ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 325 วัดตราทมิฬ (1)
บทที่ 325 วัดตราทมิฬ (1)
“ชิงชิง?” เฟ่ยไป๋หลิงลุกขึ้นกวาดตามองรอบๆ แต่กลับไม่เห็นเงาของน้องสาว
“วิ่งเร็วจัง” นางกล่าวอย่างสงสัย
นางยืดเหยียดร่างแล้วเดินไปยังสถานที่ที่น้องสาวซ่อนตัวบ่อยที่สุดอย่างช้าๆ
ช่วงนี้นางรู้สึกว่าในตระกูลมีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง คนในตระกูลเริ่มไม่ชอบพูดคุย เวลาออกไปทำงานก็ประหยัดถ้อยคำ เพียงแต่ทำหน้าที่ได้สำเร็จตามลำดับขั้นตอน บรรยากาศในคฤหาสน์ก็หนักอึ้งอยู่บ้าง เป็นความรู้สึกมืดมนที่อธิบายไม่ถูก
อย่างเช่นวันนี้ ทั้งๆ ที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างไสวด้านนอก แต่ว่าในคฤหาสน์เหมือนกับมีไอหมอกขมุกขมัวครอบคลุมอยู่ ทำให้คนรู้สึกรู้สึกสติเลอะเลือน
“ชิงชิง?” เฟ่ยไป๋หลิงเดินไปถึงมุมหนึ่งแล้วชะโงกหน้าไปด้านหลังถังน้ำใหญ่
หลังถังน้ำว่างเปล่าไม่มีใคร
“ไม่อยู่นี่หรือ” นางเดินอย่างเชื่องช้า ไม่นานก็ไปถึงหน้ารูปสลักหินสีขาว
“ชิงชิง!” เฟ่ยไป๋หลิงชะโงกหน้ามองไปด้านหลังรูปสลัก
ยังคงไม่มีใคร
‘ไม่อยู่นี่เหมือนกัน’ นางเลิกคิ้ว วันนี้น้องสาวซ่อนตัวได้ดีทีเดียว
เอี๊ยด…เอี๊ยด…เอี๊ยด…
อยู่ๆ ก็มีเสียงโลหะเสียดสีกัน ดังมาจากส่วนลึกของสวนดอกไม้
เฟ่ยไป๋หลิงหยีตาเดินตามเสียงไป หลังจากเลี้ยวโค้งหลายรอบในสวนดอกไม้ ชิงช้าสีดำที่ขึ้นสนิมก็ปรากฏตรงหน้านาง
เฟ่ยชิงชิงนั่งอยู่บนชิงช้า กำลังแกว่งไกวชิงช้าไปมา
“ท่านพี่ ท่านเจอข้าแล้ว!” เฟ่ยชิงชิงยิ้มอ่อนหวาน ผมยาวที่นุ่มสลวยของนางถูกลมอ่อนๆ พัดจนปลิวไสวเบาๆ กลิ่นหอมที่เหมือนกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ กระจายออกมาจากร่างนาง
เฟ่ยไป๋หลิงยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหา
“ชิงชิงเจ้าแอบไปซื้อผงหอมอะไรมา ตัวหอมจัง”
“อย่างนั้นหรือ” เฟ่ยชิงชิงยิ้มอ่อนโยน บอกว่า “ชิงชิงไม่ได้ซื้อนะ ไม่เห็นมีกลิ่นอะไรเลย”
“เช่นนั้นหรือ” เฟ่ยไป๋หลิงยื่นมือไปเพื่อลูบผมยาวของน้องสาว
นึกไม่ถึงว่าน้องสาวจะกระโดดลงจากชิงช้า จากนั้นก็มุดเข้าไปในพุ่มดอกไม้
“ท่านพี่มาหาข้าสิ!” เสียงของนางออกห่างไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงฝีเท้าของรองเท้าหนังใบเล็ก
เฟ่ยไป๋หลิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ได้แต่ตามไป
นางตัดทะลุพุ่มดอกไม้ ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนวิ่งออกไปจากประตูสวนดอกไม้ ก็ออกจากสวนดอกไม้ติดตามไป
