ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 242 ลอบจู่โจม (2)
บทที่ 242 ลอบจู่โจม (2)
ขณะออกจากถ้ำสิ้นสุด ลู่เซิ่งยังคงใคร่ครวญถึงเนื้อหาที่บุรุษหนุ่มคนก่อนหน้าพูดถึง เขาย่อมไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษหนุ่มจริงๆ คนที่ใช้วิชารักษาความเยาว์วัยได้มีถมไป ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยอดฝีมือสำนักที่มีพลังแห่งสายเลือดด้วย
คนผู้นี้จะต้องเป็นตัวประหลาดที่อายุมากกว่าเขาแน่ เพียงแต่บำรุงรักษาดี จึงดูเหมือนเยาว์วัยเท่านั้น
‘สำนักใบไม้ดูเหมือนจะเป็นขุมกำลังขนาดใหญ่ในบันทึกนั่นจริงๆ การห้ามปรามไม่ให้สำนักยึดถือมนุษย์เป็นปศุสัตว์ที่เลี้ยงไว้พอถึงเวลาแล้วเก็บเกี่ยวเป็นอุดมคติของพวกเขา เพียงแต่สำหรับเราแล้ว สำนักมารกำเนิดในตอนนี้เป็นที่ที่เหมาะแก่การพัฒนาที่สุด ยังไม่จำเป็นต้องมีแผนการอื่น’
อาจจะหาสิ่งของที่ดูดซับพลังอาวรณ์ได้จากอารยธรรมมากมายในส่วนลึกของสำนักมารกำเนิด ตอนนี้ยังค้นไม่หมด ทางด้านวิชาลับก็ยังไม่ได้ฝึกจนสุดทาง จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องอื่น
หลังจดจำตำแหน่งถ้ำสิ้นสุดของสำนักใบไม้เอาไว้ในใจ ลู่เซิ่งก็กลับไปยังลานกว้างของงานชุมนุมบนยอดเขา
…
ลานที่โล่งกว้างสุดขีดแห่งหนึ่งด้านหน้าตำหนักสุรเสียงปูแผ่นหินสีแดงจนเต็ม
ลานกว้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีรูปปั้นคนที่อิริยาบถแตกต่างกันวางอยู่ทั้งสี่มุม เป็นเจ้าสำนักที่มีคุณูปการมากที่สุดสี่คนในประวัติศาสตร์ของสำนักบัวสวรรค์ อริยะคู่บัวสวรรค์ก็อยู่ในนี้เช่นกัน
ด้านหน้าตำหนักสุรเสียง เจ้าสำนักของสำนักระดับสามขั้นบนแยกกันนั่งด้านหนึ่ง ก้มมองดูการแข่งขันในงานชุมนุมที่กำลังประลองกันอยู่
ในที่นั่งของเรือนสุดประจิม มีบุรุษวัยกลางคนหัวล้านคนหนึ่ง ใบหน้าสุขุม ตรงหางตาสองข้างไปจรดขมับเหมือนทาสีแดง สวมเสื้อคลุมผ้าแพรตัวใหญ่ สองแขนใส่ห่วงทองข้างละสองวง
คนผู้นี้คือผู้นำของเรือนสุดประจิม ทารกโลหิตหวงฟู่ เป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดอันดับหนึ่งในตอนนี้ ว่ากันว่าเข้าสู่ระดับอสรพิษมานานแล้ว ปัจจุบันผ่านไปหลายปี ไม่ทราบว่าพลังฝึกปรือบรรลุถึงขั้นไหน
บนที่นั่งของสำนักรองรับฟ้าที่จัดอยู่อันดับสองมีบุรุษสง่างามคนหนึ่งนั่งอยู่ สวมเสื้อคลุมนักศึกษาสีขาวตัวใหญ่ มัดผ้ามัดเอวสีเหลืองบ๊วย เข็มบินนับไม่ถ้วนปักอยู่ด้านบน เข็มบินแต่ละแท่งยาวเท่าฝ่ามือ คนผู้นี้มีชื่อว่ากงซุนเนี่ยน ชื่อเสียงเป็นรอง ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดสนใจ และไม่มีวีรกรรมใดๆ เป็นที่เลื่องลือ เพียงแต่บุตรแห่งโชคชะตาไป๋ซิวยอมรับว่าตนสู้เขาไม่ได้ต่อหน้าสาธารณชน ทำให้ช่วงนี้ชื่อเสียงขจรขจาย
