ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 306 สายเลือด (4)
บทที่ 306 สายเลือด (4)
“อธิบายยากตรงไหนกัน แม่เลี้ยงของเจ้าขาดพลังชีวิตจนตายเพราะเจ้าดูดเลือดและสารกายของนางจนเกลี้ยง ไม่อย่างนั้นเจ้านึกว่าพลังทางสายเลือดของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไรเล่า” หยวนกวงเสิ่นหนิงที่อยู่ด้านหน้าทนมองต่อไปไม่ไหว อดอ้าปากพูดตรงๆ ไม่ได้
ลู่เซิ่งชะงัก กลับนึกไม่ถึงว่าตนเองจะมีส่วนด้วย
“พอแล้ว จะพูดกับเจ้าเด็กนี้ทำไม จับตัวไปก็พอ ท่านพี่ถ้าท่านไม่ลงมือ ข้าจะลงมือเอง!” หยวนกวงเสิ่นหนิงเหลืออดถึงขีดสุด
เสียงเพิ่งจะขาดลง เงาร่างของนางพลันวูบไหว พุ่งเข้าหาลู่เซิ่งด้วยความว่องไวอย่างน่าประหลาด มือหนึ่งพุ่งใส่ผมของเขา อีกมือพุ่งใส่สะดือ สิบนิ้วที่สวมปลอกนิ้วโลหะพุ่งเข้าหาจุดอ่อนของลู่เซิ่งอย่างแม่นยำ
ตอนนี้นางคิดจะจับลู่เซิ่งไป!
“อย่า!” เช่อซิ่งห้ามปรามไม่ทัน ก็เห็นน้องสาวพุ่งออกไปลงมือกับลู่เซิ่งแล้ว
นางรู้จักพลังของน้องสาว หยวนกวงเสิ่นหนิงเป็นหัวกะทิที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะได้ทำหน้าที่เป็นผู้รักษากฎหลังกลับไปที่ตระกูลหลัก เมื่อกลับตระกูลหลัก นางก็เป็นคนที่แข็งแกร่งอยู่ดี
และยามที่เผชิญหน้ากับคนธรรมดาคนหนึ่ง เผชิญหน้ากับลู่เซิ่งบุตรคนที่สามที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย หากว่าไม่ระวังแม้แต่นิดเดียว เกรงว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บได้
ลู่เฉวียนอันได้ยินน้ำเสียงไม่ถูกต้อง ก็รู้สึกไม่ดี พอเห็นหยวนกวงเสิ่นหนิงลงมืออย่างกะทันหัน ในห้วงสมองก็เกิดเสียงดังวิ้ง เขาไม่รู้ว่าคนลึกลับกลุ่มนี้เป็นใคร แต่ยังแยกแยะได้จากน้ำเสียงของสตรีที่ลงมือว่านั่นเป็นสำเนียงของราชวงศ์ต้าอินอันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานซึ่งอยู่ด้านนอกเทือกเขา
เขาเคยติดต่อกับคนจากราชวงศ์ต้าอินที่ข้ามมาจากเทือกเขาด้านนั้นเมื่อนานมาแล้ว สำเนียงการพูดของพวกเขามีความพิเศษถึงขีดสุดตรงที่เสียงนาสิกและเสียงสัมผัสหนักมาก แตกต่างจากภาษาทางฝั่งต้าซ่ง ดังนั้นจึงแยกแยะได้อย่างง่ายดาย
ต้าอินเป็นราชวงศ์อันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งกว่าต้าซ่ง ว่ากันว่ามีพื้นที่ใหญ่กว่าต้าซ่งหลายเท่า ยอดฝีมือคับคั่งดั่งหมู่เมฆ ผู้เข้มแข็งมากมายดั่งสายฝน ถ้าหากตระกูลหยวนกวงนี้เป็นตระกูลระดับสูงสุดของที่นั่นจริงๆ จะต้องเป็นตระกูลใหญ่ที่มีขุมกำลังและอิทธิผลมากมายถึงขีดสุดแน่
