหมือนรยางค์หลายเส้นออกมาแตะด้านหลังเขา
พลังของคนชุดดำเหมือนเพิ่มขึ้นในฉับพลัน ในที่สุดก็ตั้งหลักได้
แสงสีแดงที่หมุนวนอยู่นั้นในที่สุดก็ช้าลง ถูกเขาจับไว้ในมือข้างหนึ่ง
สองมือสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแข็งตัน คนชุดดำเพ่งตามองดู ในมือเป็นทวนวงเดือนสีแดงฉานอันเป็นอาวุธของผู้ร่วมงานสองคนนั้น
สองแขนร้อนลวกจนมีควันดำลอยขึ้นมา ทวนวงเดือนเป็นสีแดงเพลิงเพราะการเสียดสีและการกระแทกที่รุนแรง ตัวทวนบิดงอแล้ว
“นี่…!” คนชุดดำสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เงยหน้ามองทิศทางที่ทวนพุ่งมา ไม่ต้องมองเขาก็รู้ว่าสหายร่วมงานสองคนนั้นเกรงว่าจะประสบเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี
“ไป!” เขาพลันตวาดเสียงเฉียบขาด
ไม่ไกลออกไป คนชุดดำทั้งสามคนเล่นงานเหอเซียงจื่อจนตัวโชกเลือด หายใจรวยริน ใกล้จะฟื้นตัวไม่ไหว เห็นว่ากำลังจะสำเร็จ กลับได้ยินอาจารย์สั่งให้พวกเขาถอย
คนทั้งสามมองเหอเซียงจื่ออย่างไม่ยินยอม แต่ต้องฟังคำสั่งของอาจารย์ จีงรีบล่าถอย
“สำนักมารกำเนิด…” คนชุดดำมองทิศทางที่ทวนวงเดือนลอยมาอย่างล้ำลึกเป็นครั้งสุดท้าย เขารู้ว่านี่เป็นแค่การเตือน ระยะเวลาเวลาตั้งแต่ได้ยินเสียงทวนวงเดือนจนกระทั่งมาอยู่ในมือแล้ว เขาก็กะประมาณได้โดยพื้นฐานว่าอาวุธชิ้นนี้ถูกซัดมาจากระยะที่ค่อนข้างไกล
‘ห่างกันขนาดนี้ ยังมีอานุภาพรุนแรงถึงเพียงนี้ อีกฝ่ายกำลังเตือนอยู่หรือ” คนชุดดำนำศิษย์สามคนถอยไปยังปากถ้ำอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดอะไรมาก
แฮ่ก…แฮ่ก…
เหอเซียงจื่อเข่าทรุดลงกับพื้น เหงื่อผสมกับเลือดหยดลงบนพื้น
“ในที่สุดก็จบแล้ว…” นางรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเหนื่อยเท่านี้มาก่อน
ต่อให้เป็นตอนที่อยู่คนเดียวข้างนอกกับสามีก่อนที่จะมาอยู่กับอาจารย์ ก็ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้
ความรู้สึกที่ขอแค่ช้าเพียงเล็กน้อย ก็อาจตกสู่สภาพจนตรอกทุกห้วงวินาทีนั้น ทำให้นางต้องกดดันให้ตัวเองสำแดงศักยภาพทั้งหมดรับมือสภาวะโจมตีที่จู่โจมเข้ามา
เหอเซียงจื่อเข้าใจดีว่า ถ้าไม่ใช่อีกฝ่ายทั้งสามคนมีความคิดหยอกล้อนางเล่นตั้งแต่เริ่ม นางคงถูกจัดการในเวลาไม่นาน
ยังมีเสียงแหวกอากาศและเสียงอึงอลในตอนสุดท้าย บางทีการจากไปของทั้งสามคนนั้นอาจเกี่ยวข้องกับเสียงนั้น
