ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 244 ลอบจู่โจม (4)
บทที่ 244 ลอบจู่โจม (4)
“ไม่ใช่ไม่มีความเป็นไปได้นี้ แต่ต่ำยิ่ง” สวีเฟิงเหอส่ายหน้า “เอาเป็นว่าตอนนี้สถานการณ์อันตรายถึงขีดสุด”
ไม่นานก็มีเจ้าสำนักหลายคนถูกดึงดูดมาตรวจสอบสถานการณ์ สวีเฟิงเหอบอกข้อสรุปที่ตรวจสอบได้ให้ทุกคนฟัง
เจ้าสำนักหลายคนที่อยู่รอบๆ ต่างเงียบงัน
“อีกฝ่ายกล้าลงมือในสถานการณ์ที่มีเจ้าสำนักหลายคนอยู่ด้วยกัน เห็นได้ว่าพลังและจิตใจต้องไม่ใช่คนธรรมดา” เจ้าสำนักคนหนึ่งกล่าวเสียงเบา
“แต่ในเมื่อคนผู้นี้เพียงกล้าซ่อนหัวเผยหาง ลอบจู่โจมในที่ลับ ก็หมายความว่าคนผู้นี้มีพลังไม่มากพอจะสู้กับพวกเราทุกคน จึงเลือกหลบซ่อนตัว ไม่อย่างนั้นมันคงจะเข่นฆ่าอย่างตรงไปตรงมาแล้ว” หวงฟู่ทารกโลหิตจากเรือนสุดประจิมนำคนกลุ่มหนึ่งรุดมา ครั้งนี้เขานำขบวน เป็นตัวแทนเจ้าสำนักเข้าร่วมร้อยเส้นสายด้วยอำนาจที่มีทั้งหมด
“สหายหวงกล่าวถูกต้อง” ผู้นำอีกสองคนพากันมาถึง
เกิดการระเบิดที่รุนแรงแบบนี้ ยอดฝีมือทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ย่อมไม่พลาด รีบเร่งรุดมา
ไป๋ซิวบุตรแห่งโชคชะตากวาดตามองรอบๆ
“หลังการระเบิด พอได้รับข่าว ข้าก็พาคนไปตรวจตรารอบๆ ทันที ไม่พบร่องรอยว่ามีใครจากไป ครั้งนี้นอกจากขบวนของสำนักบัวสวรรค์ที่พักค้างคืน รวมถึงสำนักที่อยู่คนละทางส่วนหนึ่ง พวกเราร่วมทางกันทั้งหมดยี่สิบเจ็ดสำนัก ในขบวนขนาดใหญ่ที่มีคนหลายร้อยคน คิดจะซ่อนคนสักสองสามคน ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ”
“ท่านกำลังจะบอกว่ามีหนอนบ่อนไส้หรือ!?” หวงฟู่ทารกโลหิตขมวดคิ้ว
“อาจจะ” ไป๋ซิวกล่าวอย่างเย็นชา
ตอนนี้เจ้าสำนักคนอื่นๆ พากันมาถึง ต่อให้ไม่มา ก็ส่งศิษย์มาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
สถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายกว่าเดิม หวงฟู่สั่งคนอ้างชื่อของเรือนสุดประจิมจัดระเบียบคนอื่นๆ สรุปเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วบอกเล่าอีกรอบหนึ่ง
…
ผู้เฒ่าจิ้งและผู้เฒ่าฮ่วนแห่งวังวารีลวงนั่งอยู่ตรงข้ามกันในรถ ทั้งคู่ต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม
“สำนักบูรพางามเลิศเกิดเรื่องแล้ว หรือว่าจะเป็นเรื่องนั้นจริงๆ” ผู้เฒ่าจิ้งเอ่ยกระซิบอย่างระวังตัว
“คนที่ลอบสังหารในคืนนั้นมีพลังไม่สามัญ สามารถส่งขบวนรบแบบนี้มา ดูถูกไม่ได้เป็นอันขาด” ผู้เฒ่าฮ่วนขมวดคิ้วพูด “ยากบอกยิ่งว่านี่ไม่ใช่การแก้แค้นสำนักบูรพางามเลิศของอีกฝ่าย”
