ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 281 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (11)
บทที่ 281 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (11)
ข้อดีหลังจากได้ร่างขนาดมหึมานี้มาก็คือ ลู่เซิ่งดูดซับแก่นมารในแท่นบูชาจนหมดได้ในครั้งเดียว ขนาดร่างของเขาขยายขึ้นจนสูงสิบหมี่แล้ว
แก่นมารจำนวนมากถูกไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรเผากลายเป็นปราณมารกำเนิดที่บริสุทธิ์ที่สุด คอยหล่อเลี้ยงร่างกายของลู่เซิ่งทุกส่วน
เขาสัมผัสได้ว่าตนเองกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ว่าแข็งแกร่งขนาดไหน เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
มีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากว่า ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรจะเป็นพลังงานระดับปฐม และร่างมารทั้งแปดที่สำเร็จโดยใช้มันเป็นพื้นฐาน ย่อมมีอานุภาพน่ากลัวยิ่งกว่า
ตอนแรกลู่เซิ่งเป็นผู้เข้มแข็งระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเหนือกว่าสามขั้นบน หลังจากไฟหยินยกระดับกลายเป็นไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งถึงขีดสุด
บวกกับตอนนี้กลืนกินแก่นมารของราชาเงามืดไปเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าแก่นมารของราชาเงามืดจะแห้งเหือด เหลืออยู่ไม่มาก เพราะถูกผนึกมานาน แต่นั่นก็เป็นแก่นมารของราชามารระดับผู้ถืออาวุธ อย่างน้อยเป็นปริมาณห้าส่วนของสภาพสูงสุดของเขา
แก่นมารที่มีปริมาณมหาศาลแบบนี้ ถูกลู่เซิ่งกลืนกินดูดซับทั้งหมดในรวดเดียว
สิ่งที่ทำให้คนหมดคำพูดมากที่สุดก็คือ ตอนแรก ลู่เซิ่งจะต้องตัวระเบิดตายเพราะแก่นมารที่มากเกินไป แล้วตกเป็นสารอาหารของราชาเงามืด แล้วช่วยให้เขาลดระยะเวลาหลุดจากการถูกจองจำ
ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือลู่เซิ่งมีดีปบลู
ในตอนที่ใกล้จะทนไม่ไหว ลู่เซิ่งก็ใช้ดีปบลูเรียนรู้ระดับขอบเขตใหม่ของวิถีแปดมารสูงสุดในทันที
ดังนั้นกายเนื้อจึงได้รับการเพิ่มระดับอย่างใหญ่หลวง แม้จะใช้พลังอาวรณ์ไปสองร้อยกว่าจุด แต่ก็หลีกเลี่ยงชะตาชีวิตตัวระเบิดตายไปได้ เลยกลายเป็นบทสรุปที่ดูดซับแก่นมารของราชาเงามืดจนแห้งเหือด
หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติติดต่อกันสองครั้ง ในที่สุดกายเนื้อของลู่เซิ่งก็เลื่อนไปถึงอีกระดับ ไปถึงในระดับที่มั่นคง น่าอัศจรรย์ชนิดที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจได้
ปราณมารกำเนิดนับไม่ถ้วน เริ่มควบแน่นพร้อมกับไหลอย่างเชื่องช้าอยู่ในร่างกายของเขาไปตามเครือข่ายอันลึกลับ สิ่งที่น่าพิศวงก็คือผิวหนังและกายเนื้อทุกๆ มัดของเขา รวบรวมการผสานปราณมารกำเนิดสามสิบกว่ารูปแบบที่แตกต่างกันเอาไว้