“ศิษย์พี่ ท่านไม่เป็นไรกระมัง” ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามาใหูนาง
เหอเซียงจื่อฝืนเงยหน้ามอง กลับเห็นลู่เซิ่งที่น่าจะจากไปแล้ว ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าตนอย่างพร่าเลือน
“ศิษย์น้องลู่หรือ…ไม่ใช่ ศิษย์น้องลู่ไม่ใช่ไปแล้วหรอกหรือ พวกเจ้า… อย่าใช้ภาพหลอนมาหลอกข้า!” เหอเซียงจื่อแผดเสียงพลางดิ้นรนตะเกียกตะกาย
“ข้า…ยังไม่แพ้!” แม้ว่าหน้านางจะบวมจนบังดวงตาไว้แล้ว เหลือแค่รอยแยกสองสาย ในดวงตาที่มองจากด้านในไปด้านนอก ก็ยังมีความคิดสู้ตายที่แน่วแน่
ลู่เซิ่งมองเหอเซียงจื่อ พลันเกิดความเลื่อมใสที่บรรยายไม่ถูกต่อนางในสภาพนี้
“ไม่ว่าใคร ไม่ว่าแข็งแกร่งอ่อนแอ รวยหรือจน ถ้าหากว่าไม่กลัวแม้กระทั่งความตายเพราะการตัดสินใจของตน อย่างนั้น เขาก็ควรค่าแก่การนับถือ เพราะ ชีวิตของทุกคนมีได้แค่ครั้งเดียว” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปโอบกอดปลอบประโลมเหอเซียงจื่อ
เหอเซียงจื่อความจริงมองไม่ชัดแล้ว
เสียเลือดมากเกินไป บาดเจ็บสาหัสเกินไป สองตาของนางสูญเสียการมองเห็นที่ควรมีไปนานแล้ว นางเพียงแต่สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่ามีคนมาใกล้ๆ แหงนหน้ามอง แต่ยกสองขาไม่ขึ้น ได้แค่กึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
“พอแล้วศิษย์พี่ ข้าเองๆ” เสียงของลู่เซิ่งดังมา กอปรด้วยความสบายใจเข้มข้น “ไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ”
ร่างที่เกร็งของเหอเซียงจื่อค่อยๆ ผ่อนคลายลงตามเสียงของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งปลอบนางสักพัก ค่อยทำให้นางทราบว่าไม่ใช่ภาพหลอน
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย…ศิษย์น้อง เจ้าทำไม…ถึงกลับมาล่ะ อาจารย์เล่า อาจารย์ไม่เป็นไรกระมัง?!” เหอเซียงจื่อรีบถาม
“อาจารย์ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งตอบอย่างอ่อนโยน “ข้าก็เจอศัตรูเมือนกัน หลังจัดการอีกฝ่ายเสร็จรู้สึกไม่วางใจ จึงกลับมาดู”
“เจ้าก็เจอเหมือนกันหรือ” เหอเซียงจื่อพลันเคร่งเครียด “เจ้าอย่าได้โทษอาจารย์ ข้าต่างหาก ข้าต่างหากที่เป็นตัวล่อ! พวกเขาไม่สมควรรู้ตำแหน่งของเส้นทางลับ จริงด้วย ต้องเป็นเฟยหวงจื่อแน่!” นางพลันกัดฟันกรอดๆ “คนทรยศนั้น เขาอาจจะรู้ถึงการมีอยู่ของเส้นทางลับ!”
