ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 256 ฉากหลังอันดำมืด (2)
บทที่ 256 ฉากหลังอันดำมืด (2)
“ข้าอยากจะรู้ว่าพลังของอาวุธเทพศัสตรามารกับพวกเจ้าเหล่ามารมีความแตกต่างอย่างไรกับพลังธรรมดา” ลู่เซิ่งถามอย่างเยือกเย็น “ถ้าเจ้าบอกข้า ข้าจะปล่อยเจ้าออกมา”
“ฮ่าๆๆ เจ้ามดต่ำต้อย คิดจะทำลายเส้นแบ่งระหว่างธารสวรรค์กับผืนดินเชียวหรือ! โง่เง่า!” เสียงนั้นแผดคำราม “มนุษย์อย่างเจ้าคิดจะต้านทานพลังของธารสวรรค์ ช่างไม่รู้จักเจียมตัวจริงๆ!”
“บอกข้อแตกต่างข้ามา ทำหรือไม่เป็นเรื่องของข้า พูดไม่พูดก็แล้วแต่เจ้า” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ
“เหอะ! ดึงดาบผนึกออกไปมากขนาดนั้น คิดว่าเจ้ายังสะกดข้าได้หรือ!? ดูถูกพลังที่ข้าสะสมมามากกว่าหมื่นปีมากไปแล้ว ข้าสามารถทำลายผนึกด้วยตัวเอง…”
ฉึก!
ลู่เซิ่งดันดาบกลับไป
เขารู้สึกถึงพละกำลังอันยิ่งใหญ่ที่ส่งมาจากด้ามดาบได้แต่แรก แต่ว่าสำหรับเขาแล้ว แรงเล็กน้อยนี้ยังอยู่ในขอบเขตที่รับได้ ใช้แค่สภาพหยินโชติช่วงก็จัดการได้แล้ว
ดาบผนึกเสียบกลับไปบนหินอย่างหนักหน่วง ส่งเสียงเคร้งกังวานใส
จากนั้นทุกอย่างก็สงบลง
ลู่เซิ่งรอสักพัก ก็ค่อยๆ ถอนดาบขึ้นมาส่วนหนึ่ง
“เจ้ามดโง่เง่าต่ำต้อย เจ้ากล้าหยอกล้อข้า! เมื่อครู่ข้าประมาทไป ครั้งนี้ไม่มี…”
ฉึก!
ลู่เซิ่งเสียบดาบกลับไปอย่างแน่วแน่
แรงต้านคล้ายจะมากขึ้นส่วนหนึ่ง แต่ไม่เป็นไร มือที่เขาใช้เป็นมือซ้าย รอไม่ไหวจริงๆ ค่อยใช้มือขวากดเพิ่ม
รอสักพัก เขาก็ค่อยๆ ถอนดาบออกมาอีกครั้ง
“…”
ครั้งนี้เสียงนั้นเงียบไปแล้ว
กลายเป็นความเงียบที่น่ากระอักกระอ่วน
ลู่เซิ่งเอ่ยปากขึ้นก่อน
“เป็นอย่างไร คิดดีแล้วหรือยัง” เขาถามเสียงเบา
“…บอกเจ้าก็หาเป็นไรไม่”
เสียงนั้นเว้นไปเล็กน้อย
“เจ้ารู้ไหมว่าสิบวิชาเก้าจิตของสำนักมารกำเนิดของเจ้าเลียนแบบสิ่งใดของพวกเรา”
“สิ่งใดหรือ”
“การหายใจของพวกเรา” เสียงนั้นเอ่ยเบาๆ “ความจริงสำนักมารกำเนิดไม่ได้เป็นผู้สลักดาบผนึกนี้ แต่มันอยู่นี้มานานนมแล้ว พวกเขาเพียงแค่พบดาบที่อยู่ที่นี่ด้วยความบังเอิญก็เท่านั้น จากนั้นก็หลอกข้าเข้ามาที่นี่”
“…เข้าใจล่ะ…” สติปัญญาต่ำอย่างที่คิดไว้
สีหน้าของลู่เซิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เขาถามต่อ
“นั่นเกี่ยวอะไรกับสิบวิชาเก้าจิต ข้าอยากรู้ว่าพลังระดับปฐมกับพลังระดับทั่วไปแตกต่างกันตรงไหน”