“ท่านพี่ ข้าจะไปหาอะไรดื่มที่ห้องครัว ท่านมาตามหาข้านะ” กระโปรงขาวของเฟ่ยชิงชิงหายไปตรงมุมกำแพงที่อยู่ไกลออกไป
เฟ่ยไป๋หลิงติดตามไปติดๆ
“อย่าวิ่งมั่วซั่วสิชิงชิง” นางรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง วันนี้ในบ้านเหมือนมีคนน้อยยิ่ง แม้จะเคยได้ยินลูกผู้พี่เล่าให้ฟังว่าทุกคนล้วนต้องไปรับผิดชอบการทดสอบคัดเลือกศิษย์คนใหม่ของแต่ละสำนัก ทว่าเหมือนแม้แต่ข้ารับใช้กับหญิงรับใช้ก็เห็นแค่ไม่กี่คน นี่ผิดปกติอยู่บ้าง
นางรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย ก่อนจะออกจากตัวลานที่บ้านหลักอยู่มาถึงเขตห้องครัวตามทิศทางของเสียง
“ชิงชิง?” นางเรียก
เขตครัวด้านในกำแพงไม่มีใคร กลิ่นฟืนจางๆ แผ่กระจายอยู่ในอากาศ
เฟ่ยไป๋หลิงเดินบนพื้นหญ้าที่เปื้อนเขม่าเล็กน้อย พลางสอดส่ายสายตา หมายจะค้นหาเงาร่างของน้องสาว แต่ไม่มีใครขานรับ เฟ่ยชิงชิงไม่ทราบว่าวิ่งไปไหนแล้ว
อยู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของเด็กดังมาเบาๆ นางตัดทะลุกำแพงลานบ้านไปตามเสียงแล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์ที่แปลกหน้ามากอีกแห่ง
นางไม่เคยมายังคฤหาสน์แห่งนี้ เหมือนจะเป็นอาณาเขตที่สาขาตระกูลอื่นๆ อาศัยอยู่ ในตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเฟ่ย ท่ามกลางคนในตระกูลมากกว่าพันคน คนที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนมีจำนวนไม่น้อย เฟ่ยไป๋หลิงอาศัยอยู่ในหนึ่งในเก้าเขตใหญ่ ขนาดญาติในเขตอาศัยของตัวเองยังไม่รู้จักไม่หมด นับประสาอะไรกับเขตอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอก
ในคฤหาสน์เย็นเยียบเปล่าเปลี่ยวกว่าเดิม ตลอดทางที่เดินมาอย่าว่าแต่ข้ารับใช้ แม้แต่เสียงนกเสียงแมลงก็ยังไม่ได้ยิน นี่ทำให้เฟ่ยไป๋หลิงเกิดความกลัวเล็กน้อย
นางเดินเลียบกำแพงลานบ้านไปหลายก้าว ไม่นานก็เห็นเด็กๆ หลายคนที่นั่งอยู่ตรงมุมลาน กำลังหัวเราะต่อกระซิกกันอยู่เบาๆ
นางผ่อนลมหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาพวกเด็กๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้ พอมีคนมาก ก็รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยกว่าเดิม
“สวัสดี พวกเจ้ากำลังเล่นอะไรกันอยู่หรือ พวกเจ้าเห็นเด็กผู้หญิงที่โตประมาณนี้ผ่านมาแถวนี้หรือไม่” เฟ่ยไป๋หลิงเข้าไปใกล้เล็กน้อยแล้วถามพวกเด็กๆ เสียงดัง ขณะเดียวกันก็ใช้มือแสดงส่วนสูงของน้องสาว
“เด็กผู้หญิงหรือ”
“เด็กผู้หญิงใช่หรือไม่”
“เด็กผู้หญิง?”