“เอาล่ะๆ พักผ่อนก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งปลอบ เหอเซียงจื่อจึงรู้สึกอ่อนล้า ค่อยๆ ล้มลงในอ้อมอกเขา แล้วหลับไหลไป
ลู่เซิ่งอุ้มนาง หมุนตัวกลับถึงถ้ำบนหน้าผา วางนางไว้ในถ้ำของตัวเอง จากนั้นไปดูอาจารย์ที่สลบไป
ทั้งตัวผู้อาวุโสใหญ่เต็มไปด้วยบาดแผล นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ไม่ทราบอีกนานเท่าไหร่ถึงจะฟื้นขึ้นมา
ตอนนี้ซ่งจื่ออันค่อยปรากฏตัวขึ้นอย่างแผ่วเบา เดินจากด้านหลังมาถึงข้างๆ ลู่เซิ่ง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจารย์กลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร” เขาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นอกจากนั้นเมื่อครู่ข้ายังได้ยินเสียงที่สุสาน แต่เวลายังไม่มาถึง ไม่มีการเสริมพลังของอาจารย์ ข้าก็ออกมาไม่ได้”
“ศิษย์พี่ซ่งจื่ออัน ในสำนักเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ พวกศิษย์พี่หน้าขาวเล่า เหตุใดจึงไม่ออกมา” ลู่เซิ่งไม่เหลียวกลับ ถามเสียงทุ้ม
“ศิษย์พี่หน้าขาว…เจ้าไม่รู้หรือ” ซ่งจื่ออันสูดหายใจลึก นั่งลงบนพื้น “ศิษย์พี่หน้าขาวความจริงไม่ใช่คน เป็นความประหลาดลี้ลับที่ตายในสำนักมานานแล้ว ไม่อาจติดต่อได้ ถึงแม้ตอนนี้นางจะควบคุมหลายเรื่องราวในสำนักทุกๆ วัน แต่นั่นเป็นการกระทำอันแน่นอนก่อนตาย ร่างกายนางเหมือนความว่างเปล่า ไม่อาจสัมผัสได้ในขอบเขตปกติ เว้นแต่ว่าเจ้าเข้าไปในขอบเขตของความประหลาดลี้ลับที่ถูกกำหนดไว้เป็นพิเศษของพวกนาง เหมือนกับถ้ำเล็กๆ ส่วนหนึ่งตอนเจ้าเพิ่งเข้าถ้ำ ศิษย์พี่หน้าขาวที่เจ้าเห็นตอนนั้นเพียงเคลื่อนไหวได้แค่ในอาณาเขตเล็กๆ ของตัวเองเท่านั้น”
“ความประหลาดลี้ลับหรือ” ลู่เซิ่งคิดไม่ถึงจะได้คำอธิบายแบบนี้
“พวกเราออกมาได้แค่ตอนฟ้ามืด เสียงระฆังคือการแบ่งขีดจำกัดเวลาเคลื่อนไหวของพวกเจ้าและพวกเรา ข้ายังดี ยังประคองสติให้แจ่มใสได้ แต่ศิษย์พี่หน้าขาวนาง…” ซ่งจื่ออันมีสีหน้าไม่น่าดูนัก “ต่อให้อาจารย์เข้าอาณาเขตของนาง ก็ไม่แบ่งเป็นมิตรหรือศัตรู”
“ตอนนี้ค่ำแล้วหรือ จริงด้วย วันนี้เหตุใดไม่มีเสียงระฆัง” ลู่เซิ่งพลันถาม
ซ่งจื่ออันพลันงุนงง “จริงด้วย วันนี้เหตุใดจึงไม่มีเสียงระฆัง”
ลู่เซิ่งลุกพรวด เดินไปถึงหน้าต่าง มองไปด้านนอก
เป็นอย่างที่คาด บนเสาหินด้านล่างผนังถ้ำ ตอนนี้มีสตรีนางหนึ่งที่พันศีรษะด้วยผ้าสีขาวยืนอยู่ มือนางถือขวานฟันฟืนเล่มหนึ่งชี้ลงดิน ร่างกายเต็มไปด้วยรอยเลือด
ลู่เซิ่งย่นคิ้วมองนาง ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายสงบนิ่งยิ่ง แต่เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการลุกไหม้และเสียงแผดร้องอันรุนแรงด้านในตัวนาง
ความโกรธแค้นที่อัดอั้นไว้ชนิดนั้น ต่อให้อยู่ห่างกันขนาดนี้ เขาก็เหมือนยังรู้สึกได้
