ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 225 ขีดจำกัดและกฎเกณฑ์ (1)
บทที่ 225 ขีดจำกัดและกฎเกณฑ์ (1)
“เมื่อครู่อยู่ๆ ข้าก็หมดสติไป ภายหลังฟื้นมาทุกอย่างก็ถูกแก้ไขแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ผู้อาวุโสใหญ่ถามเสียงทุ้ม ขณะเดียวกันก็มองซ่งจื่ออันกับลู่เซิ่ง “จื่ออัน เจ้าเจออะไรหรือไม่”
ซ่งจื่ออันเป็นวิญญาณ ความรู้สึกถึงการดำรงอยู่ต่ำสุดขีด ขอแค่ไม่ตั้งใจตรวจสอบ คนปกติก็ยากจะค้นพบ ดังนั้นจึงมักได้ข้อมูลสำคัญส่วนหนึ่ง
ทว่าครั้งนี้ผู้อาวุโสใหญ่สิ้นหวัง ซ่งจื่ออันก็ส่ายหน้าตาม เงียบงันไม่พูดอะไร
จากนั้นลิ่วซานจื่อก็มองลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งตอบ “ศิษย์เองก็ไม่ทราบ ตอนที่ข้ามาถึงทุกอย่างก็จบแล้ว”
ผู้อาวุโสใหญ่ไร้คำพูด จากนั้นถามรายละเอียดอื่นๆ ส่วนหนึ่ง เกี่ยวกับว่าทำไมลู่เซิ่งจึงกลับมาอย่างกระทันหัน
ลู่เซิ่งแต่งคำพูดไว้แต่แรก ตอนนี้เล่าอย่างละเอียด ปรับคำตอบให้สมบูรณ์เล็กน้อย หลังจากตอบการสอบถามของอาจารย์เสร็จ แม้ผู้อาวุโสใหญ่จะกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แต่ก็พอจะถูไถไปได้
เรื่องนี้สุดท้ายแม้ไม่จบก็ต้องจบ ต่างคนต่างกลับไปพักผ่อนฝึกฝนต่อ
เนื่องจากต้องรักษาอาการบาดเจ็บ บวกกับตอนนี้สำนักมารกำเนิดไม่ปลอดภัยอีก ผู้อาวุโสใหญ่จึงเชิญคนของสำนักสวนปลอดโปร่งมาภายใต้การเสนอแนะของซ่งจื่ออัน
หลายวันถัดจากนั้น ลู่เซิ่งเห็นคนของสำนักสวนปลอดโปร่งที่สวมเสื้อขาวกางเกงแดงเดินไปทั่วสำนัก
ผู้อาวุโสใหญ่คล้ายปลงแล้ว ไม่กดดันให้ลู่เซิ่งกับเหอเซียงจื่อร่ำเรียนทักษะวิชาลับอย่างบ้าคลั่งอีก เดินไปทั่วอย่างกระตือรือร้น จัดการบางอย่างพร้อมกับคนของสำนักสวนปลอดโปร่ง
ลู่เซิ่งทราบว่า ครั้งนี้แม้เขาจะจัดการความยุ่งยากในที่ลับได้ แต่ก็ไม่ใช่แผนการระยะยาว จะจัดการเรื่องนี้ได้โดยสมบูรณ์ ยังต้องพิสูจน์ตัวเองในงานชุมนุม รับการตรวจสอบจากสำนักอื่นๆ ในร้อยเส้นสาย เพื่อสร้างสำนักรับสมัครนักเรียนใหม่อย่างมั่นคง
เป็นเพราะว่าสำนักอ่อนแอเกินไป ดังนั้นสำนักที่ออกหน้าสอบถาม หมายจะยึดครองทรัพย์สมบัติของสำนักมารกำเนิดคงจะมีไม่น้อย การท้าทายที่ต้องเผชิญก็ไม่น้อยเช่นกัน
ลู่เซิ่งกลับไม่กลัวการท้าทายเหล่านี้ แต่ห่วงว่าขุมกำลังของคนชุดดำเมื่อก่อนหน้าจะม้วนพสุธากลับมาใหม่
ดังนั้นหลังจากเรื่องสงบแล้ว เขาก็หมกตัวในหอเก็บหนังสือของสำนักมารกำเนิด
…
“สหายลู่” บุรุษวัยเยาว์สวมชุดเหลือง ใบหน้าอ่อนโยนผู้หนึ่งประสานมือให้ลู่เซิ่งเล็กน้อย “อาจารย์ต้องการให้ข้ามาเอาหนังสือส่วนหนึ่งเกี่ยวกับหยกแดงไป”
