ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 277 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (7)
บทที่ 277 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (7)
ท้องฟ้าดารดาษด้วยเมฆดำ
เพราะการรวมตัวของพายุ ชั้นเมฆที่ยิ่งมายิ่งมาก รวมตัวกันแล้วกระจาย จากนั้นก็กระจายแล้วรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง
ชานเมืองพันนาวา บนทุ่งร้างผืนใหญ่
ลัวซีหมู่ ผู้บัญชาการใหญ่ทัพมารยืนอยู่ตรงกลางกองเพลิงกองใหญ่ที่กำลังลุกไหม้พร้อมกับพวกหลี่ซุ่นซีสามคน
กองเพลิงมากมายเรียงตัวเป็นคำว่า กำเนิด ขนาดใหญ่
“จะว่าไป ที่นี่เป็นจุดแรกสุดที่ข้าจุติลงมา” ลัวซีหมู่ เงยหน้ามองเมฆดำที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“ใต้เท้าผู้บัญชาการใหญ่จุติลงมานานมากกระมัง” หลี่ซุ่นซีใบหน้าไร้อารมณ์ ถามหยั่งเชิงด้วยความระมัดระวัง
“พอใช้ได้ แค่สี่ห้าปี ชีวิตของมนุษย์ช่างรุ่มรวยด้วยความสุขอย่างแท้จริง” ลัวซีหมู่ถอนใจ “พวกเจ้าใช้ชีวิตอย่างประณีตและละเอียดอ่อน ถ้าหากไม่จำเป็น ความจริงข้าก็ไม่อยากทำลายชีวิตสุขสบายที่งดงามแบบนี้ทิ้งไปเหมือนกัน…”
“อย่างนั้นท่าน…” หลี่ซุ่นซีร้อนใจอยู่บ้าง อ้าปากคิดพูดอะไร แต่สหายข้างตัวดึงรั้งไว้
เขาหันมองไปตามสายตาของอิ๋นจื่อ พริบตาที่มองไปยังทิศทางนั้น ในที่สุดหลี่ซุ่นซีก็ตัวสั่น สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
“ทำไม…ทำไมถึงเร็วแบบนี้!?” เขาเสียงสั่น ไม่กล้าเชื่อโดยสิ้นเชิงว่าจะเกิดก่อนกำหนดเร็วขนาดนี้
“สิ่งที่หยกลี้ลับเห็น เป็นแค่อนาคตต่อจากตอนนี้ แม้จะผิดพลาดไม่มากเกินไป แต่จะมากจะน้อยก็มีความเบี่ยงเบนเล็กๆ” ผู้บัญชาการใหญ่ทัพมารลัวซีหมู่มีสีหน้าเรียบเฉย พูดจาอย่างฉะฉาน
“และความสามารถเพียงหนึ่งเดียวของผู้บัญชาการใหญ่อย่างข้าก็คือ ทำให้ความเบี่ยงเบนเล็กๆ นี้ขยายไปในทิศทางที่มีประโยชน์ต่อพวกเรา” เขาเพ่งมองกองไฟบนพื้น
ตูม!
ทันใดนั้นเปลวเพลิงของกองเพลิงจำนวนมากก็ลุกโชนขึ้น ลำเพลิงสีแดงฉานพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าหลายสาย แล้วรวมตัวกันกลางอากาศกลายเป็นวังวนเปลวเพลิงขนาดมหึมาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบหมี่
วังวนเปลวเพลิงหมุนอย่างบ้าคลั่ง จุดแสงสีทองสามจุดปรากฏที่ริมขอบ
“ด้วยนามของข้าลัวซีหมู่ จงจุติ จงจุติ จงจุติเถอะ! ผู้กล้าแห่งประกายสีเทา!”
ลัวซีหมู่ตะโกน เสื้อคลุมบนตัวเขาพองตัวขึ้นเพราะพายุ ก่อนจะฉีกออกดังแคว่ก แล้วลอยไปด้านหลัง แต่ว่าดวงตาคู่นั้นกลับส่องแสงสีเหลืองทองใต้เมฆดำอันมืดครึ้ม
ตูม!
