ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 283 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (13)
บทที่ 283 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (13)
เมืองพันนาวา
“รีบเร็วๆ!”
หวงฟู่นำกลุ่มยอดฝีมือสำนักระดับสุดยอดที่คัดเลือกมาอย่างถี่ถ้วน พุ่งตะบึงไปบนถนนในเมือง
ในเมืองสับสนอลหม่าน ฝูงชนกระจัดกระจาย เสียงร้องโหยหวนและเสียงร่ำไห้ดังมาไม่หยุด ทุกที่เห็นเพียงพื้นแยกออกช้าๆ แขนที่มีเกราะเกล็ดสีดำสนิทส่วนหนึ่งงอกอยู่ค่อยๆ ยื่นออกมา เกิดว่ามีคนเข้าใกล้รอยแตก ก็จะถูกแขนที่ยืดออกมาเหล่านี้ลากลงไปในพริบตาเดียว
ครืน…
หอคอยสีขาวค่อยๆ หักลง ร่วงตกลงมา ฟาดใส่พวกหวงฟู่ที่กำลังวิ่งตะบึงอย่างรุนแรง
ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะยอดฝีมือ รีบกระโดดหลบหอคอยที่ร่วงลงมา
หอคอยฟาดใส่เขตถนนอย่างกึกก้อง ร้านค้ายี่สิบกว่าร้านบนถนนสองฟาก พังทลายลงเพราะกรวดหินระเบิดใส่ คนส่วนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่สิ้นสติไปเพราะเสียงอึงอล
พื้นที่ปูด้วยแผ่นหินปูนอันแข็งแกร่งถูกกระแทกเป็นร่องยาวหลายสิบหมี่
“ยังติดต่อเจ้าสำนักแต่ละสำนักไม่ได้อีกหรือ” หวงฟู่ตะโกนถามศิษย์น้องที่อยู่ข้างๆ
“ยัง! ยังขอรับ! ไม่มีการตอบกลับเลย เจ้าสำนักแต่ละสำนักเข้าร่วมงานชุมนุมย่อยถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราว ทางด้านเรือนใหญ่เปิดค่ายกล ไม่สามารถส่งข่าวใดๆ เข้าไปได้!” ศิษย์น้องตอบอย่างโศกเศร้าและโกรธแค้น ศิษย์น้องสิบกว่าคนของเขาตายไปเพราะทัพใหญ่ของเผ่ามาร
ทว่าจนถึงตอนนี้ เจ้าสำนักที่มีพลังต่อสู้สูงสุดจากแต่ละสำนักยังคงไม่โผล่มา
แม้แต่หวงฟู่ศิษย์พี่ใหญ่แห่งเรือนสุดประจิมก็ส่งข่าวเข้าไปไม่ได้
กรี๊ด!
อยู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้อนปานหัวใจจะฉีกขาดดังมาจากทิศเหนือ คนธรรมดาไม่มีทางส่งเสียงกรีดร้องที่ทั้งประหลาดและทอดยาวแบบนี้ได้
“รีบไป! เขตเหนือใกล้จะไม่ไหวแล้ว!” หวงฟู่ร้อนใจ เนื่องจากต่อสู้กับกองทัพเผ่ามารมานาน เขาจึงรู้แล้วว่านี่เป็นเสียงอะไร
ก่อนหน้านี้หลังจากค่ายกลของจิตรกรแห่งตระกูลซั่งหยางพังทลายลง กองทัพมารก็บุกเข้ามา กลุ่มจิตรกรกับตุลาการที่ปักหลักอยู่ ลงมือสู้ศึกกับทัพมารพร้อมกัน พวกเขาอาสาเข้าร่วมด้วย โดยนำกลุ่มคนหัวกะทิออกไปเข่นฆ่ามาร
