ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 316 คาดเดา (4)
บทที่ 316 คาดเดา (4)
เวลาเช้าตรู่ อาทิตย์อุทัยค่อยๆ โผล่ส่วนปลายขึ้นมา ท้องฟ้าสีขาวเทาในตอนแรกเรืองแสงสีแดงเจิดจ้าไปชั่วขณะ ถูกย้อมเป็นสีแดงอ่อนไปมากกว่าครึ่ง
ลู่เซิ่งยืนอยู่ในฝูงชน นึกจินตนาการถึงภาพดวงอาทิตย์ขึ้นผ่านบันทึกวิชา โดยผสานกับสภาพความเป็นจริงอย่างเลือนราง
นี่เป็นกระบวนการที่ยากลำบากยิ่ง เป็นเพราะต้องทำให้ความเร็วในการลอยขึ้นของดวงอาทิตย์ในจินตนาการกับความเป็นจริงสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์
ในกระบวนการนี้ต้องค่อยๆ ปรับลมหายใจ รักษาการจินตนาการ และดูดซับปราณม่วงหลายสาย
ทว่าลู่เซิ่งเข้าใจความอัศจรรย์นี้ ย่อมรู้จักพลิกแพลง
เขาแบ่งสารกายสายหนึ่งที่มีคุณสมบัติเหมือนกันกับของคนอื่นๆ ออกมา เพื่อให้มันหลอมรวมเข้ากับทะเลสาบสารกายเหนือศีรษะตามลำดับวิชา
จากนั้นก็มีเส้นสีทองที่เกิดจากจินตนาการลอยขึ้นมา เขาควบคุมเส้นสีทองนี้ในการแย่งชิงสารกายของคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ อย่างไร้ความเกรงกลัว
เทียบกับเขาแล้ว คนอื่นๆ ดูเหมือนจะนึกจินตนาการตามวิชาอย่างเคร่งครัด ไม่รู้จักเคล็ดสำคัญด้านใน แม้แต่เส้นสีทองของเฉิงค่งจื่อก็แย่งลู่เซิ่งไม่ได้ เพียงแค่ดูดได้สารกายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ส่วนอื่นๆ ล้วนถูกเขาดูดกลืนไปจนเกลี้ยง
เส้นสีทองลอยกลับมายังเหนือศีรษะลู่เซิ่ง ก่อนจะหายเข้าไปด้านใน
ฟู่…
เขาพ่นลมหายใจ รู้สึกได้ทันทีว่าปราณจริงแท้ที่บริสุทธิ์เย็นเยียบสายหนึ่งกำลังรวมตัวในร่างกายด้วยความเร็วสูง และเริ่มไหลเวียนในเส้นเลือดอย่างเชื่องช้า
ไม่ใช่เส้นลมปราณ แต่เป็นเส้นเลือด
‘วิชาปราณอาทิตย์อุทัย…นี่คือฝึกสำเร็จแล้วเหรอ’ ลู่เซิ่งลืมตา รู้สึกได้ว่าร่างกายแตกต่างไปจากเดิม
ปราณจริงแท้สายนั้นมอบความรู้สึกเย็นฉ่ำในด้านจิตใจที่อธิบายไม่ถูกให้แก่เขาในตอนที่โคจรลมปราณ
‘ปราณจริงแท้นี้มีผลหล่อเลี้ยงจิตใจเหรอเนี่ย’ ลู่เซิ่งค่อนข้างประหลาดใจ
หลังจากคาบเช้าจบลง ทุกคนก็ไปกินข้าวเที่ยง จงหยวนยังคงส่งเสียงพูดคุยจ้อกแจ้ก จางไคหรงเข้าไปสนทนากับจงหยวนอย่างหน้าระรื่น เฉินเฟิงหนันกลับสีมีหน้าผิดหวัง เหมือนกับการพัฒนาไม่ราบรื่น
ลู่เซิ่งนั่งกินข้าวเงียบๆ อยู่ด้านข้าง เขาในตอนนี้ดูดซับสารกายส่วนใหญ่ไป กายเนื้อถึงกับเกิดความรู้สึกอิ่มที่อธิบายไม่ถูก กินข้าวไปไม่กี่ชามก็รู้สึกอิ่มแล้ว