“มีความแตกต่างอยู่แล้ว นี่เป็นพลังงานแหล่งกำเนิดในระดับที่แตกต่างและพื้นฐานที่แตกต่างมาประกอบกันเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดและเล็กจ้อยที่สุดของพวกเขา ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” ในที่สุดเสียงนั้นก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เหมือนน้ำกับน้ำแข็งเป็นสสารชนิดเดียวกัน แต่น้ำแข็งแข็งกว่าน้ำหลายเท่าตัวนัก นอกเสียจากว่ามีน้ำมากเหลือคณากระแทกใส่ด้วยความเร็วที่สูงสุดขีด การใช้แข็งชนแข็งย่อมไม่ใช่คู่มือของน้ำแข็ง สำนักมารกำเนิดของพวกเจ้าพยายามสุดความสามารถจนเลียนแบบการหายใจของพวกเราได้ แต่การหายใจนี้เป็นบ่อเกิดที่ให้กำเนิดปราณมาร”
“อย่างนั้นข้าจะควบคุมพลังปฐมได้อย่างไร” ลู่เซิ่งถามต่อ
“ง่ายมาก มีจำนวนมากพอก็ใช้ได้แล้ว ต่อให้เจ้าเป็นสุกรสักตัว สะสมสุกรให้ได้สักพันแล้วพุ่งชนใส่ ก็บดขยี้เสือตัวหนึ่งจนตายได้เหมือนกัน ในส่วนลึกของสำนักมารกำเนิดมีของหลงเหลือจากสิบวิชาเก้าจิตมากมายเลยไม่ใช่หรือ ตอนนั้นไอ้พวกหลอกลวงพวกนั้นฝังพวกมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของธารหมอกพิษ”
ลู่เซิ่งหมดคำพูดอยู่บ้าง
“พูดง่ายๆ ก็คือ พลังกำเนิดทั่วไปอาจจะเปลี่ยนเป็นพลังปฐมในระดับความเข้มข้นสูงได้ เจ้าต้องลองดูเอง” เสียงนั้นกล่าวอย่างไม่นำพา “เอาล่ะ ควรปล่อยข้าออกไปได้แล้วกระมัง ข้าทำตามคำสัญญาของเจ้าแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก” ลู่เซิ่งปักดับกลับ แล้วหมุนตัวจากไป
พื้นดินสงบลงก่อน จากนั้นก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหมือนกับมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอย่างโกรธเกรี้ยวใต้พื้น
ลู่เซิ่งนึกออกแล้วว่าควรทำอย่างไร ในเมื่อร่างกายรองรับไม่ไหว อย่างนั้นก็ใช้วัสดุภายนอกทดแทนไปก่อน หลังจากทดลองจนกระจ่าง ค่อยใช้มือจับดู
เขากลับไปถึงธารหมอกพิษอย่างรวดเร็ว แล้วหวนนึกถึงสิ่งที่มารตนนั้นพูดถึง เหล่าบรรพบุรุษของสำนักมารกำเนิด ได้สลักระบบของสิบวิชาเก้าจิตในส่วนลึกของธารหมอกพิษ
‘อาจารย์ลิ่วซานจื่อน่าจะมาส่วนลึกของธารหมอกพิษไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่เคยค้นพบ บูรพาจารย์เหล่านั้นคงจะทิ้งการสืบทอดไว้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแบบนี้เพื่อความปลอดภัย เราต้องหาพลังอาวรณ์อยู่พอดี ลองเดินดูรอบๆ ก่อนค่อยว่ากัน’
ลู่เซิ่งครุ่นคิด ก่อนออกจากถ้ำ แล้วเริ่มค้นหาด้านในถ้ำที่ทะเลสาบน้อยอยู่
ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูปแล้ว เดินวนอยู่รอบหนึ่ง แต่ไม่พบกลไกอุโมงค์อะไรเลย
ลู่เซิ่งออกไปเดินวนรอบๆ เสาหินอีกสองสามหน ทั้งยังตรวจสอบรูเล็กๆ หนาแน่นเหล่านั้นรอบหนึ่ง กลับเจอวัตถุที่มีพลังอาวรณ์อยูสองสามชิ้น หลังดูดซับพลังอาวรณ์ไปยี่สิบกว่าหน่วย ที่เหลือก็ไม่มีแล้ว
เขากลับมาถึงริมทะเลสาบน้อยอีกครั้ง
เขม้นมองน้ำในทะเลสาบด้านหน้าพลางขมวดคิ้ว ‘หรือว่าจะอยู่ด้านในจริงๆ’
ลังเลเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงคิดลงน้ำเอง
ทะเลสาบไม่ลึกมาก แต่ว่าด้านล่างมีถ้ำอยู่ไม่น้อย ความลับอาจซ่อนอยู่ที่นี่
ลู่เซิ่งหาของมาปิดจมูก จากนั้นก็พุ่งตัวลงไป
ฟู่ม
เขาดำลงไปในทะเลสาบ ว่ายไปยังก้นทะเลสาบเหมือนปลา
ทะเลสาบลึกแค่เจ็ดแปดหมี่ ตอนที่เขาดูดซับน้ำได้ใช้วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเคลื่อนไหวใต้น้ำ แล้วไปยืนอยู่กลางน้ำ
กระนั้นครั้งนี้เขาไม่ได้จะลอยตัวขึ้น แต่ดำลงไปด้านล่าง
ดำลงไปตลอดทาง ไม่นานลู่เซิ่งก็จับผนังด้านในที่ก้นทะเลสาบไว้ เจอถ้ำถ้ำหนึ่ง ก่อนจะมุดเข้าไป
แกร่กๆ…
ภายในถ้ำไม่มีน้ำอย่างน่าประหลาด แห้งผากทั้งถ้ำ รูปปั้นดินเหนียวสตรีมีหลายแขนหลายตัว ติดอยู่บนผนัง ดิ้นจนร่างร่วงลงมา พลางคลานเข้าหาลู่เซิ่ง
พวกมันบางตัวมีแค่ร่างท่อนบน ได้แต่ยื่นแขนมากมายออกมาจากผนังเพื่อให้ถึงตัวลู่เซิ่ง
บางตัวมีแค่ร่างครึ่งเดียว ก็เอียงตัวเข้ามาหาเขา
โฮก
ลู่เซิ่งโบกมือปล่อยราชสีห์โทสะออกมา มารหยินตนนี้เพิ่งปรากฏตัว ก็คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมพุ่งไปหารูปปั้นดินเหนียวสตรีเหล่านั้นทันที
ชั่วครู่เดียว รูปปั้นดินเหนียวสตรีหลายแขนทั้งหมด ก็ถูกชนใส่จนล้มลงบนพื้น แล้วแตกออกเป็นดินสีเหลืองมากมาย
พวกมันช้ามาก เพียงแต่มีพละกำลังแข็งแกร่ง อีกทั้งบนตัวยังมีพิษและกลิ่นเหม็น ทว่าราชสีห์โทสะเป็นมารหยิน แถมยังรับพละกำลังที่แข็งแกร่งมากของลู่เซิ่งไป บวกกับทั้งตัวเป็นอัคคีพิษ ไม่กลัวพิษและกลิ่นเหม็นโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าสะกดข่มอย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้นสำหรับลู่เซิ่ง การเก็บกวาดรูปปั้นดินเหนียวสตรีเหล่านี้ยังผ่อนแรงยิ่งกว่าเหยียบมดสักตัวเสียอีก
เวลานี้เขาเดินอย่างราบรื่นไปถึงด้านในสุดของถ้ำ แล้วก็เห็นลวดลายมากมายที่สลักอยู่ด้านใน
‘ว่าแล้ว!’
หลังจากจัดการรูปปั้นดินเหนียวสตรีเสร็จ ลวดลายที่เหลืออยู่บนผนังก็ตวัดกลายเป็นตัวอักษรทันที เป็นตัวอักษรซ่งโบราณ
มันเขียนไว้ว่า ร่างมารอัคคีแค้น – ร่างที่ห้าในร่างมารสิบวิชา
ด้านล่างเต็มไปด้วยวิธีฝึกฝน และภาพประกอบ
ลู่เซิ่งรีบจำไว้ คิดไว้ว่ากลับไปจะถามอาจารย์ลิ่วซานจื่อว่าร่างมารอัคคีแค้นนี้เอาไว้ทำอะไร
‘ร่างมารสิบวิชา หมายถึงร่างมารสิบรูปแบบ ยังมีเก้าจิต คือวิชาลับมารกำเนิดทั้งหมดสิบเก้าชนิด ร่างมารอัคคีแค้นนี่…’ ลู่เซิ่งตั้งใจอ่านเนื้อหาด้านบน
พบว่ารากฐานของเนื้อหาด้านบนนี้ยังคงมาจากปราณมารในธารหมอกพิษ
จดจำเนื้อหาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ออกจากถ้ำแห่งนี้ ว่ายไปยังถ้ำแห่งอื่น