“แต่พวกเขาจะรับมือคนมากมายของสำนักบูรพางามเลิศทั้งๆ ที่มีเจ้าสำนักหลายคนรวมตัวกันอยู่ได้อย่างไร พึงทราบว่าผู้ปกครองเกาะชุนอี้นำขบวนสำนักบูรพางามเลิศ คนผู้นั้นได้ระดับสามขั้นกลางตั้งแต่ยังหนุ่ม แข็งแกร่งกว่าเจ้าสำนักระดับสามขั้นล่างทั่วไป ไม่มีทางจะหายตัวไปโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียง” สิ่งที่ผู้เฒ่าฮ่วนเป็นกังวลก็คือเรื่องนี้
ทั้งสองเงียบขรึมใคร่ครวญ
ครู่ต่อมา
“หรือว่า…จะเป็นคนผู้นั้น” อยู่ๆ ผู้เฒ่าฮ่วนก็หยีตา เหมือนนึกอะไรออก
“เจ้าคิดอะไรออก” ผู้เฒ่าจิ้งงุนงง เขารู้จักนิสัยศิษย์น้องของตนเองดี ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรง จะต้องไม่แสดงสีหน้าแบบนี้
ผู้เฒ่าฮ่วนสูดหายใจเฮือกหนึ่ง เขยิบเข้าใกล้ผู้เฒ่าจิ้ง ริมฝีปากขยับน้อยๆ
ตูม!
พริบตานั้นเขากระแทกฝ่ามือหนึ่งใส่ทรวงอกผู้เฒ่าจิ้ง
จากนั้นก็พ่นแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งด้วยสภาวะสายฟ้าฟาดออกมาห่อหุ้มส่วนศีรษะของผู้เฒ่าจิ้งที่กำลังส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดไว้
เสียงยังไม่ทันเปล่งออกมา ก็ถูกสกัดเอาไว้
แสงสีเงินพอห่อหุ้มเสร็จ ก็พลันกระจายออก กลายเป็นฝาครอบที่เหมือนสิ่งกีดขวาง ปกคลุมอาณาเขตหลายสิบหมี่รอบๆ เอาไว้
“เจ้า!?” ผู้เฒ่าจิ้งค่อยดิ้นหลุด ทว่าทรวงอกถูกเจาะเป็นรูที่มีแต่เลือด เลือดเนื้อรอบๆ กำลังสมานตัวด้วยความเร็วสูง
ยังไม่รอให้เขาพูดอะไร ผู้เฒ่าฮ่วนก็ฟาดท้ายทอยเขาอย่างแรงอีกครั้ง
ไขสมองระเบิด ศีรษะส่วนใหญ่ของผู้เฒ่าจิ้งยุบตัวลงโดยสิ้นเชิง
การโจมตีของอีกฝ่ายกะทันหันเกินไป เขาถึงขั้นยังไม่ทันตอบสนองก็โดนกระบวนท่าโจมตี นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าอยู่ๆ ก็ถูกน้องชายแท้ๆ ร่วมครรภ์มารดาเดียวกันเล่นงาน
เพราะป้องกันไม่ทัน ผู้เฒ่าจิ้งจึงสูญเสียความสามารถในการต่อต้านโดยสมบูรณ์ ถูกฟาดร่างกายติดต่อกัน ร่างกายแทบไม่ใช่ร่างคน ไม่ต่างอะไรกับก้อนเนื้อที่กำลังฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง
“แค่มีพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งคอยหนุนเสริม ก็มีประโยชน์ขนาดนี้แล้ว” ผู้เฒ่าฮ่วนพ่นแสงสีเงินออกมาห่อหุ้มก้อนเนื้อไว้อีกครั้ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นชายชราสวมหมวกคลุมหน้าคนหนึ่ง
“เป้าหมายหลักจัดการเรียบร้อย ถึงคนอื่นแล้ว”