ถ้าหากเสี่ยวเซิ่งทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจจริงๆ ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คาดคิดไม่ถึง
ลูกๆ สามคนที่เหลือของหยวนกวงเช่อซิ่งได้แก่หยวนกวงซิน หยวนกวงจงหรัน หยวนกวงหนิงมีท่าทีแตกต่างกันไป
หยวนกวงหนิงเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียว แม้จะไม่พอใจลู่เซิ่งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับรังเกียจ ตอนนี้พอเห็นอาเล็กลงมือ ในใจก็เกิดความกังวลเล็กน้อย
แต่ว่าอีกสองคนไม่เหมือนกัน พวกเขาไม่เข้าใจ การกลับไปยังบ้านเดิมอย่างถูกทำนองครองธรรม เป็นเรื่องดีเลิศสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะยินยอมละทิ้งตระกูลเดิมหรือไม่ ขอแค่ภายหลังได้ดี ค่อยกลับมาชดเชยเอาก็ได้ไม่ใช่หรือ พวกเขานึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะปฏิเสธ ทั้งยังเสนอเงื่อนไขถึงสามข้อ
‘เป็นอย่างไรเล่า ในที่สุดก็ทำให้อาเล็กโมโหแล้ว’ ทั้งสองมองลู่เซิ่งอย่างยิ้มเยาะ
ในสายตาของคนธรรมดา หยวนกวงเสิ่นหนิงแทบเหมือนเคลื่อนย้ายในพริบตา นางปรากฏตัวขึ้นด้านข้างลู่เซิ่งอย่างฉับพลันแล้วแทงสองมือใส่จุดอ่อนของเขา
สองมือเร็วดุจสายฟ้าแลบ เผยพลังอันเหี้ยมหาญออกมาทั้งหมด เดิมทีนางเป็นนักฆ่าสายว่องไวที่เน้นฝึกฝนด้านความเร็วอยู่แล้ว ตอนนี้ขนาดลงมืออย่างไม่เอาจริง ยังเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้คนนึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
นางงอมือเป็นกรงเล็บ แทงใส่เอวกับศีรษะของลู่เซิ่งอย่างไร้สุ้มเสียง
กึก
ในตอนนั้นเอง มือนางหยุดค้างอยู่กลางอากาศ มือใหญ่ข้างหนึ่งที่เหมือนรออยู่แล้ว คว้าแขนของเสิ่นหนิงเอาไว้อย่างแผ่วเบา
“อ่อนแอไปแล้ว…” ลู่เซิ่งเขี่ยคางของหยวนกวงเสิ่นหนิงขึ้นเบาๆ แม้จะอยู่ใกล้แค่คืบ พลังทางสายเลือดทั่วร่างเสิ่นหนิงก็กำลังเผาไหม้และปรวนแปรอย่างบ้าคลั่ง ทว่านางยังคงขยับไม่ได้ ได้แต่ยืนหยุดนิ่งอยู่กับที่
“สรุปคือข้าไม่สนใจการกลับตระกูล สายเลือดอ่อนแอแบบนี้ ไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับข้า” ลู่เซิ่งตบๆ หน้างามที่แดงก่ำด้วยความอับอายของเสิ่นหนิงอย่างสงบ
“พวกท่าน เข้าใจหรือยัง” เขาช้อนตาขึ้นมองพวกหยวนกวงเช่อซิ่ง
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้สนามพลังใดๆ แต่จิตใจของทุกคนกลับบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นโดยมิอาจควบคุม ทรวงอกเหมือนกับโดนหินก้อนใหญ่กดทับจนหายใจไม่ออก
ลู่เซิ่งยื่นนิ้วชี้ออกมาแตะหว่างคิ้วของหยวนกวงเสิ่นหนิง
ตูม!