ว่ายผ่านไปหลายถ้ำ ไม่ทันไรเขาก็พบถ้ำแห่งหนึ่ง ราชสีห์โทสะพุ่งเข้าไปอาละวาดรอบหนึ่ง หลังกำจัดรูปปั้นดินเหนียวสตรีทั้งหมดแล้ว ลู่เซิ่งก็ค่อยเข้าไปด้านในสุด แล้วจึงพบว่ามีวิชาลับมารกำเนิดของร่างมารสิบวิชาสลักอยู่บนผนังวิชาหนึ่ง
ติดๆ กันต่อจากนั้นก็เจอวิชาลับร่างมารสิบวิชาด้านในถ้ำกลางทะเลสาบทั้งหมด สองวิชาในนี้เลือนนรางเพราะถูกลมกัดกร่อนมาหลายยุคสมัย อีกแปดวิชายังอยู่ดีไม่บุบสลาย
นี่ทำให้ลู่เซิ่งลิงโลด หลังจากได้เห็นความร้ายกาจของร่างมารสดับสงัด ก็คาดหวังในร่างมารที่เหลือถึงขีดสุด
ร่างมารสดับสงัดมอบการระเบิดปราณเหลวอย่างแทบจะไร้ขีดจำกัดให้เขา นี่หมายความว่าเขาสามารถคงสภาพระดับสุดยอดในการระเบิดปราณเหลวอย่างหยินหยางรวมเป็นหนึ่งได้ตลอดเวลา จนใช้ได้อย่างทั่วไป
ไม่จำเป็นต้องเผาไหม้ปราณเหลวสิบหยดจนหมดเพื่อระเบิดพลังในตอนเข้าตาจนเหมือนเมื่อก่อนหน้าอีกแล้ว
ในเมื่อร่างมารสดับสงัดเป็นร่างมารที่ธรรมดาที่สุด อย่างนั้นร่างมารที่กล่าวกันว่าแข็งแกร่งที่เหลือจะมีอานุภาพถึงขนาดไหน ลู่เซิ่งค่อนข้างคาดหวังแล้ว
เหมือนกับวรยุทธ์ เขากำลังนึกอยู่ว่าถ้าหากรวมร่างมารทั้งหมดบนร่างตัวเอง ฝึกฝนทุกร่างจนสำเร็จ
มันจะไปถึงขั้นไหน
ในเวลาต่อสู้ หากไม่นับกายเนื้อที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษของลู่เซิ่ง ร่างมารสดับสงัดร่างเดียวก็อยู่ในขอบเขตสูงสุดของสามขั้นแรกในระดับอสรพิษแล้ว
ถ้ารวมกับร่างมารที่เหลืออีกมากมายล่ะก็…
…
เรือนสุดประจิม
สำนักอันดับหนึ่งและแข็งแกร่งที่สุดที่ประวัติศาสตร์เคยมีมาในร้อยเส้นสาย เทียบเท่ากับตระกูลขุนนาง แข็งแกร่งเหลือประมาณ คำวิจารณ์และรัศมีแสงมากมายห่อหุ้มเรือนสุดประจิมไว้เป็นชั้นๆ
สำหรับศิษย์สำนักที่ไม่มีตระกูลขุนนางคอยพึ่งพิง เรือนสุดประจิมเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในใจของพวกเขา
และเพราะเหตุนี้ เรือนสุดประจิมจึงถูกศิษย์ร้อยเส้นสายมากมายนำมาเปรียบเทียบกับตระกูลขุนนาง
พวกเขาอยากจะเห็นว่า หากตัวเองไม่มีตระกูลขุนนางเป็นที่พึ่งพิง อาศัยแค่ขีดจำกัดที่ตัวเองพัฒนาไปถึงได้ จะเทียบกับตระกูลขุนนางได้หรือไม่
เรือนสุดประจิมได้รับการฝากความหวังแบบนี้มากมาย ขณะนำพาร้อยเส้นสาย
จ้าวจื่อเจิ้งประมุขพรรคซึ่งใส่เสื้อคลุมผ้าดิ้นและสวมกวนสีทองนั่งฝึกอักษรอยู่ในห้องหนังสือ
เขาที่ในวันนี้อายุห้าสิบกว่าปีได้รับการยกย่องว่าเป็นประมุขพรรคที่มีความเด็ดขาดมากที่สุดในเรือนสุดประจิม ตั้งแต่ควบคุมพรรคเป็นต้นมา ก็ตั้งใจดูแลพรรค สั่งสมขุมกำลัง และบริหารเรือนสุดประจิมจนแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้า จึงเป็นที่รักของศิษย์จำนวนมาก
ถือพู่กันบรรจงเขียนคำว่า ‘จบ’ จ้าวจื่อจิ้งแตะหมึก กำลังจะเขียนต่อ
ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศที่เบามากก็ดังมาจากหน้าต่าง เขารีบเงยหน้าขึ้น
เห็นคันฉ่องสำริดสีเหลืองโบราณอันกระจิ๋วหลิวบานหนึ่ง โผล่มาบนกรอบหน้าต่างตอนไหนก็ไม่ทราบ
พริบตาที่เห็นคันฉ่อง จ้าวจื่อเจิ้งก็สีหน้าแปรเปลี่ยน รีบเดินเข้าไปเก็บคันฉ่องไว้ในแขนเสื้อ
เขาปิดหน้าต่าง แล้วโบกมือสาดผงสีเงินกำหนึ่งออกไป รอสักพักหนึ่ง ค่อยหยิบคันฉ่องออกมาอีกรอบ
“มีเรื่องอะไร” เขากระซิบกับคันฉ่อง ถึงกับไม่ใช่ภาษาต้าซ่ง แต่เป็นภาษาประหลาดอีกภาษาหนึ่ง
“ใกล้จะเริ่มแล้ว ภัยพิบัติมารครั้งใหม่” สตรีคนหนึ่งปรากฏอย่างพร่ามัวในคันฉ่อง ภาษาที่เหมือนกันดังออกมาจากด้านในอย่างกระจ่างชัดสุดเปรียบปาน
“เร็วขนาดนี้เลยหรือ ไม่ใช่สิบปีก่อนเกิดไปครั้งหนึ่งแล้วหรอกหรือ” สีหน้าของจ้าวจื่อเจิ้งเปลี่ยนไป ถามเสียงทุ้มต่ำ
“ถูกต้อง ตอนแรกยังไม่ถึงเวลาจริงๆ แต่ครั้งนี้ประตูบานหนึ่งในประตูสามบานของสำนักไตรอริยะที่ควรถูกเปิดได้พังไปแล้ว พวกเราเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีคนต้านทานการล่อลวงระดับนั้นได้ ทั้งยังล่าถอยออกมาปิดทางเชื่อมลง นี่เป็นโอกาสที่พันปียากพบพาน จะพลาดไปไม่ได้เด็ดขาด ประตูหายไปบานหนึ่งหมายถึงพลังที่ต่อสู้กับพวกเรามานานหายไปส่วนหนึ่ง” สตรีตอบ
“รีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ” จ้าวจื่อเจิ้งลังเล
“ไม่รีบ เมื่อไม่มีการช่วยเหลือจากประตู พลังที่พวกเขาเอาไว้สู้กับพวกเราก็อ่อนแอลงไปอย่างน้อยหนึ่งในห้าส่วน ไม่แน่ว่าครั้งนี้จะตีรัฐต้าซ่งแตกจริงๆ” นางตอบเสียงขรึม
จ้าวจื่อเจิ้งเงียบลงครู่หนึ่ง
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
ภัยพิบัติมารหมายถึงพลังอันน่ากลัวระดับผู้ใช้อาวุธไหลเข้าสู่โลกมนุษย์ เขาซึ่งเป็นสายลับในสำนักจะต้องร่วมมือทำงานก่อนกำหนด
สำนักที่สะกดมารเอาไว้อย่างสำนักมารกำเนิดและถ้ำหมื่นโพรง ปัจจุบันถูกทำให้อ่อนแอถึงขั้นนี้ ความจริงเป็นการผลักดันและฝีมือในที่ลับของเขา
ปัจจุบันขุมกำลังหลักระดับสุดยอดที่เคยต่อสู้กับภัยพิบัติมารเหล่านี้ตกต่ำถึงระดับสามขั้นล่างแล้ว
และในเมื่ออีกฝ่ายแจ้งเขาก็หมายความว่า ทางเขาถูกถือให้เป็นแนวหน้าแล้ว
ปกติตามธรรมเนียม วิญญาณมารสองตนจะจุติลงมาก่อนเพื่อสร้างประตูเลือดเนื้อ
และพลังจากการจุติของวิญญาณมารระดับผู้ถืออาวุธสองคน จะทำลายเมืองเจียงอวี่และปราการเมืองมากมายที่อยู่ด้านในเมืองกระดิ่งขาวที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อจัดพิธีโลหิตและสร้างประตูเลือดเนื้อ
เนื่องจากการลอบโจมตีอย่างกะทันหัน ต่อให้เป็นตระกูลซั่งหยางก็ต้านทานไม่ได้
……………………………………….