ที่นั่งอันดับสามเป็นวังหมื่นสุข บุตรแห่งโชคชะตาไป๋ซิวเย็นชาหล่อเหลาดุจหยก สะพายกระบี่ที่ยาวไม่น้อยเมื่อเทียบกับกระบี่ทั่วไปไว้บนหลัง ผมยาวสีดำถูกรวบเป็นหางม้าตั้งสูง สองแขนวางบนเข่า หลับตา คล้ายกลับไม่เห็นผู้นำสำนักที่กำลังต่อสู้ที่ด้านล่างอยู่ในสายตา
ตอนนี้บนล่างกว้างอันดับที่สิบเก้ากับอันดับที่ยี่สิบจากสำนักระดับสามขั้นบนกำลังสู้กัน
ผู้นำสำนักล้วนเป็นระดับสัตตะลักษณ์ เวลาสู้กันด้วยวิชาลับ จึงเต็มไปด้วยสีสัน ท่วงท่าต่างก็งดงาม ทว่าถูกรูปปั้นยักษ์ทั้งสี่สะกดไว้ ได้แต่ใช้อานุภาพที่ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของยามปกติ
รอบลานกว้างในระยะใกล้ๆ เป็นที่นั่งชมของสำนักระดับสามขั้นกลาง จากนั้นเป็นที่นั่งของระดับสามขั้นล่าง แบ่งระดับกันอย่างชัดเจน
ที่นั่งของสำนักมารกำเนิดที่ลู่เซิ่งอยู่ ตั้งอยู่ด้านนอกสุดของลานกว้าง จากนั้นเป็นหน้าผาและหุบเขา
ตอนที่ลู่เซิ่งกลับมา เหอเซียงจื่อไม่อยู่ บนที่นั่งปักธงของสำนักมารกำเนิดไว้คันเดียวโดดเดี่ยว
การต่อสู้บนลานกว้างของงานชุมนุมที่อยู่ไกลออกไม่น่าสนใจ วิชาลับเหล่านี้สำหรับเขาไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งหมดเป็นวิชาลับที่พัฒนาโดยการขุดค้นสายเลือด
เพราะความเบื่อหน่าย ลู่เซิ่งจึงถือโอกาสนั่งขัดสมาธิเริ่มฝึกฝนปราณภายใน พร้อมกับสำรวจการเปลี่ยนแปลงของหัวใจจิตมารอย่างละเอียด
พอตั้งสมาธิ เขาก็ค้นพบความผิดปกติส่วนหนึ่งจริงๆ
‘หัวใจจิตมารดวงแรกเป็นงูหน้าคน หรือก็คืออสรพิษริษยา ดวงที่สองเป็นราชสีห์โทสะ ดวงที่สาม…ถ้าพัฒนาตามปกติ จะเป็นเงาคลุ้มคลั่ง ถ้าไม่เป็นไปตามปกติ ก็จะเป็นอารมณ์ความปรารถนาอื่นๆ ที่ขุดจากส่วนลึกจิตใจของเราเอง’
ลู่เซิ่งสัมผัสอย่างละเอียด ค้นพบว่าหัวใจจิตมารดวงที่สามปรากฏรอยแตกจริงๆ
‘หลังจากหัวใจจิตมารทั้งหมดเก้าดวงฟักออกมาหมด ผนึกรวมหัวใจมารดวงสุดท้ายได้ จะเป็นชั่วขณะที่วิถีหทัยมารสำเร็จ และจะเป็นขอบเขตสูงสุดตั้งแต่วิชาลับของสำนักมารกำเนิดเคยมีมา’
‘วิชาลับของสำนักมารกำเนิดสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายและสายเลือดจากส่วนลึกของกายเนื้อได้โดยสิ้นเชิง ส่วนปราณภายในเป็นระบบพลังที่แข็งแกร่งขึ้นและพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งบนพื้นฐานของสายเลือดและร่างกาย เมื่อสองสิ่งผสานกัน จะเกิดอะไรขึ้น น่าคาดหวังจริงๆ…’
เขานั่งขัดสมาธิตั้งใจสำรวจสักพัก คาดว่าวันนี้และพรุ่งนี้น่าจะฟักหัวใจจิตมารดวงที่สามได้
นั่งขัดสมาธิประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ทางงานชุมนุมก็จบการประลองไปหนึ่งครั้ง ได้ยินเสียงตะโกน เสียงหัวเราะ และเสียงด่าทออย่างเสียดายจากคนในแต่ละสำนักดังมาแต่ไกล