ม้าสามหัวขนาดมหึมาตัวหนึ่งตะบึงออกมาจากใจกลางวังวนเพลิง
ร่างของมันเป็นสีขาวราวหิมะ แผงคอเป็นเปลวเพลิงสีเหลือง กีบเท้าส่องประกายระยิบระยับเหมือนสร้างจากโลหะ ร่างกายยักษ์ใหญ่สูงเกือบแปดหมี่ ร่วงตกลงบนทุ่งร้างคล้ายกับดาวตกดิ่งใส่พื้น แล้วระเบิดกึกก้องกลายเป็นหลุมใหญ่
พวกหลี่ซุ่นซีต้องรีบถอยหลังหลายสิบก้าว จึงค่อยฝืนต้านกระแสอากาศร้อนลวกที่แผดเผาอย่างบ้าคลั่งได้
ไกลออกไป พวกเขาเห็นลัวซีหมู่กำลังพูดอะไรบางอย่างเสียงดังอยู่ด้านหน้าม้าเพลิงสามหัว
“ในที่สุด…ในที่สุดก็เริ่มแล้ว…” หลี่ซุ่นซีสูดหายใจเอาอากาศที่แห้งผากเข้าไป รู้สึกโพรงจมูกคันยุบยิบ เมือกที่เพิ่งหลั่งออกมาถูกลมร้อนเป่าจนแห้งในพริบตา
เขามองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน ม้าสุริยะสามหัวเป็นตัวแทนจุดเริ่มต้นการจู่โจมครั้งใหญ่อย่างเป็นทางการของทัพมาร
นี่เป็นการเริ่มต้นของทุกสิ่ง เป็นแตรแห่งสงคราม!
ร่างของลัวซีหมู่ค่อยๆ ลอยขึ้นไปตรงกลางบนหัวของม้าสุริยะสามหัวอย่างแผ่วเบา ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ไปด้านหน้า
ในเสียงครืนครัน แผ่นดินสะเทือน ทุ่งร้างนูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ซุ้มประตูโค้งที่เกิดจากกระดูกขาวจำนวนมากค่อยๆ ผุดจากผืนดิน
ระลอกลวดลายโปร่งแสงมากมายปรากฏกลางประตู
ตูม!
มารดำทะมึนนับไม่ถ้วนกรูกันออกมาจากประตูใหญ่อย่างบ้าคลั่ง มองไกลๆ เหมือนกับโคลนสีดำสนิทที่ยากจะแยกแยะ
โคลนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน ค่อยๆ ย้อมที่ราบรกร้างที่อยู่ห่างออกไปเป็นสีดำสนิทโดยสมบูรณ์
…
ตูม
เปลวเพลิงสีม่วงลุกไหม้บนร่างลู่เซิ่ง ผนังด้านในถ้ำขนาดยักษ์รอบๆ ถูกเผาจนละลายเป็นหินหนืด
เขาคำรามขณะกึ่งคุกเข่ากับพื้น หางใหญ่ด้านหลังทุบพื้นอย่างต่อเนื่อง
หลังออกจากลานกว้างสีเหลืองทอง เขายังไม่ทันกลับมาถึงสำนักมารกำเนิด ที่คุกเข่าก็เพราะการพัฒนาไฟสามหยินทำให้ปราณมารกำเนิดแข็งแกร่งขึ้นอย่างใหญ่หลวงจนพื้นฐานของกายเนื้อเกิดการเปลี่ยนแปลง
พอพื้นฐานเปลี่ยนแปลง ร่างมารทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน ลู่เซิ่งเกือบจะคืนร่างเดิมอยู่แล้ว ยังดีที่ควบคุมลมปราณได้ทัน ไม่อย่างนั้นร่างอาจระเบิดตายเพราะพื้นฐานเกิดการเปลี่ยนแปลง
‘ยังดี…ที่มาเกิดเอาตอนนี้ ถ้ารอไฟสามหยินพัฒนาจนแกร่งกว่าเดิม แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอีก ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นปราณขวดสมบัติก็ไม่แน่ว่าจะเอาอยู่’ ลู่เซิ่งเหงื่อโซมกาย เหงื่อเพิ่งไหลออกจากร่างก็ถูกไฟสีม่วงเผาจนแห้งทันที