ปราณมารกำเนิดผสานเข้ากับเลือดเนื้อ กลายเป็นสภาพสมดุลที่ลี้ลับและแข็งแกร่งถึงขีดสุด
‘ในเมื่อไม่มีแก่นมารแล้ว…อย่างนั้นก็กลับไปก่อน’ มาถึงตอนนี้เขามีความคิดจะจากไปแล้ว
ที่นี่ได้เจออมนุษย์ แท่นบูชา และปราณมารติดต่อกัน ถ้าหากมีพลังอาวรณ์ด้วย จะต้องเป็นสถานที่ที่ดีในการยกระดับตัวเองแน่ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งใช้พลังอาวรณ์ไปจนเกือบหมดแล้ว
หลังจากยกระดับวิถีแปดมารสูงสุดอีกระดับหนึ่ง ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นวิชาลับหรือมรรคายุทธ์ก็ล้วนอยู่ในขั้นที่ไม่มีอะไรต้องฝึกฝนแล้ว
ถ้าหากไม่ใช่ว่าดูดซับปราณมารที่มากพอได้จากตรงนี้ เขาคงจะต้องใช้เวลาอีกมากกว่าครึ่งปี จึงจะรวบรวมปราณมารสำหรับใช้ปรับปรุงร่างมารทุกร่างจนครบ
ร่างของลู่เซิ่งหดเหลือเท่าเดิม เขากวาดตามองรอบๆ เสียงพึมพำมุ่งร้ายนั้นหายไปแล้ว เหมือนกับแรงผลักดันขาดลงตามการหายไปของปราณมาร
หลังจากแท่นบูชาถูกรื้อออก ก็เห็นประตูหินบานหนึ่งบนพื้นด้านหลังได้รำไร ปราณมารเบาบางหลายสายไหลออกมาจากประตูหิน
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว เข้าไปก้มดู
ประตูหินกว้างเท่าคนสองคน บนบานประตูเต็มไปด้วยรอยแตกมากมาย รอยแตกทั้งสองฟากเป็นสัญลักษณ์บิดเบี้ยวเล็กละเอียดจำนวนมาก สัญลักษณ์เชื่อมต่อกันเป็นดวงตาขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง เหมือนกับกำลังจ้องมองทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูหิน
สิ่งที่ประหลาดที่สุดก็คือ ประตูหินบานนี้หันไปทางยอดถ้ำ
ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย ย่อตัวนั่งลง ยื่นมือไปลูบประตูหินอย่างแผ่วเบา แล้วดูดปราณมารมาสายหนึ่ง
‘หือ? ปราณมารนี้…พิลึกอยู่บ้าง’
แม้ปราณมารที่ซึมออกมาจากด้านล่างประตูหินจะเทียบกับปริมาณในแท่นบูชาไม่ได้ แต่ก็เข้มข้นยิ่งกว่าน้ำในธารหมอกพิษทั่วไป
หนำซ้ำมันยังมีความแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ดูดซับไปก่อนหน้านี้ คล้ายกับว่าปราณมารชนิดนี้อ่อนโยนและล้ำลึกกว่า
โฮก…
ได้ยินเสียงคำรามที่อธิบายไม่ได้ดังมาจากข้างใต้ประตูหินอย่างเลือนราง คล้ายกับด้านล่างมีบางอย่างถูกขังไว้และต้องการจะออกมา
‘ด้านล่างนี้น่าจะเป็นผนึกที่แข็งแกร่งกว่าชั้นถัดไป เพียงแต่เสียงคำรามนี้คืออะไร ดูจากการเปลี่ยนแปลงของแท่นบูชาก่อนหน้านี้ มารในผนึกไม่น่าจะทำลายแท่นบูชาออกมาได้ถึงจะถูก…’ ลู่เซิ่งกดมือลงบนประตูเบาๆ ลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงโคจรตาข่ายโลหิตอย่างช้าๆ ดูดประตูหินติดไว้ แล้วยกขึ้นด้านบน
