ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 279 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (9)
บทที่ 279 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (9)
เปรี้ยง!
สันมือของลู่เซิ่งปะทะกับสองหมัดของคนหัวกระทิง ทั้งๆ ที่ไม่ได้สัมผัสกันโดยตรง แต่กลับส่งเสียงดังอึงอลหนักอึ้ง สองฝ่ายถูกกระแทกออกมาพร้อมกัน
“วิชาลับหลอมเมฆา!” ควันสีดำปรากฏขึ้นทั่วร่างลู่เซิ่ง มีเปลวไฟสีขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นด้านหน้าอย่างฉับพลัน โซ่สีขาวเหมือนอักขระยันต์วนเวียนรอบเปลวเพลิง คอยพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย
ตาข้างขวาของคนหัวกระทิงสาดประกายสีแดง กาดำตัวหนึ่งบินออกจากดวงตามาจิกใส่ลู่เซิ่งอย่างดุร้าย
กา!
กาดำยิ่งบินยิ่งตัวใหญ่ขึ้น ปีกสองข้างขยายจากสองสามหมี่ในตอนแรกเป็นเจ็ดแปดหมี่ในพริบตา แทบปกคลุมสายตาของลู่เซิ่งเอาไว้ทั้งหมด ดวงตาเห็นเพียงแค่ขนปีกสีดำเท่านั้น
ไฟสีขาวปะทะกับกาสีดำในพริบตา สองฝ่ายแหลกสลายพร้อมกัน ระเบิดเป็นไฟสีขาวและโคลนสีดำนับไม่ถ้วนกระจายไปสองฟากข้าง
“ไปตายซะเจ้าหนอนแมลง!” คนหัวกะทิงถอยหลังไปหลายก้าว หมายจะดึงระยะห่าง แล้วคว้ากรงเล็บใส่
ทว่าระหว่างที่ไฟสีขาวกับโคลนสีดำระเบิด เงาดำสายหนึ่งก็พุ่งออกมาในชั่วอึดใจ แล้วลากเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่งกลางอากาศ
ฟิ้ว!
เงาดำหลบกรงเล็บ พุ่งลงด้านล่างอย่างแผ่วเบา แล้วกรีดแขนของมนุษย์หัวกะทิงเป็นปากแผลขนาดใหญ่
“เงาอริยะจุติ!” มนุษย์หัวกะทิงเขากวางแผดเสียง โคลนสีดำขนาดใหญ่ไหลออกจากปากแผลบนแขน หมายจะดึงลูเซิ่งเข้าไปเหมือนสิ่งมีชีวิต
ขณะเดียวกันเงามืดด้านในมุมทุกมุมของถ้ำก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิต พร้อมกับม้วนตัวเข้าหาลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
สี่ทิศแปดทางล้วนเป็นเงามืดม้วนเข้ามาเขมือบเขา
ลู่เซิ่งทิ้งสองแขนลงด้านล่าง ปราณมารกำเนิดจำนวนมากไหลออกมา ผนึกตัวเป็นดาบสีดำขนาดยักษ์สองเล่มในมือเขา
ซู่ๆๆ!
ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรสีดำอมม่วงหลายเม็ดลอยวนเวียนรอบคมดาบ เขาไม่หลบหลีก หากพุ่งเข้าใส่มนุษย์หัวกระทิงเขากวางตรงๆ
ประกายดาบสาดแวบ
ฉัวะ!
เสียงหนึ่งดังกังวาน ร่างของมนุษย์หัวกระทิงเขากวางถูกแยกจากบนลงล่างเป็นรอยแผลขนาดยักษ์สายหนึ่ง
เลือดเนื้อสีแดงก่ำในปากแผลขยับยุ่บยั่บพร้อมกับพุ่งเข้าหาลู่เซิ่ง คิดจะดึงเขาเข้าไปด้านในอีกครั้ง
เปรี้ยงๆๆๆๆ!