ตอนนี้ศิษย์สำนักด้านนอกที่ได้ยินการเคลื่อนไหวพากันรุดมา เสียงแหวกอากาศมาถึงไม่หยุด
…
ด้านหลังขบวนรถ
ฉงเยวี่ยจื่อมองขบวนรถสำนักที่ยาวเหยียดเหมือนงูอยู่ไกลๆ
“สำนักร้อยหลอมอยู่ตรงไหน” เขาถามเบาๆ
คนหัวงูสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังตอบ
“ด้านหน้าเยื้องไปทางขวาของท่าน ธงคันที่อยู่บนหินกร่อน ขบวนใต้ธงเป็นสำนักร้อยหลอม”
คนหัวงูที่พูดร่างสูงใหญ่ เป็นแม่ทัพมากความสามารถในสังกัดฉงเยวี่ยจื่อ
ร่างของทั้งสองแตกต่างจากฉงเยวี่ยจื่อ สูงใหญ่กว่านายตนเองไม่น้อย บนร่างเต็มไปด้วยเกล็ดงู มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี
ฉงเยวี่ยจื่อสูดกลิ่นไปทางสำนักร้อยหลอมอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นบนใบหน้าก็ฉายแววฉงน
“น่าสนใจ สำนักนี้ซ่อนขุมกำลังมากมาย…ตระกูลขุนนางเล็กๆ หรือ”
ในฐานะมารปีศาจที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลหลิน ฉงเยวี่ยจื่อไม่เกรงกลัวตระกูลขุนนางทั่วไป นอกจากเก้าตระกูลจงหยวนแล้ว ครอบครัวที่เหลือในตระกูลขุนนางแม้ว่าผู้ถืออาวุธจะแข็งแกร่ง แต่ก็จะไม่เคลื่อนไหวง่ายๆ
ผู้ถืออาวุธแข็งแกร่งมาก แต่กลับใช้อาวุธเทพเป็นหลัก ไม่ได้ใช้คนเป็นหลัก ตระกูลขุนนางทั่วไปไม่มีฉากหลังมากพอ จำเป็นต้องทำพิธีขนาดใหญ่ ปรนนิบัติอาวุธเทพจนพอใจ จึงค่อยลงมือได้
รอถึงเวลานั้น ตนเองคงได้ข่าว หลบหนีลอยนวลไปแล้ว พึงทราบว่าการเคลื่อนไหวของอาวุธเทพศัสตรามารไม่ใช่เรื่องใหญ่ธรรมดา
ดังนั้นมารปีศาจที่มีชื่อมีแซ่จึงไม่เกรงกลัวตระกูลขุนนางขนาดเล็กเท่าไหร่นัก สิ่งที่พวกเขากริ่งเกรงคือตระกูลขุนนางที่มีเบื้องหลังน่าสะพรึงอย่างตระกูลหลิน
เก้าตระกูลจงหยวนเป็นโครงสร้างที่มีอาวุธเทพเป็นหลัก ทว่าพวกเขาไม่ต้องใช้อาวุธเทพ แค่เอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์สักสองสามชิ้นในมือออกมาไล่ล่า ก็ฆ่ามารปีศาจอย่างเขาได้แล้ว แม้ภายหลังจะต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่เทียบกับข้อแลกเปลี่ยนที่ได้ฆ่ามารปีศาจตนหนึ่ง ค่าตอบแทนนี้สามารถมองข้ามได้
“นายท่านมังกร ในสำนักร้อยหลอมซ่อนตระกูลขุนนางไว้หรือ อย่างนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้ช่องทางข่าวสารของตระกูลหลินจึงไม่ได้เบาะแส” คนหัวงูร่างสูงใหญ่อีกคนถามเสียงทุ้ม