“พี่ลู่ ท่านอยากได้กับข้าวอะไร ข้าจะไปเติมข้าว เดี๋ยวจะแวะเอามาให้ท่านเลย” จงหยวนลุกขึ้น แสร้งถามเหมือนไม่มีเรื่องราวใด
ลู่เซิ่งวางชามลงแล้วมองนางแวบหนึ่ง
“ไม่ต้อง ข้ากินอิ่มแล้ว”
“ก็ได้ พวกเจ้าสองคนเล่า จะเอาอะไร ข้าจะได้เอามาด้วย” จงหยวนมีฐานะทางบ้านร่ำรวย แต่ไม่ได้วางท่าอะไร ทั้งยังมีน้ำใจ เงินแค่นี้พวกเขาก็ไม่ได้เกรงใจนางเช่นกัน
อีกสองคนต่างมองออกว่านางมีความรู้สึกที่ดีต่อลู่เซิ่ง
ความจริงแล้วหน้าตาลู่เซิ่งนับว่าอยู่ในระดับกลางค่อนสูง โดยเฉพาะบุคลิกเย็นชา ร่างกายกำยำ บวกกับกราบอาจารย์พร้อมฝึกวิชา มีฝีมือไม่สามัญ จงหยวนจะมีความรู้สึกดีๆ กับเขาก็สมเหตุสมผล
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนไม่ชอบใจคือ จงหยวนไปปลุกลู่เซิ่งให้ลุกจากเตียงทุกเช้า อีกทั้งมีเรื่องอะไรก็แจ้งลู่เซิ่งเป็นคนแรก แต่ผ่านไปตั้งหนึ่งเดือนกว่าๆ อีกฝ่ายกับไม่มีการตอบสนองใดๆ
ตอนที่เดินออกจากโถงอาหารหลังกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็เจอหวังอวิ่นหลงที่เพิ่งออกมาจากที่พักพอดี
บุรุษเย็นชาผู้นี้กำลังคุยซุบซิบกับผู้ดูแลเรื่องราวคนหนึ่งในพรรค ยืนอยู่ด้านนอกบ้านไม้ของตัวเองด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปมา เหมือนกำลังลังเลอยู่
“ศิษย์ชีพจรปลอดโปร่ง…ว่ากันว่าพิสดารถึงขั้นที่เกิดความรู้สึกถึงปราณในวันเดียว!” จางไคหรงกล่าวอย่างริษยาเล็กน้อย
“คนเราเทียบกันไม่ได้หรอก เดิมทีก็ต่างกันมากอยู่แล้ว” จงหยวนส่ายหน้า “พวกเรากลับกันเถอะ”
พวกเขาแยกย้ายกลับที่พักของตัวเอง มีแต่ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าบ้านไม้คนเดียว แหงนมองฝาครอบสีทองอ่อนที่อยู่บนท้องฟ้า เหมือนมีความคิดอะไรบางอย่าง
เขาพอจะเข้าใจเคล็ดวิชาคร่าวๆ แล้ว ต่อจากนี้สมควรทดลองเคล็ดวิชาในระดับที่สูงกว่า เพื่อดูว่ามีจุดพิเศษใดหรือไม่
สมควรใช้ท่าทีและวิธีการแบบไหนหลอมรวมเข้ากับต้าอิน นี่เป็นเรื่องที่เขาต้องพิจารณา
กฎเกณฑ์ของที่นี่โหดร้ายทารุณยิ่งกว่าต้าซ่ง เกรงว่าหากไม่ทันระวังจะถูกกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก สาเหตุที่ค่ายพรรคของที่นี่รับคนธรรมดาเห็นได้ชัดว่า เป็นเพราะต้องการรวบรวมสารกายจำนวนมากพอ สารกายที่คนพวกนั้นได้รับ จากคนบนจุดยอดสุดซึ่งปีนป่ายขึ้นไปทีละขั้นๆ ยากจะจินตนาการถึงทีเดียว!