แกร่ก
ประตูหินสีขาวอมเทาค่อยๆ ถูกดึงออก เผยให้เห็นพื้นที่อันเย็นเยียบและมืดมิดข้างใต้
ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงกระโดดเข้าไปในประตูหินอย่างแผ่วเบา แล้วหล่นตุบลงบนพื้นด้านใน
ทว่าภาพที่ได้เห็นถัดจากนั้นกลับทำให้ม่านตาของเขาหดตัว
ด้านล่างยังคงเป็นถ้ำขนาดมหึมาเหมือนเดิม มีแท่นบูชาแบบก่อนหน้านี้ ทว่ามีขนาดใหญ่กว่าอยู่ตรงกลาง
กระนั้นสิ่งที่แตกต่างก็คือ แท่นบูชานั้นแตกออกแล้วโดยสมบูรณ์
กลิ่นอายเน่าเปื่อยที่ยังคงเหลือมาเนิ่นนานลอยอยู่ในอากาศ บนพื้นถ้ำขนาดใหญ่โตเต็มไปด้วยเศษของแท่นบูชาและเสื้อผ้ามนุษย์ส่วนหนึ่ง ยังมีกระดูกสีขาวกองพะเนินอยู่ที่มุมหนึ่งด้วย
กองกระดูกไม่สะดุดตา มองไปดูเป็นธรรมชาติเหมือนกับของจิปะถะในบ้านคนทั่วไป
ลู่เซิ่งอาศัยแสงอ่อนๆ จากถ้ำด้านบน พิจารณาดูรอบๆ บนผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยรอยข่วนลึกและใหญ่โต เหมือนมีสัตว์ยักษ์ดุร้ายบางชนิดเคยดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนี้
‘ที่นี่…แท่นบูชาพังไปนานแล้วเหรอ’ สีหน้าของเขาเคร่งขรึม แท่นบูชาพังทลายไปแล้ว หมายความว่ามารในผนึกจะต้องหนีออกมา
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกฉงนก็คือ มารที่หลบหนีออกมา ไม่แตะต้องสำนักมารกำเนิดเลยแม้แต่น้อย ถูกผนึกมาตั้งหลายปี มารยินยอมหนีจากไปเงียบๆ แบบนี้หรือ
ลู่เซิ่งงุนงง เพิ่มความระมัดระวังขณะเดินไปหาแท่นบูชา
ซ่า…
ทันใดนั้นเสียงเสียดสีเหมือนเสียงทรายไหลก็ค่อยๆ ดังมาจากด้านข้าง
ลู่เซิ่งหันไปมอง เห็นสัตว์ประหลาดร่างคนสองตนสูงสองหมี่ ซึ่งทั่วร่างเกิดจากการที่ตะกอนเลื่อนไหลมาประกอบกัน กำลังเดินมาหาตนอย่างช้าๆ
‘ปราณมารเข้มข้นไม่มาก อมนุษย์ที่เกิดขึ้นหลังถูกปนเปื้อนหรือ’ ลู่เซิ่งไม่ชายตามองมนุษย์ตะกอนสองตนนั้น ตาข่ายโลหิตขยับเล็กน้อย
ตึงๆ!
เกิดเสียงดังกังวาน มนุษย์ตะกอนสองตนสลายตัวไปในชั่วกะพริบตา กลายเป็นตะกอนสีน้ำตาล
ตาข่ายโลหิตเป็นกระบวนท่าอันเหี้ยมหาญ ที่เกิดจากการฝึกฝนมรรคายุทธ์ในช่วงเริ่มต้น ยิ่งใช้ก็ยิ่งคล่องแคล่วราบรื่น ตอนนี้หลังจากผสานกับความสามารถของสนามพลังด้านลบไม่น้อยในวิถีแปดมารสูงสุด ตาข่ายโลหิตเพิ่งโผล่ออกมา ตัวตนที่ไม่ได้อยู่ในระดับอสรพิษก็ไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติพูดคุยกับลู่เซิ่งด้วยซ้ำ
ฆ่าในเสี้ยววินาที
ลู่เซิ่งเดินข้ามตะกอนสองกองไปถึงหน้าแท่นบูชา
เขายื่นมืออกไปลูบไล้ช่องว่างด้านหน้าแท่นบูชา ตรงนั้นมีช่องแตกที่เหมือนถูกดาบใหญ่ฟาดจนแหลก
‘เป็นผนึกที่โดนพลังจากภายนอกทำลาย…’ เขานิ่วหน้าเล็กน้อย
พรึ่บ!