“เด็กผู้หญิงใช่หรือไม่”
พวกเด็กๆ ล้อมวงกัน บนใบหน้าของพวกเขามีรอยยิ้มสนุกสนาน มองดูเฟ่ยไป๋หลิงพร้อมๆ กันและส่งเสียงร้องทวนซ้ำไปซ้ำมา
“เด็กผู้หญิงหรือ”
“เด็กผู้หญิงใช่หรือไม่”
“เด็กผู้หญิงหรือ”
ครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงแล้วเสียงเล่า รอยยิ้มบนใบหน้าพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เสียงเองก็ไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกับเสียงที่บันทึกไว้แล้วกดเล่นไม่หยุด
พอเดินเข้าใกล้พวกเด็กๆ มากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็เหมือนกับแข็งทื่อ ตอนแรกยังสดใสเป็นธรรมชาติ แต่พอผ่านไปนานเข้าจะพบว่าสีหน้าของพวกเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ดวงตาหยักโค้ง มุมปากหยักยก ไม่ขยับเคลื่อนไหวเหมือนกับหยุดนิ่งไปอย่างไรอย่างนั้น
เฟ่ยไป๋หลิงเริ่มกลัวแล้ว ถอยหลังด้วยใบหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อย
ตุบ
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงรองเท้าหนังเหยียบลงบนพื้นดังเบาๆ มาจากที่ไกล
จากนั้นเสียงของพวกเด็กๆ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
“เด็กผู้หญิง?”
“เด็กผู้…”
“เด็ก…”
เสียงของพวกเขาดังสับสนปนเปกัน และตีกันไปมามากขึ้นเรื่อยๆ หลายๆ ครั้งเหมือนกับเสียงเอะอะโวยวายอันพิสดาร บางครั้งก็เหมือนกับเครื่องบันทึกเสียงที่ตัวแผ่นบันทึกเสียงเล่นติดขัด เริ่มได้รับการรบกวน
เฟ่ยไป๋หลิงลืมตาโต เริ่มฟังไม่เข้าใจแล้วว่าพวกเขาพูดอะไรอยู่ นางรู้สึกเหมือนหูของตัวเองเหมือนถูกเยื่อหนาชั้นหนึ่งคลุมไว้จนไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง เสียงของพวกเด็กๆ กระตุกเป็นระยะ อีกทั้งบางครั้งก็แหลมสูงบางครั้งก็ทุ้มต่ำ
ทันใดนั้นนางก็เห็นเด็กผู้หญิงผมสีดำสวมกระโปรงสีขาวคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านหลังเด็กคนหนึ่งในนี้
เด็กผู้หญิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยที่ผมยาวสีดำปิดคลุมใบหน้าของนางไว้ เฟ่ยไป๋หลิงสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าอีกฝ่ายกำลังมองตนอยู่
“ชิงชิง!” นางจดจำกระโปรงที่ชิงชิงผู้เป็นน้องสาวสวมได้ จึงรีบเข้าไปหมายจะคว้าตัวนางไว้
ทว่าชิงชิงเร็วกว่า หมุนตัวเดินไปยังประตูที่ใช้ออกจากตัวลาน ไม่นานก็หายไปในความมืดที่ขมุกขมัวด้านนอก
เฟ่ยไป๋หลิงคิดจะตามไป แต่ถูกเด็กๆ ขวางทางเอาไว้
“หลีกไปนะ!” นางร้อนใจแล้ว จึงยื่นมือไปผลักเด็กที่อยู่ด้านหน้า
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดก็คือ มือของนางทะลุไหล่ของเด็กคนนั้นไป เสียงของเด็กทุกคนเบาลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หายไปอย่างฉับพลัน
