ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 250 สิบวิชาเก้าจิต (2)
บทที่ 250 สิบวิชาเก้าจิต (2)
‘ก่อนหน้านี้มีอยู่สองดวงที่ไม่ใช่ผลลัพธ์จากการฟักตัวในบันทึกบนคัมภีร์ มาดูว่าดวงที่เจ็ดในตอนนี้เป็นอะไร…’ ลู่เซิ่งหลับตา เพ่งสมาธิทั้งหมดไว้ด้านในร่าง ตั้งใจสัมผัสหัวใจจิตมารดวงที่เจ็ด
ซ่า…ซ่า…
เสียงน้ำขึ้นของธารหมอกพิษดังแว่วเข้ามาในถ้ำตลอด นั่นเป็นเสียงกังวานใสที่เกิดขึ้นเพราะคลื่นน้ำกระทบกับผนังหิน
หลังจากเวลาผ่านไป เสียงกระทบก็ยิ่งมายิ่งดัง
ฟุ่บ!
ทันใดนั้น ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น หัวใจสีดำดวงหนึ่งหมุนบนศีรษะเขาด้วยความเร็วสูง
เสียงแกร่กดังขึ้นเมื่อหัวใจขนาดเท่าหัวคนแตกเป็นร่องแยกจากตรงกลาง กระทิงประหลาดตัวหนึ่งค่อยๆ คืบคลานออกมา
ตอนกระทิงตัวนี้เพิ่งออกมามีขนาดไม่เกินฝ่ามือ แต่หลังจากไอสีดำรอบตัวถูกมันดูดซับอย่างบ้าคลั่ง หัวใจจิตมารก็กลายเป็นของเหลวสีดำ ก่อนจะถูกมันกลืนกิน
ขนาดร่างของกระทิงสีดำยิ่งมายิ่งขยายใหญ่ ไม่นานก็ยาวถึงสามหมี่กว่าๆ สูงถึงหนึ่งหมี่กว่าๆ
มอ…
กระทิงมองลู่เซิ่ง ดวงตาของมันเป็นรูที่มีควันสีดำลอยอยู่ บนหัวเต็มไปด้วยเขาจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนกับหนามจากกระดูกสีขาวอมเทาจำนวนมาก ส่วนปลายเปล่งประกายเย็นเยียบ ทำให้คนมองแล้วหวาดกลัว
‘กระทิงปวดร้าว’ ลู่เซิ่งทราบที่มาของกระทิงตัวนี้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นความเจ็บปวดที่มาจากก้นบึ้งหัวใจของเขา
‘ความสามารถคือเพิ่มพละกำลังหรือ’
นี่เป็นเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมาย
พละกำลังของตัวลู่เซิ่งเดิมก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว ตอนนี้มีสิ่งที่เพิ่มพละกำลังได้มาอีกอย่าง
‘…ยังเหลืออีกสองดวงสุดท้าย ทั้งหมดก็จะฟักแล้ว’ ลู่เซิ่งค่อนข้างคาดหวัง คล้ายกับยิ่งถึงลำดับท้ายๆ ความสามารถที่หัวใจจิตมารจะฟักออกมาได้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง
กระทิงปวดร้าวกลายเป็นควันดำเกาะติดบนร่างเขา ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงสิ่งของที่เหมือนเยื่อบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมผิวของตัวเอง
คัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า กระทิงปวดร้าวเป็นรูปแบบเพิ่มพลังกาย ปกติแล้วมารหยินชนิดนี้จะให้กำเนิดสิ่งที่คล้ายวุ้นแข็งชั้นหนึ่ง
สิ่งของชั้นนี้ประกอบกันตามโครงสร้างลึกลับ สามารถขยายพละกำลังหลักที่ใช้ออก เพิ่มระดับตามปกติ น้อยสุดคือสามส่วน มากสุดคือเจ็ดส่วน
เพิ่มแรงเบาๆ ลู่เซิ่งกดใส่ผนังหินด้านข้าง
ครึ่กๆ
เหมือนกดเต้าหู้
ผนังหินยุบลงไปอย่างไร้เสียง เผยให้เห็นรอยนิ้วมือที่ลึกมาก