เสียงคนทางนั้นดังเซ็งแซ่ ครึกครื้นสนุกสนาน ทางสำนักมารกำเนิดกลับเงียบสงบ
พริบตาเดียวผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ฟ้าเริ่มมืดสลัว คนจากแต่ละสำนักพากันกลับที่นั่ง
ในฝูงชนที่เดินขวักไขว่บนลานกว้าง เหอเซียงจื่อ พี่น้องตระกูลจ่าน ฟางถาน และเฉินอวิ๋นซีอยู่ด้วยกัน กำลังสนทนาถึงสถานการณ์ในการประลองเบาๆ
ข้างแก้มฟางถานยังมีรอยเลือดสายหนึ่งที่ไม่สมานตัวดี เป็นรอยแผลที่เกิดจากการเข้าร่วมงานประลองเมื่อก่อนหน้า
พอเห็นทุกคนกลับมา ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ ลุกขึ้น
“สหายลู่ไปอยู่ไหนมา หาตัวท่านไปทั่วก็ยังหาไม่เจอ” จ่านข่งหนิงกล่าวอย่างเสียดาย “ท่านไม่เห็นความสุดยอดเมื่อครู่ ยังมีศึกของสหายจ่าน สุดท้ายก็เอาชนะอีกฝ่ายได้ เลื่อนอันดับสำเร็จ”
“อย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านี้ข้าไปเดินเล่นที่ตีนเขาด้านล่างมา” ลู่เซิ่งตอบแบบขอไปที “ทั้งหมดจบแล้วหรือ”
“ตอนนี้รอผลลัพธ์การจัดอันดับในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนของเจ้าสำนัก หลังสรุปผลก็จะเป็นอันดับโดยรวมของสำนักแล้ว” เฉินอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้น่าจะกลับได้”
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่ชอบสถานที่ที่คึกครื้นหรือ” เหอเซียงจื่อเข้ามาถามเบาๆ
“ไม่ขนาดนั้น” ลู่เซิ่งมองศิษย์สำนักจับกลุ่มคุยกันถึงการประลองอย่างออกรส รู้สึกว่าการประลองของงานชุมนุมนี้กลับกลายเป็นเทศกาลงานกิจกรรมหลักของคนในร้อยเส้นสายที่มีกิจกรรมความบันเทิงไม่มากไปแล้ว
“งั้นคืนนี้พวกเราเก็บสัมภาระ เตรียมกลับกันเถอะ” ลู่เซิ่งว่า
“รีบขนาดนี้เชียว…” ความจริงเหอเซียงจื่อยังอยากเที่ยวต่อ อุตส่าห์ได้ออกมาทั้งที คนจำนวนมากขนาดนี้รวมตัวกัน อันดับของสำนักก็รักษาได้แล้ว ไม่มีอะไรให้ห่วงอีก รีบกลับสำนักเร็วขนาดนี้ ไม่ค่อยเต็มใจอยู่บ้างจริงๆ
“ใช่แล้ว ออกมาสักครั้งไม่ง่าย มิสู้พวกเราเที่ยวด้วยกันก่อน” เฉินอวิ๋นซีเสนอ “สำนักหยกกังวานของข้ามีศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สวยๆ ไม่น้อยเลยนะ ต้องการให้แนะนำแก่เจ้าหรือไม่ศิษย์น้องลู่” นางยิ้มพลางกล่าวสัพยอก
“ข้าแต่งงานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ไม่ได้ออกมาเที่ยว…” ลู่เซิ่งพูดอย่างราบเรียบ
“พอแล้วๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้สมควรไปกินข้าวเย็น สำนักบัวสวรรค์จัดหาอาหารรสชาติหวาน เผ็ด เปรี้ยวเอาไว้ในสถานที่สามแห่ง อยากกินอะไรก็เลือกเองได้ พวกท่านจะกินอะไร” จ่านหงเซิงตัดบทเขา
“ข้าอยากกินเปรี้ยว!”