ทว่ามารมีจำนวนมากเกินไปจนฆ่าไม่หมดไม่สิ้น พลังเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นมารระดับพันธนาการ ศิษย์ทั่วไปสู้ไม่ได้ มีแค่ผู้เก่งกาจที่อยู่รวมตัวกันถึงจะจัดการได้อย่างรวดเร็ว
และเหนือมารยังมีผู้บัญชาการมณฑลทหารแห่งทัพมารที่พูดภาษาคนได้ กับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งซึ่งมีรูปร่างแปลกประหลาดมากมาย เหนือขึ้นไปจึงเป็นแม่ทัพมาร แม่ทัพมารแบ่งออกเป็นห้าดาว แม่ทัพมารหนึ่งดาวคือระดับอสรพิษ ส่วนห้าดาวที่สูงที่สุดมีแค่ระดับสามขั้นบนของตระกูลขุนนางที่สู้ได้
ทัพมารหลายสิบหมื่นบุกเมืองไม่ขาดสาย เมืองพันนาวากลายเป็นเตาหลอมเลือดเนื้อ ซึ่งผสมเลือดเนื้อของยอดฝีมือในสำนักกับตระกูลขุนนางรวมกับเลือดเนื้อของทัพมาร ก่อนจะบดขยี้จนแหลกเละ
และซั่งหยางจวินซึ่งเป็นตุลาการที่แข็งแกร่งที่สุด ก็กำลังเข่นฆ่ากับแม่ทัพมารห้าดาวอยู่ตรงกลางเมือง
พวกหวงฟู่รีบร้อนมุ่งหน้าไปยังเขตเหนือ เขตเหนือทั้งเขตเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ซากอาคารจำนวนมากกองกันเป็นภูเขาลูกย่อมๆ แปดเปื้อนไปด้วยเลือดเนื้อ
บางแห่งยังเห็นยอดฝีมือต่อสู้กับทัพมารสุดชีวิตได้ตลอดเวลา แต่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
มารร่างมนุษย์สูงใหญ่ที่มีเขาหนึ่งเขาบนศีรษะ ร่างเป็นสีดำสนิทจำนวนมากยืนงอไหล่ ถือกระบองเขี้ยวหมาป่าสีดำโจมตีใส่มนุษย์ทุกคนที่เห็นอย่างบ้าคลั่ง
พวกหวงฟู่พุ่งปราดเข้าไปช่วยเหลือยอดฝีมือของสำนักที่อยู่ที่นี่
จดหมายขอความช่วยเหลือจำนวนมากถูกส่งจากเมืองพันนาวาไปรอบๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย สำนักและตระกูลขุนนางทั้งหมดได้รับจดหมายบ้างช้าบ้างเร็ว แต่เจ้าสำนักของสำนักที่อยู่ใกล้ถูกขังไว้ในค่ายกลเรือนสุดประจิม และน้ำไกลก็ไม่อาจช่วยดับไฟใกล้ ขุมกำลังทั้งหมดอยู่ในสุญญากาศอันน่าแปลกประหลาด ได้แต่มองดูเมืองพันนาวาติดอยู่ในไฟสงคราม
นอกเมือง กลุ่มสี่ทัพใหญ่ของสำนัก กำลังต่อสู้พัวพันกับทัพมารอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับเครื่องบดเนื้อ
กลางอากาศ แสงรุ้งหลายสายปะทะกับควันสีดำหลายสายอย่างดุเดือด
ตูม!