“ไปต่อไม่ได้แล้ว…ต้องรีบจัดการปัญหาให้เร็วที่สุด” ลู่เซิ่งสัมผัสความเจ็บปวดปานร่างจะฉีกขาด รู้ความร้ายแรงของสถานการณ์แล้ว
เขาสั่งความคิด มารหยินตัวหนึ่งโผล่ขึ้นด้านข้างเขา เป็นเงาคลุ้มคลั่ง มีแต่มารหยินที่เป็นเงามืดตัวนี้ ที่เหมาะกับภารกิจส่งข้อความมากที่สุด
ลู่เซิ่งใช้กรงเล็บดึงแผ่นหินก้อนหนึ่งออกมา จากนั้นใช้นิ้วขีดเขียนคำพูดสองสามประโยคด้านบน เนื้อหาคือตนจะกักตนฝึกฝนนานเล็กน้อย ไม่ต้องเป็นห่วง
“ไป แอบเอาไปให้ศิษย์พี่เหอเซียงจื่อ ห้ามถูกพบ!” ลู่เซิ่งยัดแผ่นหินให้เงาคลุ้มคลั่ง
ซู่ๆๆ…
เงาคลุ้มคลั่งไม่มีอวัยวะส่งเสียง ได้แต่สร้างเสียงกระแสอากาศอันวังเวง จากนั้นก็ม้วนแผ่นหินไว้ แล้วหายไปจากทางเชื่อมที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็วโดยลอยไปยังทิศทางของสำนักมารกำเนิด
‘ที่นี่…จากตำแหน่งคร่าวๆ น่าจะเป็นด้านล่างหอเก็บหนังสือของสำนักมารกำเนิด สามารถซ่อนตัวได้พอดี’
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิ มารหยินที่เหลือพากันโผล่ขึ้นรอบๆ ตัวเพื่อปกป้องเขา
‘ได้พลังอาวรณ์มาสี่ร้อยกว่าหน่วย ครั้งนี้อยากเห็นจริงๆ ว่าไฟหยินนี้จะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นไหน!’ เขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เตรียมจะปรับปรุงพื้นฐานให้ดีที่สุด
‘ดีปบลู!’
กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนค่อยๆ โผล่มา
สายตาลู่เซิ่งเลื่อนผ่านตารางขนาดใหญ่ด้วยความเร็วสูง สุดท้ายก็หยุดตรงกรอบของวิชาสามหยิน
[วิชาลับปริศนา: ขั้นที่หก ผลพิเศษ: ไฟสามหยิน เพิ่มความแข็งแกร่งแก่ไฟขั้นที่สาม]
พรึ่บ!
ไฟหยินสีม่วงกลุ่มหนึ่งปรากฏบนมือลู่เซิ่ง
“ครั้งนี้ทดลองเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ขีดจำกัดของไฟหยิน จากนั้นๆ ค่อยๆ ปรับปรุงร่างมาร ถ้าปรับปรุงไม่สำเร็จก็ออกจากการกักตนไม่ได้! ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่” ครั้งนี้ระหว่างทางขากลับเขาไม่ได้สังเกตเห็น ผลคือร่างมารเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเพราะพื้นฐานเปลี่ยนไป พลังฝึกปรือวิชาลับเกือบพังทลาย กายเนื้อเกือบระเบิด แต่เป็นเพราะกายเนื้อของเขาแข็งแกร่งถึงขั้นเกินจริง หากเป็นคนในสำนักมารกำเนิดคนอื่นๆ เกรงว่าจะทนไม่ไหว คงตัวระเบิดตายในพริบตาไปแล้ว
เขานั่งขัดสมาธิรอคอยอยู่ในถ้ำเงียบๆ รอให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง จากนั้นค่อยเริ่มเพิ่มความแข็งแกร่งและเรียนรู้ไฟหยิน