‘เพียงแต่ในเมื่อปราณจริงแท้ของที่นี่ประกอบขึ้นจากสารกายของคนอื่นๆ ทั้งยังเชื่อมต่อกับจิตใจได้ อย่างนั้นคุณสมบัติประเภทนี้จะใช้ยกระดับพลังฝึกปรือแทนที่พลังอาวรณ์เหมือนกับปราณภายในธาตุหยินได้ไหมนะ’
ลู่เซิ่งทดลองเปิดเครื่องมือปรับเปลี่ยน พลังอาวรณ์ยังเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง แต่ปราณมารมีไม่มากนัก เขาทำตามลางสังหรณ์เล็กๆ ตอนที่ใช้ปราณขวดสมบัติแทนพลังอาวรณ์ โดยรวบรวมปราณจริงแท้ทั้งหมดแล้วใส่เข้าไปในเครื่องมือปรับเปลี่ยนที่อยู่ตรงทรวงอกแทนปราณขวดสมบัติ ก่อนที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ
ขอแค่เคลื่อนไหวเร็ว ด้วยความสามารถด้านการควบคุมของลู่เซิ่งในตอนนี้ สามารถชิงใส่ปราณจริงแท้ไปตรงช่องอกอันลึกลับบริเวณนั้นได้ก่อนอย่างสมบูรณ์แบบ
สิ่งที่เขาปรับเปลี่ยนคือวิชาภายนอกธรรมดาวิชาหนึ่งที่ตนจดจำก่อนหน้านี้ เพียงแค่หายใจไม่กี่ครั้ง กรอบก็พร่ามัวลง แล้วชัดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งมองเนื้อหาที่แสดงผลออกมา
‘สำเร็จแล้ว…ทำได้จริงๆ ด้วย’ เป็นไปตามที่คิดไว้ ปราณจริงแท้เป็นปราณภายในธาตุหยิน สามารถใช้ปรับเปลี่ยนวรยุทธ์แทนพลังอาวรณ์ได้โดยสมบูรณ์
ปราณจริงแท้ที่เพิ่งดูดซับมาหายไปหมดไม่เหลือแม้แต่สายเดียว แต่ลู่เซิ่งไม่กังวล เขาแค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น
‘ถ้าหากว่าคุณสมบัติของปราณจริงแท้นี้ใช้พลังของคนหมู่มากในการหล่อเลี้ยงร่างกายจริงๆ อย่างนั้นประชากรควรจะเป็นกุญแจสำคัญของต้าอิน ต้าอินกับต้าซ่งมีอำนาจทางประเทศแตกต่างกันมาก ทำไมต้าอินจึงไม่ส่งกองทัพเข้ายึดต้าซ่งล่ะ’
ตอนบ่ายไม่มีเรื่องใด วิชาปราณอาทิตย์อุทัยต้องฝึกตอนเช้าตรู่ เขาจึงไปหอเก็บตำรา จากนั้นก็เอาตำราที่เขามีสิทธิ์อ่านได้ออกมา
ไม่นานก็เจอคำตอบ
ต้าอินมีภัยพิบัติมารเช่นกัน…แต่ต่างกับภัยพิบัติมารของต้าซ่งตรงที่มีขนาดใหญ่กว่า
สี่เสาพิภพมาร จักรพรรดิมาร คำศัพท์เหล่านี้ปรากฏบนคัมภีร์เป็นระยะ บอกแก่คนที่ต้องการรู้ความจริงอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อยว่า ต้าอินอยู่ในไฟสงครามทุกสถานที่และทุกเวลา
ต้าซ่งเพียงเผชิญหน้าจ้าวแห่งมาร แต่อ้าอินเผชิญหน้ากับจักรพรรดิมาร
ลู่เซิ่งจิตใจสั่นสะท้าน อ่านต่อไป ตำราบันทึกศึกสงครามกับจักรพรรดิมารที่มีนามว่าเหวยลาไว้มากมาย