สัตว์ประหลาดขนาดมหึมาที่ตัวใหญ่สูงถึงสิบหมี่ตัวหนึ่งผุดขึ้นมาจากพื้นดินพร้อมคำรามอย่างบ้าคลั่ง มันที่สวมเกราะรบซึ่งมีสัญลักษณ์ของอาวุธเทพสีขาวเงินพุ่งใส่ทัพมาร
สัตว์ประหลาดเหล่านี้มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนช้างเหมิงหม่า (แมมมอธ) แต่มีหางหยาบใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกมันเป็นสัตว์ยักษ์สงครามที่ตระกูลซั่งหยางเลี้ยงมาหลายปี
เหมิงหม่าห้าตัวผุดขึ้นจากดิน แล้วพุ่งใส่ทัพมารสีดำร่างเตี้ยเล็ก
ทว่าก็มีสัตว์ประหลาดร่างใหญ่โตที่มีศีรษะหลายข้างและปีกสี่ข้างโฉบลงมา สัตว์ประหลาดเหล่านี้มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเหยี่ยวยักษ์สีดำ ทว่าบนศีรษะมีดวงตาสีเขียวมรกตสี่ดวง ขนทั่วร่างแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน เหนือกว่าเหล็กกล้า
นี่เป็นสัตว์ยักษ์สงครามที่ทัพมารใช้งาน สัตว์ยักษ์สองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรง ส่งเสียงคำรามที่กึกก้องน่ากลัว
ด้านหลังสัตว์ยักษ์ เงาคนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเข่นฆ่ากับสัตว์ประหลาดในทัพมาร เสียงตะโกนฆ่า เสียงคราวญคราง เสียงตวาดด้วยความโกรธแค้น ผสมเข้าด้วยกัน
…
สำนักมารกำเนิด ส่วนลึกใต้ดิน
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นในผนึกอันมืดมิด เงาร่างดำมืดพร่ามัวของมารหยินหลายตัวเดินเตร่ไปมาในสภาพแวดล้อมที่มืดทะมึนรอบๆ คอยขับไล่ภัยคุกคามทั้งหมดที่อาจเข้าใกล้
ปราณมารจำนวนมากในอากาศถูกกลืนกินดูดซับเข้าไปในร่างลู่เซิ่ง รักษาการเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระของมารหยิน
ตอนนี้เขากำลังรวบรวมสมาธิเพ่งมองวิถีแปดมารสูงสุดบนดีปบลู พลังอาวรณ์ที่ได้มาหกร้อยกว่าหน่วย บวกกับที่ดูดซับไว้ก่อนหน้า กลายเป็นเจ็ดร้อยกว่าหน่วย
พลังอาวรณ์มากมายขนาดนี้ หากไม่ใช้ยกระดับร่างมารก็คงจะเสียเปล่า บังเอิญที่ตรงนี้มีปราณมารเต็มเปี่ยม ฝึกฝนหนึ่งวันเท่ากับฝึกฝนอยู่ด้านนอกครึ่งเดือน
กดความคิดบนปุ่มปรับเปลี่ยนอยางคุ้นเคย อินเตอร์เฟซของดีปบลูสั่นทีหนึ่ง แล้วกลายเป็นโหมดปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งหากรอบของวิถีแปดมารสูงสุดอย่างชำนาญ ด้านหลังปรากฏปุ่มเรียนรู้อย่างที่คิดไว้
‘ครั้งก่อนต้องการพลังอาวรณ์สองร้อยกว่าหน่วยในครั้งเดียว การยกระดับครั้งนี้อาจจะมีเงื่อนไขมากกว่าเดิม’ เขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว พลังอาวรณ์เจ็ดร้อยกว่าหน่วยดูเหมือนจะเยอะ ทว่าอย่างมากสุดอาจจะยกระดับวิถีแปดมารสูงสุดได้แค่หนึ่งหรือสองครั้ง
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก ปรับทุกสิ่งให้มั่นคง แล้วหลับตาลง ใช้ความคิดกดบนปุ่มเรียนรู้เบาๆ
ซู่…
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ เครื่องมือปรับเปลี่ยนเลือนรางอย่างรวดเร็ว
หนึ่งอึดใจ…
สองอึดใจ..