เปลวไฟสีแดงลุกไหม้บนมือของเขา ส่องสว่างถ้ำที่สับสนไม่เป็นระเบียบรอบๆ
ลู่เซิ่งใช้ปราณภายในรักษาแสงไฟเอาไว้ พลางเริ่มเดินตรวจสอบในถ้ำอย่างช้าๆ
ไม่ทันไร เขาก็มองเห็นศพที่ยังมีเสื้อผ้าส่วนหนึ่ง และไม่ได้เน่าเปื่อยจนหมดตรงมุมหนึ่ง
เดินเข้าไปใช้เท้าเขี่ยดู พบสิ่งของที่ยังพอสวมได้ชิ้นหนึ่ง จึงถือโอกาสถอดออกมา
ในตอนที่เขาดึงเสื้อผ้าขึ้นจากพื้น ศพก็ขยับ น้ำเต้าโลหะขนาดจิ๋วกลิ้งออกมาจากด้านใน มันมีขนาดราวครึ่งกำปั้น
“นี่คืออะไร…” ลู่เซิ่งกวักมือใส่อากาศ น้ำเต้าพลันลอยเข้าหามือเขาโดยอัตโนมัติ
พลังอาวรณ์ที่บริสุทธิ์สายหนึ่งพลันไหลออกมาจากน้ำเต้า
‘มีพลังอาวรณ์ด้วยเหรอเนี่ย… ยี่สิบกว่าหน่วย ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่’ ลู่เซิ่งดูดพลังอาวรณ์เสร็จ ก็ทิ้งน้ำเต้าไปด้านข้าง
เขากำลังขาดสิ่งนี้พอดี หลังทิ้งน้ำเต้าไป ลู่เซิ่งก็เดินไปยังมุมที่มีศพร่างที่สอง
ครั้งนี้เขาเจอพู่กันทำจากโลหะแท่งหนึ่ง นอกจากปลายพู่กันจะแหลกสลายกลายเป็นผงจนใช้ไม่ได้อีกแล้ว พู่กันเหล็กนี้ก็มอบพลังอาวรณ์ให้ลู่เซิ่งสิบกว่าหน่วย
‘น่าสนใจ…’ ลู่เซิ่งตื่นเต้น พลิกศพบนพื้นต่อ ในถ้ำแห่งนี้ศพกองสุมพิงอยู่มุมผนัง ยังมีศพที่พลิกดูได้อีกมาก
โฮก!
ในตอนนี้เอง เสียงคำรามเหมือนสิงโตพลันดังขึ้น เงาสีดำพร่ามัวสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงกลางถ้ำ
‘ในเมื่อลงมาแล้ว ก็ถือโอกาสตรวจสอบเลยดีกว่าว่า มีพลังอาวรณ์เยอะกว่านี้มั้ย จากนั้นก็จัดการอมนุษย์ของที่นี่ไปด้วย เพื่อสร้างรากฐานที่ดีให้สำนักมารกำเนิดที่อยู่ด้านบน’ ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงเดินไปตามเสียง
การยกระดับวิถีแปดมารสูงสุดหนึ่งครั้ง ต้องใช้พลังอาวรณ์สองร้อยกว่าหน่วย พลังอาวรณ์ของเขาในตอนนี้สิ้นเปลืองกว่าก่อนหน้ามาก
สำหรับลู่เซิ่งแล้ว พลังอาวรณ์สิบหน่วยยี่สิบหน่วยเป็นแค่เนื้อที่มีแมลงวันตอม เขาต้องการพลังอาวรณ์มากกว่านี้อย่างเร่งด่วน มาเตรียมยกระดับร่างมารในภายหลัง และที่นี่แค่มองดูก็รู้ว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะมีสิ่งของลึกลับที่มีพลังอาวรณ์อยู่มาก
ฟิ้ว!