ข่ายกระเรียนหยินกับปราณขวดสมบัติ มอบปราณกำเนิดให้เป็นจำนวนมาก ทรงประสิทธิภาพถึงขีดสุด ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามก็จัดการอาการบาดเจ็บบนร่าง และดึงลู่เซิ่งออกจากขอบเขตอันตรายได้แล้ว
ตอนนี้ไฟสีม่วงบนร่างเขาค่อยๆ อ่อนแอลง สุดท้ายก็ดับลงโดยสมบูรณ์
‘เริ่มกันเลย…ได้พลังอาวรณ์มามากพอดี’
ลู่เซิ่งยกมือขวาขึ้น เปลวไฟสีม่วงลุกไหม้ขึ้นช้าๆ บนฝ่ามือ ด้านในมีของเหลวประหลาดหยดหนึ่ง แต่พร่ามัวจนมองไม่เห็นรายละเอียด
พื้นฐานไม่มั่นคง ปรับปรุงร่างมารไม่สำเร็จ ก็เหมือนร่างกายบรรจุระเบิดเวลานับไม่ถ้วนเอาไว้ พร้อมจะระเบิดตัวเองเป็นผุยผงได้ทุกเวลา
หลังลู่เซิ่งสังเกตเห็นปัญหา ก็เริ่มกักตนเพื่อปรับแก้ทันที ดีที่กระบวนการปรับแก้ไม่ยากเย็นนัก เพียงแค่ให้ร่างมารเปลี่ยนแหล่งพลังงานอีกชนิดหนึ่ง ที่เหลือย่อมมีปราณขวดสมบัติคอยร่วมมือวิวัฒนาการกับร่างมารเอง
‘ครั้งนี้มีประสบการณ์ขึ้นมาหน่อย ต้องค่อยเป็นค่อยไป’ ลู่เซิ่งใช้ความคิดกดลงบนปุ่มปรับเปลี่ยน
ทันใดนั้นดีปบลูพลันสั่นไหวน้อยๆ เข้าสู่โหมดปรับเปลี่ยน
เขาเพ่งสมาธิอีกครั้ง แล้วกดลงบนปุ่มด้านหลังกรอบที่วิชาสามหยินอยู่
ฟิ้ว!
เสียงหนึ่งดังเบาๆ กรอบพลันพร่ามัว
ไฟในมือลู่เซิ่งเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง สีไฟค่อยๆ เข้มขึ้น จากสีม่วงก่อนหน้าค่อยๆ กลายเป็นสีดำอมม่วง ตรงกลางปรากฏวังวนเล็กๆ สีดำซึ่งหมุนอย่างช้าๆ
รังสีอุณหภูมิสูงขนาดมหึมาทะลักออกจากมือลู่เซิ่ง ทำให้พื้นดินรอบๆ ตัวเขาเริ่มละลาย
สิ่งแปลกปลอมทนความร้อนสูงของที่นี่ ที่ความร้อนก่อนหน้าละลายไม่ได้ กลับละลายอย่างรวดเร็วเนื่องจากเปลวไฟสีดำอมเทาที่โผล่ขึ้นมาใหม่ สามารถเห็นได้ถึงความร้อนของมัน
กรอบแจ่มชัดอย่างรวดเร็ว
[วิชาลับปริศนา: ขั้นที่เจ็ด ผลพิเศษ: ไฟสามหยิน เสริมความแข็งแกร่งแก่ไฟขั้นที่สี่]
ตอนนี้ลู่เซิ่งตกตะลึงเพราะอานุภาพของไฟสีดำอมม่วงเช่นกัน สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือไฟชนิดนี้ไม่ทำร้ายเขาโดยสิ้นเชิง เหมือนกับความร้อนสูงนั้นส่งผลเฉพาะแค่วัตถุที่อยู่ภายนอกเท่านั้น
‘ใช้พลังอาวรณ์ไปห้าสิบหน่วย…ยังพอได้’ ลู่เซิ่งศึกษาไฟสีดำม่วงบนมืออย่างละเอียด
เขาหาวัสดุกันไฟความร้อนสูงส่วนหนึ่งมาทดลองขีดจำกัดอุณหภูมิของไฟดู
ในนี้มีสิ่งของมากมายที่ลิ่วซานจื่อมอบให้แก่เขา เนื่องจากสำนักมารกำเนิดมีวิชาลับสำหรับควบคุมอัคคีพิษ ดังนั้นจึงมีอุปกรณ์ทดลองส่วนหนึ่งที่มาคู่กัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ขัดสนเกินไป จึงหามาไม่ได้