“ข้าอยากกินเผ็ด”
ทุกคนพากันบอกออกมา
ลู่เซิ่งมองจ่านหงเซิงกับฟางถานแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
“ข้าไม่ไปแล้ว ศิษย์พี่เหอเซียงอย่ากลับมาดึกนัก” เขากำชับ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
เหอเซียงจื่อมองเงาหลังของเขาอย่างลำบากใจ จากนั้นก็มองพวกสหายสนิท ไม่รู้จะเลือกอย่างไรชั่วขณะ
…
ตระกูลหลิน
หลินเป่ยไควางช้อนในมือลง หลับตาเคี้ยวอาหารช้าๆ
สองฟากของโต๊ะมีคนสองคนนั่งอยู่
สตรีชุดดำและชุดขาวสองคน มีผมแค่ครึ่งศีรษะ ตั้งแต่หน้าผากถึงท้ายทอยแบ่งเป็นแนวผม ทางซ้ายไม่มีผมเลยมีแต่หนังศีรษะ ทางขวาเป็นผมสีดำเหมือนหมึกยาวไปถึงเอว
สตรีทั้งสองนาง เบ้าตาจมลึก มุมปากมีฟันแหลมยื่นออกมา
“งานชุมนุมใกล้จะจบลงแล้ว” หลินเป่ยไคกล่าวเสียงทุ้ม “หลินหวนเต้านำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย รอแค่ทั้งสองท่าน”
สตรีอาภรณ์ดำสีหน้าเย็นชา มือลูบไล้ขวดกระเบื้องตรงหน้าเบาๆ
“ตามเหตุผล พวกเราเทพนางแอ่นไม่สมควรสอดมือเข้าไปในเรื่องส่วนตัวของพวกนายน้อย”
หลินเป่ยไคยิ้มแย้ม
“นี่ไม่นับเป็นเรื่องส่วนตัว แผนการของหลินหวนเต้าไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีได้จริงๆ เพียงแต่ว่าซั่งหยางเฟยไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ ดังนั้นข้าจึงเชิญทั้งสองท่านมา เพียงคาดหวังว่าทั้งสองท่าน จะช่วยข้าจับตาความเคลื่อนไหวของตระกูลซั่งหยางเท่านั้น หากตุลาการของพวกเขาเคลื่อนไหว หวังว่าพวกท่านจะแจ้งข้าทันที จะได้เตรียมตัวไว้”
สตรีชุดดำและชุดขาวสบตากัน
“แค่จับตาดูย่อมไม่มีปัญหา แต่นายน้อยใช้ค่าตอบแทนมากมายขนาดนี้เชิญเรามา สมควรไม่ใช่เพื่อเรื่องเล็กๆ นี่กระมัง”
“ย่อมไม่ใช่” หลินเป่ยไคยิ้มกล่าว “แผนการดำเนินอย่างมั่นคง สายลับแต่ละแห่งก็เตรียมไว้ดีแล้ว เพียงรอการปลุกระดมเท่านั้น ที่เชิญสองท่านมา เพราะคิดจะหยุดเรื่องเหนือความคาดหมาย”
“ป้องกันไว้ก่อนหรือ ได้” สตรีชุดขาวกล่าวอย่างเย็นเยียบ
“ด้วยพลังของทั้งสองท่าน ข้าก็วางใจได้แล้ว นอกจากนี้…” หลินเป่ยไคประคองจอกสุราขึ้น “ถ้าทางหลินหวนเต้าต้องการความช่วยเหลืออะไร ขอให้ทั้งสองท่านดูแลมากๆ ด้วย”
เทพนางแอ่นทั้งสองคนทราบความขัดแย้งระหว่างเขากับหลินหวนเต้า พอได้ยินว่าให้ดูแล ย่อมเข้าใจว่าไม่ใช่ดูแลจริงๆ ทั้งสองจึงพยักหน้าเล็กน้อย