อยู่ๆ ก็มีแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แล้วกระแทกใส่ทรวงอกของลู่เซิ่งพอดี
กระแทกใส่ทรวงอกของเขาอย่างแม่นยำ หลังจากแสงสีเขียวก็เป็นเสียงกัดกร่อนอันรุนแรง ลู่เซิ่งรู้สึกหน้าอกปวดแปลบ
ตอนนี้เขาเป็นแค่สภาพหยินโชติช่วง ขนาดร่างกายเล็กที่สุด แถมการป้องกันของร่างกายก็อ่อนแอที่สุดเช่นกัน พอถูกโจมตี ลู่เซิ่งก้มหน้ากวาดมองผิวหนังที่โดนกระแทก ตรงนั้นเกิดร่องรอยกลายเป็นหินสีขาวอมเทาอย่างรำไร
‘ใช้วิชาลับมารกำเนิดขจัดได้พอดี แถมยังกลืนกินปราณมารกำเนิดได้ไม่น้อยในกระบวนการขจัดได้อีก’ เขาเงยหน้ามองทิศทางที่แสงสีเขียวพุ่งมา หมาป่ายักษ์สีขาวที่ยืนสองขาตัวหนึ่งเดินออกมาจากในความมืดมิดตรงนั้น
หมาป่ายักษ์ตาแดงฉาน มีอักขระลวดลายในรูปแบบครึ่งวงกลมติดอยู่บนหน้าผาก ปากกะพริบแสงสีเขียว
กรรซ์…
ความสูงสองหมี่ของหมาป่ายักษ์อยู่ในระดับความสูงเดียวกับลู่เซิ่งพอดี มันส่งเสียงคำรามราวข่มขู่อย่างต่อเนื่อง
“สายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน…” ลู่เซิ่งพึมพำ ตบฝุ่นบนมือ ก่อนจะเดินไปหาอีกฝ่าย
กรรซ์…
หมาป่ายักษ์พุ่งขึ้นมาข้างหน้า โบกกรงเล็บพร้อมอ้าปากขย้ำ การเคลื่อนไหวทั้งสามครั้ง เชื่อมต่อกันไม่มีสะดุด เกิดพลังระเบิดอันน่าตกตะลึง
ทว่าแม้มันจะเร็ว ลู่เซิ่งกลับเร็วกว่า
แขนขวาของเขาดีดออกไปดุจสายฟ้าแลบ กระแทกใส่สัญลักษณ์ลี้ลับบนหน้าผากของมันอย่างแม่นยำ
เปรี้ยง!
มือกับศีรษะหมาป่าปะทะกันอย่างรุนแรง ผงสีขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมา ประกายตาของหมาป่ามืดสลัวลง แล้วค่อยๆ แตกซ่านหายไปเพราะพลังเจาะทะลวง
เปลวไฟสีดำอมม่วงกลุ่มหนึ่งลุกไหม้บนตัวหมาป่ายักษ์ในทันที ส่องสว่างอาณาเขตเล็กๆ อันมืดมิดที่อยู่รอบๆ
‘มีปริมาณขนาดนี้เลยหรือ’ ลู่เซิ่งพลันงุนงงเล็กน้อย รู้สึกได้ว่ามีปราณมารชนิดพิเศษที่บริสุทธิ์สุดขีดสายหนึ่งไหลเข้ามาในร่าง
ปราณมารสายนี้มีปริมาณเหนือกว่าที่เขาคาดไว้ไม่น้อย เกือบเป็นหนึ่งในร้อยส่วนของปริมาณในร่างกายเขา ณ เวลานี้
‘ทำไมถึงเยอะขนาดนี้ล่ะ’
เขาทิ้งศพหมาป่ายักษ์ไว้ ปล่อยให้มันกลายเป็นผงสีดำกองหนึ่ง
……………………………………….