‘พละกำลังเพิ่มราวแปดส่วน สุดยอด!’ ลู่เซิ่งดีใจ เดิมเขามีพละกำลังแข็งแกร่งอยู่แล้ว ในสภาพร่างเดิมสูงสามหมี่ พละกำลังแข็งแกร่งกว่าปีศาจงูประมาณหนึ่งเท่า แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนเป็นสภาพหยางโชติช่วง พละกำลังจะทวีคูณ
กล่าวได้ว่าจนถึงวันนี้เขาไม่เคยเห็นใครมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าตัวเองมาก่อน
ตอนนี้ถ้าเพิ่มขึ้นแปดส่วนจากพื้นฐานนี้ อานุภาพนั้นแม้แต่ลู่เซิ่งก็ยังรอคอยว่าจะไปถึงระดับไหนได้
‘ด้านกายเนื้อและพลัง ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้ายังไม่กล้ารับประกัน อย่างนั้นพอบวกการเพิ่มนี้ด้วย โดยพื้นฐานก็น่าจะเข้าสู่ระดับสามขั้นบนได้แล้วมั้ง’ เป็นเพราะไม่เคยเห็นพลังระดับสามขั้นบนจริงๆ ลู่เซิ่งจึงไม่แน่ใจ
ในระดับอสรพิษ ระดับสามขั้นบนมีความแตกต่างทางการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพกับสองระดับที่ต่ำกว่าอย่างแท้จริง
เป็นความแตกต่างแบบไหนกันแน่ ไม่มีใครบอกเขา สำนักมารกำเนิดไม่มีระดับสามขั้นบนให้เขาอ้างถึง ทุกอย่างได้แต่ให้เขาคาดเดาและเรียนรู้เอง
‘ตอนนี้เราในสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง ถ้าสู้สุดกำลังกับหงฟางไป๋ในตอนนั้น คงแข็งแกร่งกว่าอย่างน้อยเจ็ดแปดเท่า หากว่าแบบนี้ยังสู้ระดับสามขั้นบนไม่ได้อีก ก็ไม่รู้จริงๆ แล้วว่าขอบเขตนั้นแข็งแกร่งถึงระดับไหนกันแน่…’
เขาใช้ความคิด ควันดำของกระทิงปวดร้าวค่อยๆ สลายหายไป ไอสีดำรอบตัวลู่เซิ่งก็สาบสูญไปด้วย
‘ตอนนี้สมควรดูวิธีใช้พลังอาวรณ์แล้ว’
‘ดีปบลู’
ฟุ่บ
เครื่องมือปรับเปลี่ยนปรากฏตรงหน้าลู่เซิ่ง ด้านบนเต็มไปด้วยวรยุทธ์วิชาลับมากมาย ตั้งแต่บนถึงล่าง อย่างน้อยหลายสิบวิชา กรอบทั้งหมดใกล้จะเต็มแล้ว
ไม่ทันไรลู่เซิ่งก็เจอกรอบวิถีหทัยมาร
‘ตอนนี้วิถีหทัยมารจำเป็นแค่รอการฟักตัวเท่านั้น ไม่ต้องใช้พลังอาวรณ์ก็ได้’ เขาใคร่ครวญอย่างละเอียด
‘คำนวณอย่างละเอียดแล้ว ระดับสูงสุดของวิชาลับมารกำเนิดในสำนักมารกำเนิดความจริงสร้างขึ้นโดยเลียนแบบมาร ดังนั้นพอฝึกถึงจุดสูงสุดก็จะปรากฏลักษณะพิเศษของมาร เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ฆ่าฟางถานเสร็จก็ดูดซับพลังมารกำเนิดมาได้’
พอคิดถึงการดูดซับพลังมารกำเนิด ลู่เซิ่งก็เอะใจ
‘ในความเป็นจริง หากเปลี่ยนมุมมองดู วิชาลับมารกำเนิดก็คือมรรคายุทธ์สำหรับฝึกฝนชนิดหนึ่งนี่นา เพียงแต่ว่าวิชาลับมารกำเนิดนี้เป็นเส้นทางที่สำนักมารกำเนิดบุกเบิกโดยเลียนแบบมาร เพื่อมอบการฝึกฝนให้แก่ผู้ครองสายเลือดในตระกูลขุนนางที่มีพลังแห่งสายเลือดอ่อนแอสุดขีดโดยเฉพาะ พลังสายเลือดอ่อนแอสุดขีด ก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาเท่าไหร่’ ความคิดของลู่เซิ่งทำงาน ‘ถ้ามองมันเป็นมรรคายุทธ์ล่ะก็…’