ร่างของหยวนกวงเสิ่นหนิงเหมือนโดนสายฟ้าฟาดใส่ ลอยกระเด็นออกไปพร้อมเสียงดังสั่นเหมือนช้างตกมันฝูงหนึ่งชนใส่ ทะลุกำแพงลอยไปด้านนอกรั้วที่ไม่ทราบอยู่ไกลขนาดไหน
“หนิงหนิง!” หยวนกวงเช่อซิ่งคาดคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เสิ่นหนิงเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกนาง อยู่ในระดับที่หากกลับตระกูลก็สามารถรับตำแหน่งผู้คุมกฎได้ แต่กลับถูกบุตรชายของตนดีดนิ้วใส่กระเด็นออกไป
นางจิตใจปั่นป่วนอยู่ชั่วขณะ ทั้งเป็นห่วงว่าหนิงหนิงจะได้รับบาดเจ็บ ทั้งกังวลที่ลู่เซิ่งไม่คิดยอมรับนาง
ตอนแรกลู่เซิ่งคิดจะติดตามคนเหล่านี้ไปดูพื้นฐานของตระกูลหยวนกวง แต่พอรู้ว่าซุนเยี่ยนตายเพราะสายเลือดบนร่างของตน ตายเพราะสตรีจากตระกูลหยวนกวงตรงหน้า อยู่ๆ เขาก็อารมณ์ไม่ดี
การดีดนิ้วใส่หยวนกวงเสิ่นหนิงจนกระเด็นไป เป็นการสั่งสอนเล็กๆ ที่บอกว่าตนไม่ได้ด้อยกว่า แค่ไม่ฆ่าทิ้งก็ถือว่าเมตตาปรานีแล้ว
“ไปเถอะ แล้วอย่ามาอีก ข้าไม่ชอบพวกท่าน” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ
หยวนกวงเช่อซิ่งมองเขาอย่างล้ำลึก ดวงตาปรากฏความเจ็บปวด ผิดหวัง เสียใจ และสบายใจด้วย
พอได้เห็นบุตรของตนแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ นางก็รู้สึกดีใจแทนเขา เมื่อเป็นแบบนี้ต่อให้เขาไม่ติดตามตนกลับตระกูลหลัก ก็สามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว
ส่วนพี่น้องอีกสามคนตกตะลึงไปแล้ว
อาเล็กที่แทบไร้คู่ต่อกร ในสายตาของพวกเขา ถูกน้องสามตรงหน้าดีดนิ้วใส่จนกระเด็น จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา แสดงว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
หยวนกวงซินพลันเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่สามถึงเลือกรั้งอยู่ ด้วยพลังของเขา การกลับตระกูลหลักไหนเลยจะสบายกว่าการเป็นผู้ปกครองอยู่ด้านนอก
สวนพี่ใหญ่หยวนกวงหนิงกับพี่รองหยวนกวงจงหรันอย่างไรก็เป็นคนธรรมดา ก่อนที่เช่อซิ่งจะไปรับพวกเขา พวกเขาล้วนใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป ไม่รู้เรื่องอะไรเหล่านี้เลย
เพียงแต่ครั้นได้ยินมารดาบอกว่าถ้ากลับตระกูลหลักจะได้รับการสาดส่องจากแสงแห่งอาวุธเทพเพื่อทำให้สายเลือดเข้มข้นขึ้นจนได้รับพลัง ก็เลยกระตือรือร้นติดตามมา ไม่เพียงแต่พวกเขายินยอมเท่านั้น แม้แต่ครอบครัวที่บ้านของพวกเขาก็สนับสนุนสุดกำลังเช่นกัน ในโลกที่วุ่นวายแบบนี้มีอะไรให้ความรู้สึกปลอดภัยไปกว่าการมีพลังอีกหรือ
ไหนเลยจะคาดว่าพอมาถึงที่นี่ น้องอย่างลู่เซิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็ดีดอาเล็กกระเด็นไป ทั้งยังไม่คิดกลับตระกูลหลักอีก
ในโลกใบนี้ยังมีคนแบบนี้ด้วย สายตาที่พี่น้องสามคนมองไปยังลู่เซิ่งทั้งเคารพทั้งหวาดกลัว
ในโถงรับแขก ทุกคนเงียบงัน หยวนกวงเช่อซิ่งมองลู่เซิ่งอย่างล้ำลึก เหมือนต้องการจดจำเขาเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ จากนั้นก็หมุนตัววิ่งออกไปยังทิศทางที่เสิ่นหนิงลอยออกไป