ในตอนนี้เอง เปลวไฟสีดำสายหนึ่งระเบิดออกจากปากแผล ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรระเบิดจนหมดสิ้น เปลวไฟลามไปบนร่างขนาดมหึมาของมนุษย์หัวกระทิงอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก!” มันร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด เงามืดที่ม้วนอยู่รอบๆ ตัวถดถอยด้วยความเร็วสูง สูญเสียพลังชีวิตไป
ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงบนหินใหญ่ก้อนหนึ่งอย่างแผ่วเบา เงยหน้ามองดูมนุษย์หัวกระทิงเขาเป็นกวางซึ่งกำลังร้องอย่างเจ็บปวดด้วยความประหลาดใจ
ตอนแรกเขาเตรียมจะใช้พลังทั้งหมดเข่นฆ่ากับสิ่งที่ดูเหมือนแข็งแกร่งเบื้องหน้า ทว่าพอใช้ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียร เปลวไฟสีดำอมม่วงชนิดนั้นดูเหมือนรุนแรงขีดสุด เพียงแค่สัมผัสก็เกาะติดบนร่างมนุษย์หัวกระทิง ทั้งยังลุกไหม้แผ่ขยายอย่างบ้าคลั่ง
“นี่เป็นไฟอะไรกันแน่!?” ตอนนี้ร่างของมนุษย์หัวกระทิงถูกเผา มันพลิกตัวกลิ้งไปรอบๆ เพื่อให้แผ่นหินช่วยดับไฟ แต่ก็ไร้ประโยชน์
ไม่นานหลังจากเวลาผ่านไป ร่างของมนุษย์หัวกระทิงก็เริ่มละลายอย่างช้าๆ เลือดเนื้อขนาดใหญ่จำนวนมากที่ถูกเผาจนเกรียมหลุดร่วงลงด้านล่าง กระดูกและกล้ามเนื้อละลายเป็นของเหลวเหมือนกับหินหนืดร้อนลวก แล้วไหลเข้าไปในบริเวณที่เว้าจม
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ คนหัวกระทิงเขากวางขนาดยักษ์ก็หลอมละลายหายไปโดยสิ้นเชิง
‘นี่มัน…!?’ ลู่เซิ่งยังคงอยู่ในสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง ร่างกายสูงสองหมี่เหมือนกับงานศิลป์ที่งดงาม สัดส่วนร่างกายเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ มีเกราะเกล็ดสะอาดบริสุทธิ์เหมือนแผ่นแก้วปกคลุมอยู่ บวกกับหางที่ส่ายไปมาด้านหลัง มองไกลๆ ไม่คล้ายมนุษย์ แต่เหมือนมารชนิดหนึ่งที่เปลี่ยนร่างคล้ายมนุษย์มากกว่า
‘ตามเหตุผลแล้ว ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรเป็นไฟชนิดพิเศษที่พัฒนามาจากไฟหยิน ต่อให้มีอานุภาพแข็งแกร่ง ก็ไม่น่าจะเวอร์ถึงขนาดฆ่าสัตว์ประหลาดที่อย่างน้อยมีพลังมากกว่าระดับสามขั้นบนได้อย่างสบายๆ แบบนี้’ ลู่เซิ่งเดินไปด้านหน้าศพมนุษย์หัวกระทิงเขากวาง ตรวจสอบของเหลวสีแดงร้อนลวกที่ละลายจากศพบนพื้นที่อยู่รอบๆ อย่างละเอียด
‘เป็นเพราะไม่ใช่มารที่ถูกผนึก หรือว่าไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรแข็งแกร่งเกินไปกันแน่’ ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย
หลังจากมนุษย์หัวกระทิงเขากวางตายไป สถานที่ที่ร่างของมันบังไว้ กลับเผยให้เห็นประตูไม้สีขาวไม่ใหญ่ไม่เล็กบานหนึ่ง
บนประตูไม้วาดขั้นบันใดที่ยืดขยายไปยังด้านล่างเอาไว้ เนื่องจากสมจริงถึงขีดสุด ดังนั้นถ้าเผลอไผลนิดเดียว คงจะมองมันเป็นเส้นทางบันไดหินของจริงได้ง่ายๆ
ลู่เซิ่งเดินไปถึงหน้าประตูไม้ ดึงเบาๆ ไม่ขยับ พอลองผลักดู ประตูก็ค่อยๆ เปิดออก
ด้านในเป็นถ้ำขนาดมโหฬารอีกแห่งหนึ่ง
เพียงแต่ว่าตำแหน่งของถ้ำแห่งนี้อยู่ลึกกว่าถ้ำที่มนุษย์หัวกระทิงอยู่ ตำแหน่งที่ประตูไม้เปิดออกอยู่ด้านบนสุดของถ้ำแห่งนี้พอดี
ลู่เซิ่งมองไปด้านใน
ในถ้ำไม่มีมาร มีแต่แท่นบูชาขนาดยักษ์ตั้งอยู่ตรงกลาง ของเซ่นซึ่งเป็นก้อนเนื้อที่กินพื้นที่มากกว่าครึ่งวางอยู่บนแท่นบูชา พวกมันไม่เคยได้รับการดูแลใดๆ เนื้อส่วนหนึ่งถูกลมโกรกจนแห้งและขึ้นรา บางส่วนกลายเป็นสีดำและแห้งไปแล้ว
สิ่งที่ประหลาดก็คือมีไม้แกะสลักรูปมนุษย์หัวกระทิงเขากวางขนาดกะทัดรัดวางอยู่ด้านหน้าของเซ่นบนแท่นบูชา
ตอนนี้ไม้แกะสลักสีน้ำตาลเกิดรอยร้าวมากมายจนใกล้จะแตกแล้ว
‘หรือว่า…ตัวที่เจอเมื่อกี้ไม่ใช่มาร แต่เป็นอมนุษย์ที่เกิดจากการปนเปื้อนปราณมาร’ ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง กระโดดอย่างแผ่วเบาจากปากประตูไปยังด้านในถ้ำใหญ่ถ้ำที่สอง
เพิ่งจะเข้าไป ข้างหูเขาก็คล้ายมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนกระซิบกระซาบพึมพำบางอย่าง
‘สนามพลังปนเปื้อนของมาร…’ เขามีของคล้ายๆ กันอยู่ อสรพิษริษยามีความสามารถนี้ เนื่องจากเป็นวิชาลับที่สร้างขึ้นเลียนแบบมาร ดังนั้นเมื่อเทียบกับเสียงพึมพำมุ่งร้ายข้างหูในเวลานี้ สนามพลังปนเปื้อนเล็กๆ ของลู่เซิ่งจึงอ่อนแอจนน่าสงสาร
ลู่เซิ่งกระโดดลงไปตรงหน้าแท่นบูชา เมื่อเดินไปถึงก็จะไปหยิบไม้แกะสลักรูปมนุษย์หัวกระทิงเขากวาง
แต่เพิ่งจะสัมผัส ไม้แกะสลักก็แหลกสลายไปในพริบตาเดียว แสดงให้เห็นว่าเสียหายโดยสิ้นเชิงแล้ว
‘มิน่าถึงได้อ่อนแอขนาดนี้ เดิมเป็นแค่อมนุษย์ที่กลายพันธุ์เพราะถูกปนเปื้อนนี่เอง’
เขาโยนรูปแกะสลักไม้ทิ้ง สายตาอยู่บนแท่นบูชาตรงหน้า
‘ดูเหมือนแท่นบูชานี้จะเป็นสิ่งที่ใช้ผนึกมารตัวจริง’ เขาสังเกตเห็นว่ามีลวดลายอักขระที่ซับซ้อนนับไม่ถ้วนถูกแกะสลักไว้ด้านข้างขอบแท่นบูชา
ลวดลายอักขระเหล่านี้แทบจะเหมือนกับที่เขาเห็นจากมารในตำหนักวิชาลับ แน่นอนว่าลักษณะลวดลายเหมือนกัน แต่ว่าลวดลายของอักขระตรงนี้มีความซับซ้อนมากกว่าในตำหนักวิชาลับ
ถ้าหากบอกว่าระดับความซับซ้อนในตำหนักวิชาลับคือหนึ่ง เช่นนั้นของที่นี่ก็คือหลายสิบหรือมากกว่าร้อย แสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