สิบอึดใจ…
ร้อยอึดใจ…
ปราณมารสีดำนับไม่ถ้วนหดตัวด้วยความเร็วสูงพลางไหลเข้าหาร่างของลู่เซิ่ง
ปราณมารทั่วร่างเขาพลิกตัวอย่างรุนแรง จากนั้นหดตัวกลายเป็นของเหลวสีดำหลายหยดอย่างช้าๆ แล้วหลอมรวมเข้ากับเลือดในเส้นเลือดข้างในร่างกาย พร้อมกับไหลไปทั่วร่าง
แต่ว่าปราณมารแตกต่างจากสิ่งอื่นๆ มันมีคุณสมบัติกัดกร่อนรุนแรงถึงขีดสุด ยิ่งไปกว่านั้นปราณมารเหลวสีดำอมม่วง ที่เกิดจากการผนึกตัวของปราณมารสีดำอมม่วงในตอนนี้ของลู่เซิ่ง ยังมีพลังทำลายล้างเหนือกว่าอัคคีพิษมาก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความสามารถต่อสู้ แต่แค่คุณสมบัติของปราณมาร ก็ใกล้เคียงกับสุดยอดอาวุธแล้ว ดังนั้นจึงต้องการพลังงานในการฟื้นฟูมากกว่าเดิม
หลังจากปราณเหลวมารไหลเวียนโดยผสมกับเลือด ทั่วทั้งร่างลู่เซิ่งก็เริ่มถูกกัดกร่อนจนเสียหายหลายจุด อวัยวะภายใน เลือดเนื้อ กล้ามเนื้อ กระดูก ผิวหนัง ปรากฏความเสียหายในระดับที่แตกต่าง แต่ว่าก็ได้รับการรักษาทันทีด้วยพลังฟื้นตัวที่มีความเร็วสูงสุดขีด
พอเวลาผ่านไป รอบตัวลู่เซิ่งก็ค่อยๆ กลายเป็นวังวนปราณมารสายหนึ่ง คอยดูดซับปราณมารทั้งหมดในอากาศเข้าไปในร่าง ปราณมารในอากาศของพื้นที่ผนึกบริเวณนี้ไม่พอใช้บ้างแล้ว
‘เจ้าหนูนี้แปลกจริงๆ…ดูดซับแก่นมารของข้าไปหมดแล้ว ยังคิดจะลงไปดูดปราณมารมากกว่านี้อีกหรือ เขามีความจุมากถึงขนาดนี้เชียว’
ราชาเงามืดในแท่นบูชาที่ชั้นบนหมดคำพูด
ร่างหลักของเขาลอยไปมาในความมืด คอยสัมผัสทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นถัดไปอย่างละเอียดผ่านช่องว่าง
ความจริงร่างหลักของมารเงามืดเป็นเงาดำกลุ่มหนึ่ง เงาดำมีใบหน้าคน นี่คือร่างกายทั้งหมดของเขา
‘กลิ่นอายนี้…เป็นการควบแน่นปราณมาร…คนผู้นี้…อยากตายชัดๆ! นี่เป็นพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่มีแต่ระดับเจ้าแห่งมารถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง หากไม่มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งพอ กายเนื้อก็จะระเบิดในไม่กี่อึดใจ!’ ราชาเงามืดสังเกตลู่เซิ่งไปพลาง จุ๊ปากชมเชยไปพลาง
เจ้าแห่งมารเป็นระดับของผู้เข้มแข็งที่อยู่เหนือกว่าราชามารและผู้ถืออาวุธทั่วไป หลังจากควบแน่นปราณมาร เจ้าแห่งมารจึงนับเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่ามาร
ตอนนี้เขายืนยันได้เต็มร้อยว่าเด็กน้อยที่เพิ่งดูดแก่นมารของเขาไปเมื่อครู่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเผ่ามารระดับสูงและบริสุทธิ์
‘จุ๊ๆ…อายุเท่าไหร่แล้ว เป็นคนแรกที่เพิ่งถึงระดับราชามารก็อยากจะเลื่อนถึงระดับเจ้าแห่งมาร ไม่คิดสักหน่อยหรือว่า ต่อให้เป็นในโลกมนุษย์ ทำไมผู้ถืออาวุธเหล่านั้นจึงรักษาพลังดั้งเดิมมาโดยตลอด ยังไม่ใช่เพราะคนที่เลื่อนระดับไม่ได้แต่อยากเลื่อนระดับตายไปหมดหรอกหรือ ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะตายอย่างไร!’ ราชาเงามืดสังเกตลู่เซิ่งอย่างยินดีในคราเคราะห์
เจ้าแห่งมาร นั่นเป็นตัวตนที่เหนือกว่าราชามาร อยู่ในระดับแข็งแกร่งถึงขีดสุดท่ามกลางอาวุธเทพศัสตรามาร