“นางมาแล้วจริงๆ” ซ่งจื่ออันยืนด้านข้างลู่เซิ่ง “บางทีศิษย์พี่อาจจดจำความทรงจำส่วนหนึ่งและคนสำคัญบางคนได้ ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ได้เคาะระฆังอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“นางคิดทำอะไร” ลู่เซิ่งไม่เชื่อว่าความประหลาดลี้ลับที่สูญเสียการควบคุมจะจดจำความรู้สึกใดๆ ได้ เด็กผู้หญิงที่หมู่บ้านตระกูลซ่งก่อนหน้านี้ก็เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ แม้แต่พี่ชายแท้ๆ ยังเกือบถูกนางฆ่าทิ้ง ทั้งยังทำร้ายครอบครัวของตัวเอง
“ไม่ทราบ…เวลานี้ข้าไม่กล้าเข้าใกล้นาง”
ซ่งจื่ออันส่ายหน้า “แต่ว่าพวกเราผ่านความลำบากในครั้งนี้มาได้อย่างไร ตอนคนพวกนั้นผ่านสุสาน ขนาดอยู่ห่างๆ ข้ายังสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวบนตัวพวกเขา มีพลังเยื่อดำที่แข็งกล้าเหมือนอาจารย์”
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้ากลับมาก็เป็นแบบนี้แล้ว อาจารย์หมดสติ ศิษย์พี่เหอเซียงจื่อก็เกือบตาย” ลู่เซิ่งส่ายหน้า แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เขาย่อมรู้ว่าซ่งจื่ออันไม่ได้อยู่ตรงนี้ ด้วยประสาทสัมผัสของเขาในปัจจุบัน รอบๆ ตัวมีสิ่งไหนซ่อนเอาไว้ ยากจะปิดบังเขาได้
คนชุดดำระดับอสรพิษที่จากไปก่อนหน้านี้สัมผัสตำแหน่งของลู่เซิ่งไม่ได้ เขากลับสัมผัสอีกฝ่ายได้ก่อนก้าวหนึ่ง นี่เป็นเพราะพวกที่มีสายเลือดตระกูลขุนนางไม่ได้แข็งแกร่งด้วยตัวเอง หากเป็นผลลัพธ์ที่อาศัยวิชาลับและพลังของสายเลือดที่กลายพันธุ์เนื่องจากรังสีของอาวุธเทพศัตรามาร
เดิมทีเมื่อร่างกายแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง ก็จะทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าแข็งแกร่งขึ้น และทำให้การรับรู้บรรลุถึงขั้นเหลือเชื่อ
“เช่นนั้นต่อจากนี้จะทำอย่างไรดี” ซ่งจื่ออันมองลู่เซิ่ง แม้เวลาเข้าสำนักของศิษย์ที่เพิ่งมาไม่กี่เดือนผู้นี้จะสั้นยิ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกชวนสบายใจ
“ข้าเดาว่าสมควรมีบุคคลลึกลับมาช่วยพวกเรา แต่ว่าในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากทิ้งชื่อแซ่และสถานะไว้ เช่นนั้นไม่ต้องเดาส่งเดช ตอนที่ควรรู้ก็จะรู้เอง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง “ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือให้อาจารย์กับศิษย์พี่ฟื้นฟูและรักษาอาการบาดเจ็บ คนชุดดำเหล่านั้นพ่ายแพ้กลับไป ครั้งหน้าจะต้องเกรงกลัวกว่าเดิม ก่อนที่จะรู้ตื้นลึกหนาบางของคนที่ช่วยพวกเรา คาดว่าจะไม่บุกเข้ามาง่ายๆ อีก”
“มีเหตุผล!” ซ่งจื่ออันพยักหน้า “น่าเสียดายข้าออกมาได้แค่ตอนกลางคืน ช่วยเจ้าไม่ได้มากนัก กลับเป็นสำนักที่อาจารย์คุ้นเคย เจ้าเขียนจดหมายให้เจ้าสำนักสวนปลอดโปร่ง ให้พวกเขาลงมือช่วยเหลือ
“สำนักสวนปลอดโปร่งหรือ”
“อืม แม่เฒ่าชิงคงเจ้าสำนักกับอาจารย์เมื่อครั้งเยาว์วัย อะแฮ่มๆ” ซ่งจื่ออันไม่ได้พูดต่อ แสร้งเป็นกระแอม
ลู่เซิ่งหันกลับไป เห็นผู้อาวุโสใหญ่บนเตียงทำหน้าถมึงทึงขณะมองซ่งจื่ออัน
“ปากไม่มีหูรูด!” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวตำหนิ
“อาจารย์! ท่านฟื้นแล้วหรือ” พวกลู่เซิ่งรีบเข้าไปหา
“ฟื้นแล้ว เรื่องต่อจากนี้ให้ข้าจัดการเอง รบกวนเจ้าแล้วเสี่ยวเซิ่ง จื่ออัน” ผู้อาวุโสใหญ่ถอนใจเบาๆ
……………………………………….