“ถ้ามีโอกาส พวกเราจะลงมือ” พวกนางเป็นขุมกำลังที่ยืนอยู่ฝ่ายหลินเป่ยไคอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ไม่ลงมือเป็นเพราะต้องการซ่อนตัว เพื่อแสดงความสามารถเหนือความคาดหมายในห้วงเวลาสำคัญ อย่างเช่นตอนนี้
…
วันต่อมา
งานชุมนุมจบลงโดยสมบูรณ์ ลู่เซิ่งไม่ได้เข้าร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ ฝึกฝนวิชากำลังภายในด้านในห้องที่ถูกจัดให้
รอจนตอนบ่าย เหอเซียงจื่อเข้ามาบอกเขาว่างานชุมนุมจบลงแล้ว เขาจึงเดินออกมา
“อาจารย์เล่า อันดับของพวกเราเป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งถาม
เหอเซียนจื่อพอพูดถึงเรื่องนี้ก็ยิ้มอย่างปิติยินดี
“พวกเราได้อันดับที่ห้าสิบเก้า! อาจารย์ชนะเจ้าสำนักสามคน ยังได้รับกิจการและเหมืองแร่จำนวนไม่น้อย! ครั้งนี้นับว่าพลิกฟื้นได้แล้วจริงๆ!”
“ไม่เลวยิ่ง อย่างนั้นพวกเราจะกลับไปตอนไหน” ลู่เซิ่งโล่งอก ตั้งแต่ต้นจนจบงานชุมนุมราบรื่นดี ไม่พบปัญหาอะไร
เขาระวังตัวมาโดยตลอด ไม่กล้าเผยพลังเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหมายหัว คิดไม่ถึงกลับไม่เกิดเรื่องอะไร
‘หรือว่าพวกมันจะยอมแพ้แล้วจริงๆ เป็นไปไม่ได้…’ ลู่เซิ่งไม่เชื่อ
“ศิษย์น้อง ข้ารู้สึกว่าพวกเราควรร่วมทางกับสำนักประกายปัญญาศิลา พวกเขาร่วมทางกับสามสำนักใหญ่พอดี สามารถพาพวกเราไปได้ นี่เท่ากับหัวกะทิของสำนักส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน ปลอดภัยมาก” เหอเซียงจื่อกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเล็กน้อย “แล้วความเห็นของอาจารย์เล่า”
“ข้าคิดว่าสมควรรวมกลุ่มกัน” ลิ่วซานจื่อเดินเอื่อยๆ เข้าตัวลานมา มองพวกลู่เซิ่งด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว เสี่ยวเซิ่ง”
“ข้าเองก็เป็นคนของสำนักมารกำเนิดเหมือนกัน อาจารย์พูดแบบนี้เห็นเป็นอื่นไปแล้ว” ลู่เซิ่งหัวเราะ “แต่ข้ากลับรู้สึกว่า คนมากไปไม่ส่งผลดีต่อการซ่อนร่องรอยของพวกเรา”
ผู้อาวุโสลิ่วซานจื่อไตร่ตรอง
“ถูกแล้ว อย่างนั้นเดินทางเองดีกว่า พวกเราคนน้อย เคลื่อนไหวได้เร็วกว่า”
เขาเว้นเล็กน้อย “อย่างนั้นพวกเราเคลื่อนไหวเอง สะดวกแก่การซ่อนตัว”
……………………………………….