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทั้งได้ชื่อเสียง ทั้งได้อันดับสูงกว่าเดิมในงานชุมนุม สำนักมารกำเนิดไม่ใช่สำนักตกต่ำที่อาจถูกคัดออกจากร้อยเส้นสายได้ตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อนหน้าอีกต่อไป แม้ยังไม่ถึงกับแข็งแกร่งมาก แต่ว่าก็สามารถจัดหาอุปกรณ์ทดลองได้
ลู่เซิ่งตรวจสอบสิ่งของบนร่างตัวเอง นอกจากอุปกรณ์ทนร้อนสองสามชนิดแล้ว ที่เหลือล้วนถูกอุณหภูมิที่ร้อนลวกเผาทำลายโดยสิ้นเชิง
แม้แต่เสื้อผ้าก็หายไปแล้ว ตอนนี้เขาใช้เกราะเกล็ดสีดำที่งอกขึ้นโดยธรรมชาติคุ้มตัว ไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์อีก
ยามนี้ร่างยักษ์สี่หมี่ของเขา แม้จะนั่งขัดสมาธิในหลุม ยังสูงกว่าหลุมถึงสองหมี่
‘ของที่ทนร้อนที่สุดคือมุกเก็บน้ำแข็งจากเขาทางใต้ที่อาจารย์มอบให้ ว่ากันว่าทนการเผาไหม้จากอัคคีพิษระดับสูงสุดได้’ ลู่เซิ่งหยิบไข่มุกหยกขาวเม็ดหนึ่งออกมาจากในถุงย่ามที่โดนเผากลายเป็นผงดำ เวลานี้ไข่มุกขนาดเท่าเล็บแผ่ซ่านความเย็นจางๆ ต่อให้อยู่ในถ้ำที่หินหลอมละลายหมดแล้ว ก็ไม่มีท่าทีว่าไข่มุกจะละลายแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งคีบไข่มุกพลางยื่นเข้าไปใกล้ไฟหยินในมือ
ฉ่า!
เพิ่งแตะกับเปลวไฟสีดำอมม่วง มุกเก็บน้ำแข็งก็กลายเป็นสีดำ หลอมละลาย แล้วกลายเป็นไอในพริบตาเดียว
‘อานุภาพนี้น่าจะเหนือกว่าอัคคีพิษของสำนักมารกำเนิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไปถึงระดับปฐมหรือยัง’
เขารออีกสักพักเพื่อให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของไฟหยินใหม่ จากนั้นก็ชักนำปราณขวดสมบัติมารวมตัวกันเพื่อปรับปรุงร่างมารร่วมกับกายเนื้อ
เทียบกับการเรียนรู้ไฟหยินแล้ว กระบวนการนี้ช้ากว่ามาก ราวสองชั่วยามให้หลัง ลู่เซิ่งค่อยฟื้นฟูร่างกายซึ่งเสียหายเพราะการเปลี่ยนแปลงของร่างมารอันเกิดเนื่องจากไฟหยินเสร็จสมบูรณ์
‘เอาล่ะ มาต่อกัน’ เขามองไปยังไฟหยินสีดำอมม่วงในมือต่อ
ความคิดกดบนปุ่มเรียนรู้อีกครั้ง ไม่นานพลังอาวรณ์หกสิบหน่วยก็หายไปในพริบตา
ไฟหยินสีดำอมม่วงค่อยๆ หดตัว ไข่มุกเม็ดเล็กๆ ที่ดำราวหมึกเม็ดหนึ่งผนึกตัวออกมาจากตรงกลาง ผิวของไข่มุกปรากฏสิ่งที่มีหัวเป็นเหยี่ยวร่างเป็นสิงโตสีขาว ทั้งยังมีแปดหัวแปดข้าง
อุณหภูมิของไฟหยินเพิ่มขึ้นอีกขั้นอย่างสมเหตุสมผล อุณหภูมิของเปลวไฟเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้าหนึ่งเท่า
……………………………………….