ระดับนี้ ไปถึงง่ายนักหรือ
…
‘ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว…หลังการเลื่อนระดับในครั้งนี้ เราจะต้องกลายเป็นระดับผู้ถืออาวุธแน่!’ ลู่เซิ่งควบคุมปราณมารเหลวของเจ้าแห่งมารที่เหนือกว่าผู้ถืออาวุธพลางแสดงสีหน้าบ้าคลั่ง
‘มีแต่ไปถึงระดับนั้น จึงจะมีสิทธิ์ปกป้องตัวเองได้อย่างแท้จริง’ สายตาของเขาแน่วแน่ในขณะสัมผัสการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นบนร่างกาย
เนื่องจากไม่มีเป้าหมายให้เปรียบเทียบ ลู่เซิ่งจึงยังไม่รู้ว่าตัวเองได้เลื่อนจากระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไปถึงระดับผู้ถืออาวุธ หรือระดับราชามารในตำนานที่เป็นระดับผู้ถืออาวุธธรรมดาในสายตาคนทั่วไปนานแล้ว
ด้วยการสนับสนุนของเครื่องมือปรับเปลี่ยน กายเนื้อของเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างอันน่าประหลาด ไปในทางที่แข็งแกร่งและเหี้ยมหาญกว่าเดิมอย่างไม่หยุดยั้ง โครงสร้างยีนและเซลล์ทั้งหมดพังทลายไปเป็นจำนวนมาก ได้ร่างกายใหม่ที่ประกอบกันจากเซลล์ที่เล็กกว่าก่อนหน้ามาแทน
เซลล์ชนิดนี้เกิดขึ้นในเลือดหลังจากผสมกับปราณมารเหลว พวกมันเหมือนกับมีความคิดเป็นของตัวเอง ขยายไปยังทุกซอกทุกมุมในร่างลู่เซิ่งอย่างคลุ้มคลั่ง
พวกมันเริ่มสร้างกายเนื้ออันแข็งแกร่ง ที่มีพื้นฐานระหว่างโครงสร้างของเผ่ามนุษย์กับราชามาร ในจุดที่ปรับไม่ได้จริงๆ ก็ใช้ปราณมารเหลวมาอุดไว้ จุดที่ขาดแรงผลักดันก็เผาปราณมารกลายเป็นไฟมารสีดำอมม่วงเพื่อชดเชยแรงผลักดัน
สำหรับเซลล์ชนิดใหม่ ไฟมารหลังจากเผาไหม้ปราณหรืออัคคีพิษ ไม่อาจสร้างอันตรายใดๆ ต่อมันได้ ไฟฟ้าชีวภาพ การหลั่งสารภายใน อุณหภูมิสูง และพิษรุนแรงที่เกิดขึ้นของมนุษย์ สำหรับเขาแล้วเป็นแค่ลมอ่อนๆ พัดใส่ อุณหภูมิกำลังพอเหมาะ
หลังจากเวลาค่อยๆ ผ่านไป
ลู่เซิ่งก็เริ่มรู้สึกว่า ร่างกายเกิดความรู้สึกหิวโหยอย่างรุนแรง ปราณมารไม่พอแล้ว…
เมื่อครู่เขาดูดซับแก่นมารทั้งหมดที่ราชาเงามืดเก็บสะสมไว้เพื่อเลื่อนระดับร่างมาร และได้ทำให้ร่างมารทั้งแปดไปถึงขั้นที่เหล่าบูรพาจารย์แห่งสำนักมารกำเนิดจินตนาการไม่ออกแล้ว
ดังนั้นการเลื่อนจากระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ถึงระดับผู้ถืออาวุธจึงเป็นขีดจำกัดแล้ว ปราณมารที่เหลือไม่พอให้เขาใช้ไปถึงระดับเจ้าแห่งมาร
ควรจะรู้ไว้ว่านั่นเป็นขอบเขตระดับสูงสุดที่แม้แต่ราชาเงามืดก็อยากไปให้ถึง ในช่วงที่สมบูรณ์ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดเขาอยู่ห่างจากระดับนี้อีกก้าวเดียว
ระยะห่างก้าวเดียวนี้ต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว เป็นรอยแยกทางธรรมชาติที่ยากจะจินตนาการ
ทว่าลู่เซิ่งไม่รู้โดยสิ้นเชิง
เขาเพียงแค่รู้สึกว่าปราณมารไม่พอโดยสัญชาตญาณเท่านั้น
ลู่เซิ่งลุกขึ้น จับจ้องแท่นบูชาเขม็ง รู้สึกได้ว่าปราณมารที่มหาศาลถึงขีดสุดกำลังทะลักอย่างต่อเนื่องออกมาจากช่องว่างหนึ่งข้างใต้แท่นบูชา
……………………………………….