“เพราะข้าแตกต่าง” ฉงเยวี่ยจื่อหัวเราะ “ประสาทการดมกลิ่นของข้าสามารถได้กลิ่นนับไม่ถ้วนที่มนุษย์แยกแยะไม่ออก กลิ่นของตระกูลขุนนางกับกลิ่นของสำนักแม้จะคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างน้อยนิด ถึงแม้พวกเขาจะอำพรางด้านอื่นๆ ได้ดียิ่ง ทว่าสุดท้ายก็ปกปิดข้าไม่ได้”
“แล้วสำนักมารกำเนิดเล่า” คนหัวงูคนหนึ่งถาม
ฉงเยวี่ยจื่อดมกลิ่นขบวนอีกขบวน
“ทุกอย่างดำเนินตามปกติ พวกมันไม่ต่างจากสำนักเล็กๆ ทั่วไป คิดว่าคงใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์สังหารเทพสัญจร เอาล่ะ ข้าจะไปจัดการสำนักร้อยหลอม พวกเจ้าจัดการสำนักมารกำเนิด จงทำให้เร็ว หลังเสร็จเรื่องให้รวมตัวกันที่เดิม” เขากำชับอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าฉายแววสนอกสนใจ
“ขอรับ นายท่านมังกร!” คนหัวงูทั้งสองพากันก้มน้ำขานรับ
สุดท้ายฉงเยวี่ยนจื่อมองท้องฟ้า
“ผลของขวานต้านเวลาคงอยู่ได้สองชั่วยาม ใส่ใจเวลาด้วย”
“นายท่านมังกรวางใจ!” คนหัวงูรีบตอบ
พวกเขาทั้งสองคนเป็นปีศาจงูหลามที่แข็งแกร่งที่สุดในสังกัดของฉงเยวี่ยนจื่อ มีพลังพิสดารมหาศาลไร้สิ้นสุด ผิวหนังแข็งราวกับเหล็ก ฝึกฝนในบึงจันทร์ลี้ลับทางใต้หลายร้อยปีจนสำเร็จวิชาปีศาจ สุดที่เจ้าสำนักระดับอสรพิษทั่วไปจะเทียบได้
ทั้งสองมองฉงเยวี่ยจื่อที่มีท่าร่างดุจสายฟ้าฟาด หายไปจากที่เดิมในพริบตา จากนั้นจึงค่อยยืดตัวขึ้น
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ต้องสะสมพลังที่บ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ การตายของเทพสัญจรครั้งล่าสุดเพิ่งผ่านไปไม่นาน สำนักมารกำเนิดไม่อาจนำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมาด้วยได้”
“หมายความว่าคนที่พวกเราต้องเผชิญมีแค่เจ้าสำนักระดับสามขั้นล่างคนเดียว” คนทั้งสองอ้าปาก ยืดลิ้นงูสีแดงฉานออกมา ยิ้มอย่างดุร้าย
“ไม่ได้กินคนเป็นๆ มานานแล้ว คิดถึงจริงๆ…” สำหรับพวกเขาที่ก้าวสู่ระดับผลึกลี้ลับแล้ว สามารถต่อสู้กับบุคคลร้ายกาจในระดับสามขั้นกลางได้โดยไม่พ่าย
คนทั้งสองผนึกกำลังกันสู้กับคนในระดับสามขั้นล่าง สะดวกสบายเหลือเกิน
…
ฟางถานขมวดคิ้วมองทิศทางที่เสียงระเบิดดังมา
“เกิดอะไรขึ้น” จ่านหงเซิงกระซิบถามขึ้นด้านข้าง
พวกเขากำลังขี่ม้าสนทนากันตามลำพัง อยู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังมา ม้าพากันตกใจ ไม่กล้าไปด้านหน้าต่อ
“ไปดูก่อนเถอะ” ฟางถานเอ่ยอย่างราบเรียบ “เหมือนจะเป็นวิชาลับระเบิดเพราะสูญเสียการควบคุม ข้าได้ยินคนกำลังคุยกันอยู่ไกลออกไป”