ลู่เซิ่งเดินวนรอบแท่นบูชา พบแผ่นศิลาที่จมลงไปในพื้นครึ่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว
แผ่นศิลาห่างจากแท่นบูชาแค่สิบกว่าก้าว ข้างบนเขียนตัวหนังสือที่บิดเบี้ยวน่าประหลาด ลู่เซิ่งไม่เข้าใจเนื้อหาของมัน
ทว่าเมื่อเขาเดินอ้อมไปถึงด้านหลัง กลับพบว่ามีคนใช้ตัวอักษรซ่งโบราณเขียนเนื้อหามากมายจนเต็มด้านหลังแผ่นศิลา
ลู่เซิ่งเข้าไปใกล้เพื่อแยกแยะอย่างละเอียด สิ่งที่เห็นชัดที่สุดในตัวหนังสือเหล่านี้คือมีแถวหนึ่งนูนขึ้นมาน้อยๆ เพื่อบ่งบอกความแตกต่าง
‘แท่นบูชาที่เก้าของหุบเหวมาร ผู้ถูกผนึกคือราชาเงามืดเผ่ามารเงา อันตรายระดับสาม’
นี่เป็นเนื้อหาของตัวหนังสือ
ด้านบนตัวหนังสือแถวนี้มีตัวหนังสือที่คล้ายกัน
‘แท่นบูชาที่สิบของหุบเหวมาร ผู้ถูกผนึกถือราชาเมฆดำเผ่ามารจันทรา อันตรายระดับสี่’
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว อ่านไปด้านล่างต่อ
‘แท่นบูชาที่แปดของหุบเหวมาร ผู้ถูกผนึกถือราชาแห่งความโกลาหลเผ่ามารโกลาหล อันตรายระดับสอง’
‘แท่นบูชาที่เจ็ดของหุบเหวมาร ผู้ถูกผนึกคือราชาน้ำแข็งเผ่ามารโกลาหล อันตรายระดับหนึ่ง ระวัง’
ด้านล่างคืออันดับหก อันดับห้า อันดับสี่ อันดับสาม อันดับสองและอันดับหนึ่งต่อจากนั้นก็ว่างเปล่าและพร่าเลือน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่มีผู้ถูกผนึก หรือเพราะเวลาผ่านไปนานเกินไป ตัวหนังสือถึงเลือนไป
‘ด้านหลังตัวหนังสือด้านบนไม่มีคำว่าระวัง หมายความว่ายิ่งอยู่อันดับล่างๆ อันดับยิ่งน้อย มารที่ถูกผนึกก็ยิ่งแข็งแกร่ง’ ลู่เซิ่งคาดเดา พออ่านเนื้อหาบนแผ่นศิลาจบ เขาก็เดินเตร่อยู่ในถ้ำอีกหลายรอบ แต่ไม่พบร่องรอยอะไรอีก
เพียงแต่เสียงพึมพำมุ่งร้ายในอากาศทำให้เขาหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ต่อให้เขาสำเร็จร่างมาร มีสนามพลังคล้ายกัน ทั้งมีความต้านทานสูงยิ่ง แต่สุดท้ายการที่มีคนพึมพำอยู่ข้างหูก็ทำให้คนอึดอัดถึงขีดสุดอยู่ดี
‘ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทิ้งตราผนึกนี้เอาไว้ หรือจะเป็นผู้ถืออาวุธในยุคต้าซ่งโบราณ’ ลู่เซิ่งกลับมาถึงหน้าแท่นบูชาอีกรอบ
‘ช่างเถอะ กลับก่อนดีกว่า ภายหลังค่อยปิดผนึกที่นี่ ไม่ให้คนอื่นทะเล่อทะล่าเข้ามา’ ในเมื่อไม่พบอะไรอีก ลู่เซิ่งก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน
เขาหมุนตัวจะกลับไปหาประตูใหญ่เมื่อก่อนหน้านี้
แกร๊ก…
อยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงแตกร้าวเบาๆ