อีกสามคนไล่ตามไปติดๆ องครักษ์ของตระกูลลู่คิดจะหยุดไว้ แต่ลู่เฉวียนอันสั่งให้คลายการป้องกัน ปล่อยพวกเขาจากไป
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เหลียวแลคนที่ผละไปด้วยซ้ำ
ที่เขากลับมาในครั้งนี้ ความจริงเป้าหมายแรกคือการค้นหาและตรวจสอบสำนักไตรอริยะ ก่อนหน้านี้มีขุมกำลังของตระกูลซั่งหยางคอยจับตาดูอยู่ สำนักไตรอริยะจึงไม่กล้าลงมือกับพันธมิตรของตระกูลขุนนาง จึงแอบอยู่ในที่มืดมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้ตระกูลซั่งหยางตกต่ำ ขุมกำลังสู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ เขาจึงต้องระวังไม่ให้สำนักไตรอริยะลงมือกับครอบครัวของตนเอง
“เสี่ยวเซิ่ง…เจ้าทำแบบนี้…จะไม่เป็นไรหรือ” ลู่เฉวียนอันถามอย่างกระวนกระวายใจเล็กน้อย
ตอนนี้เขาไม่ใช่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนเมื่อก่อนหน้าอีกแล้ว ในฐานะบิดาของประมุขพรรควาฬแดง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ สุดท้ายก็มีช่องทางมากมายให้สัมผัสกับข้อมูลที่ในอดีตเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ความรู้ความเข้าใจต่อโลกจึงไม่ได้เรียบง่ายเหมือนเมื่อก่อนอีก
อย่างน้อยก็รู้ว่าตระกูลขุนนางเป็นขุมกำลังแบบใด
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง เพียงแค่ทำให้นางต้องรักษาตัวสองสามเดือนเฉยๆ” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างอุ่นใจให้กับเขา “แค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น” สำหรับยอดฝีมือระดับพันธนาการ กะโหลกที่โดนดีดจนแหลกไปครึ่งหนึ่งไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่ฟื้นฟูยากอะไรนัก
“ก็ดี” ลู่เฉวียนอันลังเล “เหตุใดคราวนี้เจ้าถึงกลับมาคนเดียว พี่น้องของเจ้าอยู่ข้างนอกกันหมด ได้ยินมาว่าเกิดภัยพิบัติในแดนจงหยวน ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง กำลังทำอะไรกันอยู่ ข้าสงสัยอยู่เสมอ อยากถามเจ้าถึงสถานการณ์…”
“ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ ไม่ต้องห่วง” ลู่เซิ่งนึกถึงจางซิ่วซิ่วที่ติดตามตนไปอยู่เมืองกระดิ่งขาว ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องหรือไม่ จำได้ว่าตอนนั้นได้ส่งนางไปยังสถานศึกษา
พวกลู่อีอีรับตำแหน่งในพรรควาฬแดง ลู่เซิ่งขบคิดดูว่า มีใครที่อาจจะเจอภัยพิบัติมารหรือไม่
คิดอยู่สักพักพบว่าไม่น่ามี จึงค่อยโล่งอก
“อีกเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปพาพวกเขากลับมา วางใจเถอะ”
“จะว่าไป เสี่ยวเซิ่งเจ้าทำกับพวกนางเกินไปหรือไม่…พวกนางส่งของขวัญมากมายให้เรา ต่อให้ลงมือก่อนก็เถอะ เจ้าโต้กลับแบบนี้ก็…” ลู่เฉวียนอันกังวลเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร นางอย่างมากสุดได้รับบาดเจ็บแค่นิดหน่อยเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ตระกูลหยวนกวงไม่ได้ใช้อิทธิพลข่มเหงคน เพียงแค่หยวนกวงเสิ่นหนิงมีท่าทีแย่ไปหน่อยเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ยังดี นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้ฆ่าอีกฝ่ายทิ้ง