บุรุษวัยเยาว์ผู้นี้แซ่จ่าน ชื่อข่งหนิง เป็นนักเรียนที่แม่เฒ่าชิงคงแห่งสำนักสวนปลอดโปร่งสั่งสอนเอง ครั้งนี้แม่เฒ่าชิงคงนำกลุ่มคนมาช่วยสำนักมารกำเนิดฝ่าฟันอุปสรรค น้ำใจนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ
จ่านข่งหนิงมาพร้อมกับอาจารย์ พลังฝึกปรือวิชาลับแข็งแกร่งกว่าเฟยหวงจื่อไม่น้อย บวกกับมีสายเลือดเข้มข้น ให้ความรู้สึกพร้อมเลื่อนสู่ระดับสัตตะลักษณ์ตลอดเวลาแก่ลู่เซิ่ง
แม้ว่าจากระดับสัตตะลักษณ์ถึงระดับอสรพิษ จะเป็นด่านที่เหมือนกับร่องน้ำทางธรรมชาติ ผู้มีสายเลือดเข้มข้นในตระกูลขุนนางจำนวนมากยังไม่อาจข้ามด่านนี้ได้ตลอดชีวิต พลังต่อสู้ระดับสัตตะลักษณ์ในสำนักถึงจะอ่อนแอกว่าขั้นหนึ่ง แต่ก็ยากเย็นเหมือนกัน
ดีที่จ่านข่งหนิงยังหนุ่ม ปีนี้อายุไม่เกินสามสิบปี อายุแค่นี้ก็บรรลุจุดสูงสุดของระดับฉลักษณ์ อยู่ในสำนักสามขั้นล่าง นับว่าไม่เลวแล้ว
“สหายจ่าน ข้าไม่รบกวนแล้ว ท่านตามสบาย” ลู่เซิ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะกำลังพลิกคัมภีร์อ่าน เห็นอีกฝ่ายก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ
ช่วงนี้ จ่านข่งหนิงมาหอเก็บหนังสือแทบทุกวัน เพื่อหาหนังสือให้แม่เฒ่าชิงคงโดยเฉพาะ
“ขอบคุณมาก” จ่านข่งหนิงสาวเท้าเดินไปยังชั้นหนังสือที่เคยหยิบหนังสือมา
หลังจากเขาเดินไป ตรงประตูเบื้องหลังก็ปรากฏหญิงสาวศีรษะเล็ก หากแต่งดงามเพริศแพร้วคนหนึ่ง
จ่านหงเซิงมองลู่เซิ่งที่นั่งอยู่เฉยๆ อย่างไม่พอใจ
“วางมาดอะไรอยู่ได้ พวกเราเดินทางไกลเป็นพันลี้มาช่วยเหลือ หรือมาเพื่อช่วยคนที่ไม่รู้จักมารยาทประเภทนี้”
นางเป็นน้องสาวของจ่านข่งหนิง ติดตามพี่ชายมาหยิบหนังสือหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่มา ก็เห็นสีหน้าสงบนิ่งเรียบเฉยของลู่เซิ่ง แตกต่างกับสีหน้าซาบซึ้งเป็นล้นพ้นของเหอเซียงจื่อราวฟ้ากับเหว
ความแตกต่างที่มากเกินไปนี้ทำให้จ่านหงเซิงไม่ชินอยู่บ้าง
“ถ้าไม่ใช่พวกเรามาช่วยทันเวลา สำนักมารกำเนิดนี้เกรงว่าจะถูกทำลายจนล่มสลายไปแล้ว ยังวางมาดอีกหรือ” นางค่อนขอด
หลังจากสำนักมารกำเนิดถูกจู่โจมในครั้งก่อน ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ในสำนักสงบเรียบร้อยมาโดยตลอด บวกกับคนของสำนักสวนปลอดโปร่งลาดตระเวน ทำให้สำนักมารกำเนิดที่ตอนแรกเย็นเยียบมีกลิ่นอายคนเพิ่มขึ้นมา กระนั้นถ้าจะบอกว่าปลอดภัยจริงๆ คนพวกนี้ความจริงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร
แม้จ่านหงเซิงจะพูดเบาๆ นึกว่าลู่เซิ่งไม่ได้ยิน แต่กายเนื้อของลู่เซิ่งเหี้ยมหาญไร้เทียมทาน ประสาทสัมผัสทั้งห้าว่องไว ไหนเลยไม่ได้ยิน เพียงแต่ไม่สนใจนางเท่านั้น
คนของสำนักสวนปลอดโปร่งเหล่านี้มาที่นี่ ส่วนใหญ่มีความรู้สึกแบบนี้
ตอนพวกเขาเพิ่งมา พอเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่คนชุดดำเหล่านั้นทิ้งไว จิตใจต่างตึงเครียด แต่พอเวลาผ่านไป ทุกอย่างสงบเรียบร้อย คนเหล่านี้นึกว่าการมาของเจ้าสำนักของตนทำให้อีกฝ่ายกลัวเกรงไม่กล้าลงมือ จึงเกิดความลำพองใจส่วนหนึ่ง
ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่เหอเซียงจื่อกับผู้อาวุโสใหญ่ก็เชื่ออยู่บ้างว่า การเข้ามาปักหลักของคนจากสำนักสวนปลอดโปร่งทำให้คนชุดดำไม่กล้าบุกอีก
มีแต่ลู่เซิ่งที่ทราบว่า คนชุดดำเหล่านั้นจะมาหรือไม่มา ไม่ใช่เพราะกลัวคนของสำนักสวนปลอดโปร่ง
พวกเขาแอบมาหลายครั้งแล้ว เคลื่อนไหวในตำหนักวิชาลับและหอเก็บหนังสือในลักษณะหยั่งเชิง ทว่าก็ถูกลู่เซิ่งกำจัดสายลับทั้งหมดทิ้งไปเสียทุกครั้ง เพียงแค่ไม่ถูกคนอื่นๆ พบเท่านั้น
วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานมีข้อดีข้อหนึ่ง คือคนที่ฆ่าจะถูกเผาเป็นตอตะโก ทำลายศพได้สะดวก
หลังสูญเสียสายลับติดต่อกัน คนพวกนั้นก็หยุดลงชั่วคราว
ได้สติกลับมา ลู่เซิ่งมองจ่านหงเซิง หญิงสาวนางนี้อายุน้อย หน้าตาน่ารัก เอวกิ่วขายาว สิ่งที่ทำให้คนหมดคำพูดที่สุดคือหน้าอกหน้าใจของนาง อายุแค่สิบกว่าปี ก็มีขนาดมโหฬาร ยามเดินก็ส่ายไปมา เหมือนกับมะละกอใหญ่สองลูก
เดิมทีเครื่องแต่งกายของสำนักสวนปลอดโปร่ง ส่วนทรวงอกของศิษย์สตรีจะเย็บเป็นลวดลายส่วนหนึ่ง ลวดลายเหล่านี้ใช้ระบายอากาศ
ผลลัพธ์คือพอนางใส่ ลวดลายที่กว้างนิ้วเดียวกลับถูกถ่างจนกว้างเท่าฝ่ามือ
บวกกับสตรีในยุคนี้ไม่ได้นิยมใส่พวกเสื้อชั้นใน จึงทำให้เม็ดองุ่นขนาดใหญ่สองลูกตรงทรวงอกจ่านหงเซิงนูนออกมาอย่างชัดเจน แม้แต่ลักษณะของทรวงอกก็มองเห็นได้ชัดเจน
“คำนับศิษย์พี่สหายลู่” แม้จะแอบค่อนแคะ แต่จ่านหงเซิงก็ยังมีมารยาทไม่เลว เปลือกนอกคำนับลู่เซิ่ง
“อือ ตามสบาย” ลู่เซิ่งตอบรับอย่างขอไปที ก้มศีรษะอ่านคัมภีร์ต่อ
จ่านหงเซิงคับข้องใจจนย่นจมูกน้อยๆ รีบไปตามหาพี่ชายของตน อยู่กับลู่เซิ่งไปนานๆ นางกลัวว่าจะขุ่นข้องใจจนป่วย
หญิงสาวเยื้องย่างออกไป รอบๆ ก็เงียบลง
ลู่เซิ่งเริ่มก้มหน้าอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับผู้ถืออาวุธในมืออีกครั้ง