ต้าอินกับพิภพมารมีสมรภูมิรบสามแห่ง สถานที่สามแห่งนี้ผลาญอำนาจของต้าอินไปอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ก็ยับยั้งพลังของจักรพรรดิมารเหวยลาเอาไว้ได้ ไม่ให้มันทำให้โลกมนุษย์แปดเปื้อนเช่นกัน
ต้าอินที่มีเจ้าแห่งอาวุธคุ้มครองกับทัพจักรพรรดิมารแห่งพิภพมารผลัดกันแพ้ชนะ เสมอกันมาเกือบพันปีแล้ว
‘ดูเหมือนทางต้าซ่งจะเป็นวิธีที่พิภพมารจะใช้เสริมกำลังจากด้านข้างเพื่อบุกโลกมนุษย์’ ลู่เซิ่งเข้าใจคร่าวๆ
เขาอ่านข้อมูลต่อ กลับไม่เจอข้อมูลที่มีประโยชน์อีก กว่าจะออกจากหอเก็บตำราก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ขณะเดินอย่างเชื่องช้าไปตามเส้นทางขากลับ
อารามตอนกลางคืนเหมือนกับโคมตะเกียงสีดำที่มีรูโหว่จำนวนไม่น้อย แสงสว่างสีเหลืองเล็กๆ สาดลอดออกมาจากร่องแยกระหว่างสิ่งก่อสร้าง
ท่ามกลางสายลมพัด ได้ยินเสียงแหวกลมจากคนฝึกวรยุทธ์ในป่าเขาที่ปิดมิดชิด กลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยมาแต่ไกล
ลู่เซิ่งสูดกลิ่น คิดถึงเนื้อย่างในโลกเดิม เขาเร่งฝีเท้าและทำสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเหมือนกับศิษย์คนอื่นๆ ที่ออกจากหอเก็บตำรา ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย
แต่กลับเจอหวังอวิ่นหลงที่เพิ่งเดินเข้ามาพอดี คนหนุ่มหน้าตาเย็นชาผู้นี้มองเห็นลู่เซิ่งแล้วเช่นกัน ทั้งสองไม่ได้มีการแสดงออกอะไร
หวังอวิ่นหลงไม่เคยชอบลู่เซิ่ง คนผู้นี้คล้ายกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา กวาดตามองตนเองเหมือนกับกวาดตามองก้อนหิน
เพียงแต่เขาไม่เคยหาเรื่อง หวังอวิ่นหลงจึงว่าอะไรไม่ได้ หนำซ้ำยังเป็นเพื่อนบ้านกันด้วย
ทั้งสองเดินสวนกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน
ลู่เซิ่งเกิดความรู้สึกถึงปราณและกลายเป็นศิษย์ภายในได้อย่างราบรื่น ศิษย์ที่มาทดสอบไม่ได้ตกใจแต่อย่างไร ศิษย์ที่อยู่ในเขตนี้มีศักยภาพกับคุณสมบัติอยู่แล้ว
ตอนที่ย้ายบ้าน สหายที่อยู่ด้วยกันต่างผ่านการทดสอบความรู้สึกถึงปราณในสามวัน ยกเว้นแค่เฉินเฟิงหนันที่ไม่เกิดความรู้สึกถึงปราณ เขามองคนที่ย้ายบ้านอย่างผิดหวัง จงหยวนอยากจะปลอบเขา แต่ไม่รู้ควรพูดอะไรดี จางไคหรงเข้ามาทำท่าให้นางซบไหล่ แต่ถูกนางปัดออกไป ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันอีก
ลู่เซิ่งมองทั้งสองคนอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หลายวันมานี้เขาได้สังเกตอย่างละเอียดแล้วพบว่า ฝาครอบสีทองอ่อนเหนือศีรษะเหมือนจะมีผลอย่างอื่นอีก ไม่ใช่แค่ดูดซับสารกายเท่านั้น คล้ายว่าจะมีอักขระโครงสร้างที่ซับซ้อนสุดขีดอยู่ด้านในด้วย
หลังจากกลายเป็นศิษย์ภายในสำเร็จ ก็สามารถอ่านข้อมูลที่จำกัดสิทธิ์มากกว่าเดิมได้
ทั้งสามย้ายไปอยู่ในเรือนที่อยู่ลึกเข้าไปในอาราม รอบๆ มีเรือนที่มีลักษณะอย่างเดียวกันมากมาย คนสามคนอยู่ในเรือนเดียวกัน
จากนั้นก็เป็นการเรียนคาบเช้า เพียงแต่สถานที่เปลี่ยนแปลง คนที่เข้าร่วมน้อยลงบางส่วน มีเพียงแค่ไม่กี่สิบคน สถานที่เรียนคาบเช้ามีอยู่สองสามแห่ง แห่งหนึ่งในนี้อยู่ในตำหนักใหญ่ที่เหมือนกับห้องกลั่นยา กองไฟโชติช่วงลุกไหม้อยู่ตรงกลางตำหนัก บุรุษที่ชื่อเฟยคงจื่อกลายเป็นผู้ชี้แนะคนใหม่ของพวกเขา
คนไม่กี่สิบคนในรอบนี้ล้วนเป็นคนที่มีคุณสมบัติ สารกายที่แผ่กระจายมีจำนวนมากกว่า แต่ก็แข่งขันกันอย่างดุเดือดกว่าเดิมเช่นกัน
เส้นสีทองหลายสายลอยขึ้นด้านบนอย่างต่อเนื่อง บินฉวัดเฉวียนไปทั่วพลางชนใส่กันเอง บ้างก็แหลกสลายเล็กลง บ้างก็กลืนกินกันจนใหญ่ขึ้น
จงหยวนกับจางไคหลงกล้ำกลืนฝืนทน ที่นี่มีคนที่มีคุณสมบัติดีกว่าพวกเขาจำนวนไม่น้อย หากไม่ระวังนิดเดียว การฝึกครั้งหนึ่งจะไม่ได้อะไรเลย กลับกันยังต้องเสียสารกายไปส่วนหนึ่ง
ครั้งนี้ลู่เซิ่งไม่ได้กลืนกินมั่วซั่ว เพียงแสร้งเป็นหนึ่งในเส้นสีทองหลายสายที่แข็งแกร่งที่สุด คอยปกป้องตัวเองและกลืนกินสารกายส่วนหนึ่งเป็นบางครั้ง
วิชาที่สองที่ได้รับการถ่ายทอดชื่อว่าวิชาหลอมแก่นจตุรทิศ
วิชานี้แตกต่างจากวิชาปราณอาทิตย์อุทัย จะฝึกฝนเวลาไหนก็ได้ ไม่มีการแบ่งกลางวันกลางคืน จากนั้นก็มีการเปิดหอสัประยุทธ์ ด้านในสอนวิธีต่อสู้กับคนอื่นๆ ทักษะแต่ละอย่างล้วนมีคำภีร์และกำแพงภาพ
ลู่เซิ่งไปครั้งเดียวแล้วก็ไม่ไปอีกเลย สำหรับเขาแล้วทักษะเหล่านั้นไม่ค่อยต่างกันมาก
หลังคาบเช้าจบลง ศิษย์ภายในจะมีโอกาสเลือกทิศทางการฝึกฝนครั้งหนึ่ง ลู่เซิ่งทำความเข้าใจข้อมูลทั้งหมดโดยพื้นฐาน ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงไม่คิดจะอยู่ในพรรคอาทิตย์วสันต์ต่อไปอีก