หากว่าเจอการใช้อำนาจรังแกคนจริงๆ เขาคงจะฆ่าคนเหล่านี้ทิ้งในรวดเดียว
สำหรับเขาในตอนนี้ นอกจากการเปิดเผยว่าตนเองไม่ได้หลอมรวมกับอาวุธเทพ ที่เหลือล้วนไม่สนใจ
“เอาล่ะ ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ท่านพ่อ ที่ข้ากลับมาในครั้งนี้เพราะต้องการขอให้ท่านย้ายทั้งตระกูล” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ย้ายหรือ ย้ายไปไหนเล่า” ลู่เฉวียนอันรู้ว่าระดับของลู่เซิ่งในวันนี้ต่างไปจากเดิมแล้ว สิ่งที่เป็นห่วงย่อมไม่เหมือนเดิม เมื่อเขาบอกว่าต้องการย้าย นั่นจะต้องเป็นเพราะสถานการณ์ร้ายแรงจนถึงขั้นต้องพูดแบบนี้แน่
“ออกจากต้าซ่ง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“หา?!” ลู่เฉวียนอันตกใจ
ลู่เซิ่งสัมผัสกลิ่นอายได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะมีพลังในระดับสูงสุด และเขาก็ได้ออกตรวจสอบขนาดของภัยพิบัติมารมาแล้ว
หลังจากประตูเลือดเนื้อถูกตั้งขึ้น ขุมกำลังของทัพมารก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีวิญญาณมารห้าตนจุติลงมาแล้ว บวกกับประตูเลือดเนื้อสามบานอยู่ติดกัน ทำให้จ้าวแห่งมารข้ามโลกมาลงมือถึงสามครั้งได้อย่างง่ายดาย น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงขีดสุด
ต่อให้เป็นเขาในวันนี้ การเข้าใกล้ยังถือเป็นเรื่องที่อันตรายสุดขีด
เกิดว่าถูกรั้งตัว แล้วมีจ้าวแห่งมารข้ามโลกผ่านประตูเลือดเนื้อเข้ามาโจมตี ครั้งเดียวยังทนได้ แต่ว่าสามครั้ง…
ตระกูลขุนนางในต้าซ่ง มีแค่หวงจี๋มหามังกรสี่หนวดซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจแห่งตระกูลหวงคนเดียวที่อยู่ในระดับจ้าวแห่งมาร หรือก็คือระดับปกป้องประเทศที่รู้จักกันดี ทว่าเป็นเพราะต้องควบคุมสถานการณ์ใหญ่และรักษาเมืองหลวง จึงไม่กล้าลงมือโดยวู่วาม
ตระกูลขุนนางที่เหลือถ่วงแข้งถ่วงขากันเอง การศึกดูเหมือนจะยืดเยื้อไปอีกนาน ในสภาพสับสนอลหม่านแบบนี้มิสู้ย้ายออกจากต้าซ่งและมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตที่ปลอดภัยแห่งอื่นดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นสำนักไตรอริยะที่ลึกลับยากหยั่งคาดของที่นี่ยังมีความแค้นกับตนด้วย
ลู่เซิ่งไม่เพียงคิดย้ายตระกูลลู่เท่านั้น ยังต้องการย้ายสำนักมารกำเนิด สำนักอาทิตย์ชาด และคนส่วนใหญ่ในพรรควาฬแดงไปพร้อมกันด้วย
แม้ต้าซ่งจะเล็ก ทว่ากลับมีปัญหามากมาย หลีกเลี่ยงภัยพิบัติมารให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
ลู่เซิ่งสังหรณ์ว่าทัพมารเหมือนจะกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการจุติลงมาของจ้าวแห่งมาร ต้าซ่งจะกลายเป็นแนวหน้าในภัยพิบัติมาร ที่นี่จึงไม่ใช่ที่ที่ควรรั้งอยู่นาน
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้กลืนกินราชามารไปมากมาย เกิดว่าทัพมารสัมผัสได้ จะต้องแก้แค้นแน่
……………………………………….