พวกเขาสองคนอยู่บนพื้นหญ้ารอบนอกขบวนรถ ไม่ได้อยู่กับพวกเหอเซียงจื่อและเฉินอวิ๋นซี แต่ว่าติดตามอยู่นอกขบวนรถตามลำพัง อยู่ในโลกของตัวเอง
ตอนนี้เห็นในขบวนรถเกิดการระเบิด ฟางถานรีบควบม้าเข้าใกล้ กระนั้นไม่ว่าอย่างไรม้าก็ไม่ยอมขยับสักก้าว แสดงว่าตกใจเพราะเสียงดัง จ่านหงเซิงก็เหมือนกัน
ด้วยความจนปัญญา คนทั้งสองได้แต่พลิกตัวลงจากหลังม้า ดีที่ขบวนรถหยุดอยู่ จึงมัดบังเหียนไว้ด้านหลังรถขนของ
ฟางถานเดินไปยังสำนักของตัวเอง จ่านหงเซิงติดตามด้านหลังพลางเหลียวซ้ายแลขวา
สิ่งที่น่าประหลาดคือ ตอนที่ทั้งสองออกเดินทางยังมีคนมากมาย ตอนนี้พอกลับสำนัก รอบๆ ไม่เห็นใครสักคนเดียว
“เหตุใดรอบๆ จึงไม่มีใครเลย ไกลออกไปกลับมีคนมากมาย ที่นี่อ้างว้างขนาดนี้ หรือไปชมความคึกครื้นด้านนั้น” จ่านหงเซิงอดส่งเสียงเบาๆ ด้านหลังไม่ได้
“ไม่แน่นัก พวกเรารีบเดินหน่อย เข้าไปดูก่อน” ฟางถานรู้สึกผิดปกติ กล่าวกระซิบ
“อื้อ!” จ่านหงเซิงค้นพบความผิดปกติเช่นกัน
พวกเขาเดินผ่านรถโดยสารคันหนึ่ง ถึงแม้จะมองในระยะไกลยังมองเห็นได้ แต่ก็พร่ามัวเหมือนมองผ่านกระจก หนำซ้ำถ้าพิจารณาดูให้ดี ยังสัมผัสได้ว่ามีความบิดเบี้ยวเล็กๆ ด้วย
จ่านหงเซิงเห็นคนคนหนึ่งกำลังกินข้าวพลางหัวเราะพลางอยู่ แต่หลังจากเดินไประยะหนึ่ง นางก็เห็นคนคนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจอีกครั้ง อีกฝ่ายยังกินพลางหัวเราะพลางอยู่เช่นเดิม
ขนมเปี๊ยะในมือคนคนนั้นเมื่อครู่ถูกยัดใส่ปากเคี้ยวอยู่พักหนึ่ง กระนั้นขนมเปี๊ยยังเหลือเท่าเดิม รูปร่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ประการใด
“อูย…” นางขนลุก รีบตามฟางถานไป
กระโปรงสั้นกับเสื้อแนบเนื้อที่ใส่เพราะอยากสวย ตอนนี้รู้สึกว่าสวมใส่น้อยเกินไปจนหนาวๆ เย็นๆ อยู่บ้าง
คนทั้งสองตัดทะลุรอบนอกรถม้า ตอนใกล้จะถึงขบวนรถที่สำนักหยกกังวานกับสำนักสวนโปร่งใสอยู่ ทันใดนั้นฟางถานก็หยุดลง
เขาก้มหน้ามองดู หยีสองตา
“นี่คือ…!?” เส้นด้ายสีเงินเส้นหนึ่งเดี๋ยวสูญหายเดี๋ยวปรากฏบนพื้น ตัดแบ่งตำแหน่งที่สำนักอยู่กับที่ที่ตนยืนอยู่ออกจากกัน
เขามองตามเส้นด้ายสีเงินไปทางซ้าย เส้นด้ายเส้นนี้แบ่งอาณาเขตใหญ่ คลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้
ด้านนอกด้านในเส้นด้ายเหมือนเป็นโลกสองใบโดยสิ้นเชิง พวกเขายืนอยู่ด้านใน
“นี่…คืออะไรกันแน่!” ฟางถานจิตใจตึงเครียด ความคิดมิดีมิร้ายที่เกิดกับจ่านหงเซิงในตอนแรก ขณะนี้หายไปไม่เหลือแม้แต่เงา
……………………………………….