‘อะไร…?’ ลู่เซิ่งชะงักเท้า แล้วหมุนตัวมองไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
เห็นมุมหนึ่งบนแท่นบูชาไม่รู้ว่าแตกเป็นช่องตั้งแต่ตอนไหน
ด้านในช่องมืดสนิท ปราณมารเข้มข้นจำนวนมากทะลักล้น หนำซ้ำยังเป็นปราณมารเข้มข้นที่เหมือนกับธารหมอกพิษถึงขีดสุด
‘นี่คือ…’ ในที่สุดลู่เซิ่งก็รู้แล้วว่ากลิ่นหอมหวนยั่วยวนที่รู้สึกได้ถึง เมื่อก่อนหน้านี้มาจากที่ไหนกันแน่
‘มาเถอะ…มาเถอะ…แก่นมารบริสุทธิ์ขนาดนี้…หากออกจากที่นี่ จะไม่เจอที่ไหนอีกแล้ว…’ เสียงที่ชั่วร้ายหากอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูลู่เซิ่ง
เสียงนั้นซ่อนอยู่ในเสียงพึมพำนับไม่ถ้วน ไม่ชัดเจนแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็ไม่พบความผิดปกติ
‘ปราณมารที่เข้มข้นบริสุทธิ์ขนาดนี้…ดูดซับที่นี่หนึ่งวัน อย่างน้อยก็เท่ากับดูดซับด้านนอกครึ่งเดือน!’ ความปรารถนาที่รุนแรงสุดขีดบังเกิดในใจ ลู่เซิ่งขาดปราณมารจำนวนมากที่ใช้ปรับปรุงร่างมารอยู่พอดี ตอนนี้เห็นปราณมารที่มีความบริสุทธิ์สูงจำนวนมากตรงช่องว่าง ก็เริ่มหวั่นไหว
ในพื้นที่ปิดตายอันมืดมิด ณ ส่วนลึกของแท่นบูชา ใบหน้าคนที่ซีดขาวไร้สีเลือดแม้แต่น้อยกำลังเพ่งมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านนอกอย่างละโมบผ่านแท่นบูชา
ใช้ปราณมารล่อลวงให้ผู้มาจากภายนอกกลืนกินปราณมารมหาศาล ให้อีกฝ่ายถูกปนเปื้อนจนร่างกายและจิตใจค่อยๆ หลงทาง และเกิดภาพหลอนว่าถูกละลาย จากนั้นก็หลอมรวมอีกฝ่ายเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพลังของตน
นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้ขยายช่องแตกบนแท่นพิธีของเขา ราชาเงามืด
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าวๆ แล้วนั่งขัดสมาธิลงตรงช่องว่างบนแท่นบูชา
ซู่
ปราณมารนับไม่ถ้วนลอยวนเวียน เขาสูดพวกมันเข้าจมูกด้วยความเร็วสูงสุด
‘เอ๋? ความเร็วใช้ได้ กายเนื้อถึงกับทนการดูดซับด้วยความเร็วขนาดนี้ได้…กลิ่นอายบนร่าง…น่าจะเป็นมนุษย์บริสุทธิ์’ ราชาเงามืดในแท่นบูชาประหลาดใจเล็กน้อย ‘มนุษย์ในตอนนี้มีกายเนื้อประหลาดแบบนี้หรือ น่าสนใจ’
ผ่านไปครึ่งก้านธูป
อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็หยุดการดูดซับปราณมาร ก่อนจะลุกขึ้น
‘เขาจะทำอะไร คิดจะไปหรือ คงไม่ใช่ แก่นมารของข้ามีพลังล่อลวงที่รุนแรงมาก และข้าก็ไม่รู้สึกถึงการตอบสนองทางจิตใจที่ขัดขืนด้วย’ ราชาเงามืดสังเกตต่อด้วยความสงสัย
จากนั้นเขาก็เห็นลู่เซิ่งเดินมาข้างช่องว่างบนแท่นบูชา แล้วซุกศีรษะเข้ามาในช่อง
ก่อนจะอ้าปาก
……………………………………….