ลู่เซิ่งลุกขึ้นยืน สองมือสะบัดไปรอบๆ
ครึ่กๆ…
เสียงทึบดังขึ้น ผนังหินรอบๆ ถ้ำกะเทาะหลุดร่วง หินก้อนใหญ่มากมายหล่นจากผนังแล้วกลายเป็นกรวด
จากนั้นตาข่ายโลหิตล่องหนสายหนึ่งก็กระจายออกจากตัวลู่เซิ่ง ผลักกรวดทั้งหมดออกจากถ้ำ
เพียงแค่สองสามอึดใจสั้นๆ ถ้ำก็ถูกขยับขยายพื้นที่ไม่น้อย
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ค่อยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เขามองอินเตอร์เฟซอีกรอบ เจอกรอบของวิถีหทัยมาร
‘พลังอาวรณ์รอสำเร็จวิถีหทัยมารก่อนค่อยใช้ก็ได้ ส่วนวิถีหทัยมารก็ใช้การดูดซับธารหมอกพิษมาเปลี่ยนเป็นปราณมาร เพื่อฟูมฟักแทนได้ ตามทฤษฎี ร่างกายเรากักเก็บปราณมารได้มากเท่าไหร่ ก็ฟักมารหยินได้แข็งแกร่งเท่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่ได้นึกถึงจุดนี้ อย่างนั้นตอนนี้ก็ทดสอบได้พอดี…’
ลู่เซิ่งหรี่ตา ร่างกายพองขยายอย่างรวดเร็ว
จากร่างธรรมดาสูงหนึ่งหมี่กว่าๆ กลายเป็นสภาพปกติสูงสามหมี่กว่าๆ
‘อือ…’ เขาเหยียดร่างกาย การอยู่ในสภาพหดร่างมาโดยตลอดทำให้กระดูกและกายเนื้อเสียหาย ถ้าไม่ใช่มีปราณขวดสมบัติคอยฟื้นฟู เขาก็ไม่อาจคงสภาพหยินโชติช่วงในระยะยาวได้
‘ความแข็งแกร่งนี้…ยังไม่พอ’ ลู่เซิ่งขยับเนื้อขยับตัว สะบัดหางยาวหยาบใหญ่สองสามทีใส่ผนังจนเกิดเสียงทึบหนัก
‘เอาอีก’
ฟู่ว…
เขาพ่นลมหายใจ กล้ามเนื้อทั่วร่างพองขึ้นและกลายเป็นสีดำ เกราะผิวสีดำอมเขียวซึ่งหนากว่าเดิมหลายชั้นปกคลุมทั้งตัว หน้าผากมีเขาขนาดใหญ่คู่ใหม่งอกออกมา เขาทั้งหมดสองคู่บังศีรษะเอาไว้
กล้ามเนื้อด้านหลังนูนสูง ขยายออกไปสองด้านเหมือนปีก ทรวงอกมีกระดูกเหมือนกับแผ่นเกราะสีขาวเทาเพิ่มมา
ลู่เซิ่งลูบปาก เขี้ยวแหลมเต็มปากกลายเป็นถี่และเล็กกว่าเดิม ในช่องปากมีฟันหยักที่เล็กกว่าเดิมเพิ่มมาแถวหนึ่ง
‘ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว…ฟันแถวใหม่งอกมา…มีประโยชน์อะไร หรือว่าต้องใช้ขย้ำคน’
นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่าถ้ำแคบไปบ้าง ยังดีก่อนหน้านี้เขาขยายพื้นที่ในถ้ำถึงหกหมี่กว่าๆ
‘เหมือนจะตัวสูงขึ้น ครั้งก่อนแค่ราวห้าเมตรกว่าๆ’ ลู่เซิ่งคำนวณคร่าวๆ ใกล้จะสูงเกือบหกหมี่แล้ว มองของที่วางอยู่บนพื้น รู้สึกเล็กลงมาก
นื่คือสภาพหยางโชติช่วง เป็นสภาพที่กายเนื้อและพละกำลังของเขาแข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ การป้องกันเองก็ไม่เลว ทว่าความเร็วกลับได้รับภาระจากขนาดตัวที่มโหฬาร ทำให้เชื่องช้าสุดขีด
‘สภาพนี้มีปริมาณการบรรจุมากที่สุด เหมาะพอดี’ เนื่องจากไม่ได้เปลี่ยนเป็นสภาพนี้มานาน ลู่เซิ่งจึงขยับร่างกายเล็กน้อยเพื่อปรับเอ็นกระดูก
หลายอึดใจต่อมา เขาค่อยๆ เดินออกจากถ้ำ มองแม่น้ำสีดำกลางป่าศิลาผืนใหญ่ด้านล่าง แล้วกระโจนตัวลงไป
ซู่ม!