เขาเก็บของมีค่าเรียบร้อยแล้ว วางแผนว่าผ่านไปอีกสักพักจะไปจากที่นี่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือมีคนแปลกหน้าสองคนมาหาอย่างกะทันหัน โดยติดต่อกับลู่เซิ่งที่กำลังฝึกฝนวิชาอยู่ในห้องผ่านศิษย์ในสำนักในทันที
“อู๋เฉวียนเซิงเกิดเรื่องหรือ”
ลู่เซิ่งไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายหาตนเจอ เขากลายเป็นศิษย์ภายใน รายชื่อถูกส่งออกไปติดอยู่ด้านหน้าประตูสาขาของพรรคอาทิตย์วสันต์ คาดว่าสองคนนี้ตามหาเขาด้วยวิธีนี้
เขานิ่วหน้าขณะมองสองคนตรงหน้า สองคนนี้เดิมทีเป็นชายฉกรรจ์วัยหนุ่มร่างกำยำ ตอนนี้กลับถูกตัดขาขวาทิ้งไปแล้ว จึงเดินกะโผลกกะเผลก
“นายน้อย…นายน้อยถูกคนของตระกูลหลินจับตัวไปแล้ว!” คนหนึ่งในนี้ตะโกนคร่ำครวญ
“คุณชายลู่ ตอนสุดท้ายนายน้อยบอกให้พวกเรามาหาท่าน แต่…ระหว่างทางที่มาถูกขัดขวางหลายครั้ง…ฮูหยินเฒ่าก็ล้มป่วยติดเตียงเช่นกัน…” อีกคนขอบตาแดงก่ำ
“อู๋เฉวียนเซิง…เขาแจ้งชื่อข้าแล้วหรือ” ลู่เซิ่งไม่เหลือบแล เพียงกล่าวอย่างเรียบเฉย
แม้จะคบหากับอู๋เฉวียนเซิงอย่างผิวเผิน แต่เขาก็มีความรู้สึกที่ดีต่อคนหนุ่มที่ชมชอบช่วยเหลือคนอื่นผู้นี้ ตราบใดที่ไม่มีอุปสรรคใหญ่ก็ช่วยได้ไม่มีปัญหา
“แจ้งแล้ว…อีกฝ่ายบอกว่า พวกเขาจะรอ…” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเว้นเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสียงดุดัน
ลู่เซิ่งพยักหน้า
เขากังวลที่ไม่มีข้ออ้างในการสร้างอาณาเขตของตัวเองอยู่พอดี ตอนนี้โชคดีที่โอกาสมาหาถึงที่ สามารถเตือนระดับสูงในพรรคอาทิตย์วสันต์ถึง ‘พรสวรรค์’ ของตนได้อย่างเหมาะเจาะ
เขาคิดจะใช้แค่พลังฝึกปรือของวิชาจริงแท้ฆ่าฟันครั้งใหญ่เพื่อแสดง ‘พรสวรรค์สะท้านโลก’ ของตนเองก่อน หลังจากดึงดูดความสนใจของระดับสูงในพรรคอาทิตย์วสันต์แล้ว เขาสมควรได้รับเลือกเป็นศิษย์อันดับแรกที่จะถูกส่งไปยังสำนักระดับบน เมื่อเป็นแบบนี้จะสามารถสัมผัสกับความลับทางระบบมรรคายุทธ์ของที่นี่ได้มากกว่าเดิม
ได้ยินมาว่าศิษย์อันดับหนึ่งในตอนแรกที่ทุกคนโปรดปรานคือหลานของผู้อาวุโสแห่งพรรคอาทิตย์วสันต์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ใครให้เขามาขวางทางตนเล่า ได้แต่ขอล่วงเกินแล้ว
เขาไม่อาจเสียเวลาอยู่ในระดับต่ำไปเรื่อยๆ ได้
ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ผู้นี้จะเป็นอุปสรรคต่อตนเองหรือไม่ ลู่เซิ่งไม่กลัว ถ้าขวางกัน แค่ฆ่าทิ้งก็พอแล้ว
……………………………………….