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ โดยไม่รู้ตัว ไม่นานจ่านข่งหนิงก็หาหนังสือเจอ ให้น้องสาวเอาไปให้อาจารย์
เขาคิดจะหาหนังสือดีๆ นั่งลงอ่าน ในร้อยเส้นสายสำนักมารกำเนิดนับเป็นสำนักที่เก็บหนังสือไว้มากที่สุด มีเนื้อหามากมายที่เขาไม่เคยอ่านมาก่อน ครั้งนี้กลับเป็นโอกาสดี
หยิบหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์วิชาลับออกมา จ่านข่งหนิงหาที่นั่ง เตรียมจะนั่งลงอ่าน
ตอนผ่านตำแหน่งที่ลู่เซิ่งนั่งอยู่ เขาก็กวาดตาเห็นชื่อคัมภีร์ในมือลู่เซิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
“สหายลู่กำลังหาเนื้อหาของผู้ถืออาวุธหรือ” เขาอดถามอย่างสงสัยไม่ได้
“ถูกต้อง” ลู่เซิ่งวางคัมภีร์เล่มที่สองในมือลง แล้วพยักหน้า
“ข้อมูลของผู้ถืออาวุธที่แล้วมาเป็นความลับ ถ้าสหายลู่อยากรู้เกรงว่าได้แต่ถามผู้อาวุโสลิ่วซานจื่อแล้ว” จ่านข่งหนิงเสนอเบาๆ
“มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน” ลู่เซิ่งหยิบหนังสือเนื้อหาเดียวกันเล่มที่สามขึ้นมา
“สหายจ่านรู้หรือไม่ว่าถ้าจะรักษาสำนักมารกำเนิดไว้ในงานชุมนุมนี้ ยังต้องมีเงื่อนไขอะไรอีก” ลู่เซิ่งครุ่นคิด อยู่ๆ ก็ถามขึ้น
จ่านข่งหนิงงุนงง คิดไม่ถึงลู่เซิ่งจะถามคำถามนี้กับเขา เขาไตร่ตรอง เอ่ยว่า “ผู้ใดอยากจะยึดที่อยู่ของสำนักมารกำเนิด ก็ต้องให้คนคนนั้นลงมือทดสอบพลังของผู้นำแห่งสำนักมารกำเนิด การทดสอบนี้ไม่อาจขอความช่วยเหลือจากคนอื่น จะต้องใช้ระบบวิชาลับของสำนักมารกำเนิด จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าการถ่ายทอดระบบวิชาลับยังอยู่ และมีคุณค่ามากพอให้สืบทอดต่อไป จึงจะปกป้องหน่วยหลักที่ตั้งของสำนักมารกำเนิดได้”
“ที่ตั้งของสำนักนี้ยังต้องให้คนนอกอนุมัติว่าอยู่ได้หรือไม่อีก นี่เป็นกฎสุนัขอะไรกัน” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วกล่าว
“ถึงจะไม่น่าพอใจนัก แต่นี่เป็นข้อตกลงการใช้ทรัพยากรที่สำนักทั้งหมดลงนามร่วมกันในตอนก่อตั้งร้อยเส้นสายเมื่อครั้งแรกสุด เพื่อทำให้ร้อยเส้นสายรุ่งเรืองตลอดไป ทรัพยากรของสำนักทุกสำนักถ้าหากไม่อาจรักษาได้ อย่างนั้นต้องโอนให้สำนักอื่นโดยไร้เงื่อนไข” จ่านข่งหนิงกล่าวเสียงแผ่วต่ำ “ตามทฤษฎี นี่เป็นข้อตกลงแปลกประหลาด ที่ต้องทำเพราะการคุกคามจากเก้าตระกูลจงหยวน”
“สำนักกับตระกูลขุนนางมีความเกี่ยวพันอะไรกันแน่ สหายจ่านอธิบายได้หรือไม่” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม
“นี่ย่อมบอกได้” จ่านข่งหนิงพยักหน้า “ปัจจุบันในสำนักมีแนวคิดสองแบบ แบบหนึ่งคือตระกูลขุนนางที่แข็งแกร่งยืนอยู่เบื้องหลังสำนักสามขั้นบน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเก้าตระกูลจงหยวน ร้อยเส้นสายก็ก่อตั้งไม่ได้”
“อีกแนวคิดหนึ่งคือ ทุกสำนักความจริงแล้วเป็นกลุ่มก้อนอิสระ แม้ว่าบางส่วนจะถูกตระกูลขุนนางแทรกซึม แต่ว่าสำนักสามขั้นบนยังคงมีความสามารถในการต้านทานการกดดันจากตระกูลขุนนาง”
“อย่างนั้นแนวคิดไหนถูกต้อง” ลู่เซิ่งหรี่ตา
“นี่ต้องพูดถึงตั้งแต่เรื่องสำนักใบไม้กับสำนักโลหิตแล้ว” จ่านข่งหนิงกล่าวด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน “ความจริงถ้าไม่ใช่ข้ามีสหายที่เป็นลูกหลานแกนกลางในเก้าตระกูลขุนนางอย่างแท้จริงคนหนึ่ง ข้าก็คงเป็นหนึ่งในคนที่สนับสนุนแนวคิดแรกเหมือนกัน ความจริง แนวคิดที่สองต่างหากที่ถูก”
“หมายความว่าสำนักก็มีพลังต่อต้านตระกูลขุนนางได้หรือ” ลู่เซิ่งถามกลับ
“ไม่ การศึกษาของสำนักไม่ต้องตาเก้าตระกูลจงหยวน” จ่านข่งหนิงยิ้มอย่างอับจน “ขุมพลังของเก้าตระกูลจงหยวนน่ากลัวถึงขีดสุด ได้ยินว่าสหายลู่มาจากแดนเหนือ เช่นนั้นก็ใช้อาณาเขตของแดนเหนือมาเปรียบเทียบก็แล้วกัน”
“ขอฟังรายละเอียด” ลู่เซิ่งมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา เขาเย็นชากับจ่านข่งหนิงผู้นี้มาตลอด ไม่นับว่าเอาใจใส่นัก แต่อีกฝ่ายยังคงยินดีอธิบายให้ตัวเองฟังอย่างเต็มใจ ในสำนักสวนปลอดโปร่งคงจะเป็นคนอัธยาศัยดีเช่นกัน
จ่านข่งหนิงเว้นเล็กน้อย เรียบเรียงความคิด แล้วเล่าว่า “พูดถึงตระกูลซูที่อ่อนแอที่สุดในเก้าตระกูลก็แล้วกัน ขุมพลังของพวกเขามีทัพสะบั้นเทพสามสิบหกคน คนหนึ่งปกครองเมืองหนึ่ง เคยเป็นยอดฝีมือผู้น่ากลัวที่กำจัดมารมากกว่าหมื่นตนในภัยพิบัติมาร ลือกันว่าไม่ว่าใครก็สู้กับเจ้าสำนักระดับสามขั้นบนได้ ทั้งหมดเป็นที่สุดในระดับสามขั้นกลาง หรือแม้แต่สามขั้นบนของระดับอสรพิษ นี่ยังพอว่า มิพักเอ่ยถึงผู้ที่เหนือกว่า ยังเหลือสามสุดยอด สามสุดยอดเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่แบ่งกันดูแลฝ่ายลงทัณฑ์ ฝ่ายอาวุธ และฝ่ายสืบทอดของตระกูลซู สามคนนี้คือยอดฝีมือที่ล้มเหลวในการชิงเป็นผู้ถืออาวุธ และเป็นคนที่เข้าร่วมการช่วงชิงตำแหน่งผู้ถืออาวุธได้ ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอด เป็นอัจฉริยะตระกูลขุนนางที่เลิศล้ำ ภายใต้ผลชะรอความชราของพลังแห่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ อัจฉริยะเหล่านี้มีอายุมากสุดหลายร้อยปี ภายหลังจึงกลายเป็นผู้ถืออาวุธ นี่ยังแค่ตระกูลซูเท่านั้น”
……………………………………….