ละอองน้ำกลุ่มใหญ่กระจายขึ้น ต่อให้ลู่เซิ่งใช้วิชาแสงมายากระทืบพสุธาก็ยังไม่อาจลดแรงกระแทกได้ ร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป ทำให้ตอนกระโดดลงน้ำ ละอองน้ำในธารหมอกพิษจึงปกคลุมป่าศิลาไปครึ่งแถบ
สิ่งที่โชคดีคือ ที่นี่อยู่ห่างจากที่ตั้งของสำนักมารกำเนิดไกลมาก เสียงยากจะส่งไปถึง
ลู่เซิ่งตั้งหลัก สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โคจรวิถีหทัยมาร แล้วเริ่มดูดซับปราณมาร
ซู่
น้ำสีดำและหมอกพิษกลุ่มใหญ่ถูกเขาดูดเข้าร่างด้วยความเร็วสูง หากมองไกลๆ ในหมอกดำเหมือนมีสัตว์ประหลาดร่างยักษ์สูงห้าหมี่กว่าๆ ยืนกินเมฆพ่นหมอกอยู่ในแม่น้ำ
ธารหมอกพิษไหลเร็วขึ้นเรื่อยๆ เริ่มกลายเป็นวังวนสีดำโดยมีลู่เซิ่งเป็นศูนย์กลาง หมุนวนตามเข็มนาฬิการอบๆ เขา น้ำนับไม่ถ้วนถูกร่างกายขนาดยักษ์ของเขากลืนกินเหมือนกับถูกฟองน้ำดูด
พลังมารกำเนิดมากมายถูกเปลี่ยนแปลงออกมา กักเก็บในร่างของเขา หล่อเลี้ยงหัวใจที่ยังไม่ฟักสองดวงสุดท้าย
ทว่าแบบนี้ ลู่เซิ่งยังคงรู้สึกไม่พอใจ
ฟู่ว…
เขาสูดหายใจลึก ตาข่ายโลหิตขยายออก น้ำสีดำจำนวนมากลอยขึ้นมา แล้วทะลักเข้าไปในปากเขาจากสี่ทิศแปดทาง
ชั่วขณะนั้นธารหมอกพิษที่อยู่รอบๆ สั่นไหวเล็กน้อย น้ำนับไม่ถ้วนไหลเข้ามาเติมเต็มจากสาขาอื่น ก่อนจะถูกลู่เซิ่งกลืนกินดูดซับเข้าไป
ละอองน้ำปริมาณมากลอยออกจากตัวเขา นี่เป็นน้ำหมอกพิษหลังจากถูกกลืนกินสารสกัดเข้าไป
ตูม!
ลู่เซิ่งเดินไปยังทิศทางที่น้ำทะลักมามากที่สุด
ในเสียงฝีเท้าที่หนักอึ้ง เขาทะลุป่าศิลา มาถึงหน้าผนังถ้ำ
ด้านล่างผนังถ้ำมีรูมากมายเหมือนรังผึ้ง น้ำหมอกพิษไหลมาจากที่นี่
ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปทุบลงด้านหน้า
ตูม
ผนังหินถูกตัดเหมือนหั่นเต้าหู้ กลายเป็นโพรงใหญ่ที่มากพอให้เขาเคลื่อนไหว
เดินเข้าไปในโพรงใหญ่ ด้านในเป็นทะเลสาบสีดำสนิทที่มีไอความเย็นลอยกรุ่น ในทะเลสาบเป็นน้ำจากธารหมอกพิษสีดำทะมึน
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเข้าไปในทะเลสาบ ไม่นานก็เหลือแค่ส่วนศีรษะ ปาก และจมูกที่โผล่อยู่ด้านนอก
ในทะเลสาบมืดมิด งูยักษ์สีดำที่มีหนามสีม่วงบนหลังหลายตัวเลื้อยมาจากในน้ำอย่างเงียบงัน พุ่งเข้าหาลู่เซิ่งอย่างมุ่งร้าย
ฟู่ม!
งูตัวหนึ่งยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็ถูกลู่เซิ่งจับไว้ แล้วยกออกจากน้ำ
งูยักษ์ยาวเจ็ดแปดหมี่ถูกเขายกขึ้นมาบีบเบาๆ แล้วระเบิดเป็นสองท่อนจากตรงกลาง
เลือดสีดำกระเซ็นใส่น้ำ งูยักษ์ที่เหลือรีบเลื้อยหนี ไม่กล้าเข้าใกล้อีก
ลู่เซิ่งโยนงูยักษ์ทิ้ง ก่อนเดินไปกลางทะเลสาบ
ซู่…
เขาเริ่มกลืนกินน้ำหมอกพิษสุดกำลัง
วังวนใหญ่กลุ่มใหม่ปรากฏกลางทะเลสาบ น้ำอันมหาศาลทะลักเข้าไปด้านในไม่หยุดยั้ง
แต่ขนาดแบบนี้ ลู่เซิ่งยังคงคิดว่าช้าเกินไป
‘ความเร็วแบบนี้…ยังไม่พอ!’ เขากวาดตามองรอบๆ คำรามเสียงทุ้ม ตาข่ายโลหิตขยายออกอีกรอบ น้ำนับไม่ถ้วนถูกม้วนขึ้น แล้วไหลบ่าเข้าปากเขา
“ช้าๆๆ! ช้าเกิน! ช้าเกินไปแล้ว!”
ร่างกายของลู่เซิ่งขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง แล้วทุบสองแขนลงด้านล่าง
ซู่ม!
ไม่ได้เกิดเสียงดังอึงอล เพียงแต่น้ำในทะเลสาบทั้งหมดกระเพื่อม เกิดคลื่นน้ำกลุ่มใหญ่ ตาข่ายโลหิตหมุนวนอย่างรวดเร็ว ม้วนคลื่นน้ำให้หมุนเร็วขึ้น
หลังจากความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น้ำมากมายที่กระเพื่อมก็กลายเป็นสภาพเหมือนพายุ ถูกดึงเข้าไปในปากลู่เซิ่ง
ชั่วขณะนั้นธารหมอกพิษเริ่มสั่นสะเทือน
…
บริเวณผนังหินในถ้ำ
ศิษย์สองสามคนที่เดินอยู่บนลานกว้างพลันรู้สึกได้ว่าพื้นสั่นไหวน้อยๆ พากันหันไปมองทิศทางที่การสั่นสะเทือนส่งมา ต่างก็แตกตื่นสงสัย
ลิ่วซานจื่อรีบออกจากถ้ำ มองไปยังที่ไกล หัวคิ้วขมวดมุ่น แตกตื่นประหลาดใจเช่นกัน
‘การสั่นสะเทือนนี้มาจากส่วนลึกของธารหมอกพิษใช่หรือไม่ หรือรอบนี้น้ำจะขึ้นมากกว่าเดิม’
พิษร้ายที่ซ่อนอยู่ในธารหมอกพิษ ต่อให้เป็นเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป ปกติดูดซับน้ำสองสามหยดก็นับว่าไม่เลวแล้ว ถ้าหากอยากเดินไปส่วนที่ลึกที่สุด ไปยังสถานที่ที่บูรพาจารย์ของสำนักเคยเก็บตัวฝึกฝน แม้แต่เขาก็ทำไม่ได้
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงได้แต่คาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้านใน
‘หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องใหญ่…’ ลิ่วซานจื่อใบหน้าเคร่งขรึม อธิษฐานในใจ
……………………………………….