เฟ่ยไป๋หลิงมองดูรอบๆ อีกครั้ง ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีเด็ก มีแต่ใบไม้ที่ร่วงกองอยู่ทั่ว
นางถอยหลังหลายก้าวอย่างแตกตื่นหวาดกลัว จากนั้นก็พบว่าท้องฟ้ามืดลงตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ แสงจันทร์อันเย็นเยียบถูกชั้นเมฆบดบังไปมากกว่าครึ่ง สาดส่องออกมาเพียงเล็กน้อย
ทั่วทั้งลานรกร้างไร้ผู้คน มีแต่ตัวนางคนเดียว
“ชิงชิง!” เฟ่ยไป๋หลิงร้อนใจ เห็นได้ชัดว่าเกิดความผิดปกติขึ้นในคฤหาสน์ ทว่าตอนนี้ชิงชิงยังเล่นซ่อนแอบอยู่ เกิดว่านางเจออันตรายเข้าจะทำอย่างไร
นางไล่ตามไปยังทิศทางที่ชิงชิงเพิ่งหนีไปเมื่อครู่ พร้อมกับความร้อนรนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัดทะลุลานหลายแห่ง ผ่านสวนดอกไม้กับบึงน้ำอีกหลายที่ ในคฤหาสน์ไม่มีใครสักคนเดียว บางครั้งนางได้ยินเสียงดังมาจากกำแพงอีกด้าน เป็นเสียงคนคุยกัน แต่พอตนเดินไป กลับว่างเปล่า เหมือนกับพวกเขาจากไปพอดี
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้นางกลัวยิ่งกว่าเดิม ตามหาอยู่นาน ในที่สุดเฟ่ยไป๋หลิงก็กวาดตาแลซ้ายแลขวา ตัดสินใจวิ่งกลับทางเดิมเพื่อไปยังที่พักของตัวเอง
นางต้องตามหาบิดา ให้เขาสั่งคนตามหาน้องสาวกลับมา และต้องถามให้แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตระกูลแน่ เหตุใดจึงเหลือคนน้อยขนาดนี้
…
‘มีกลิ่นอายผิดปกติกำลังพลุ่งพล่าน…’
ลู่เซิ่งราดรดถังน้ำที่เย็นเยียบใส่ศีรษะของตัวเองอยู่ข้างบ่อน้ำ
ซ่า!
น้ำจากบ่อที่เย็นเยียบเสียดกระดูกไหลผ่านตัวเขา แสงจันทร์ส่องสะท้อนกายเนื้ออันแข็งแกร่งที่กำยำบิดเบี้ยวเหมือนกับรากไม้
โครงสร้างกล้ามเนื้อเหมือนกับเหล็กกล้า ลวดลายเล็กละเอียดในลักษณะตาข่ายที่เหมือนเส้นสีแดงนับไม่ถ้วนปกคลุมผิว แค่มองก็ทำให้คนหวาดกลัว
ลู่เซิ่งลูบไหล่ที่อยู่ในสภาพหยินโชติช่วงพลางมองไปยังทิศทางของนครเขต
ประสาทสัมผัสที่ปราดเปรียวถึงขีดสุดของเขา สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่ามีบางสิ่งกำลังหมุนวนในอากาศเหนือเมืองเมืองนี้ สิ่งนี้ไม่ใช่ปราณมารและไม่ใช่ปราณหยิน หรือกล่าวได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ภูตผีหรือมารปล่อยออกมา
หลังจากการทดสอบในตอนกลางวันจบลง ผู้อาวุโสของสำนักพันอาทิตย์ก็พาเขาเข้ามาในเรือนเล็กที่แยกตัวโดดเดี่ยวแห่งนี้
วันต่อไปจะต้องเข้าไปในเขตลับของสำนักเพื่อดำเนินการทดสอบรอบที่สอง
ลู่เซิ่งวางถังน้ำลง ตัวละครที่เขาแสดงอยู่ในตอนนี้คือศิษย์สายเลือดธรรมดาที่ออกมาจากภูเขาและได้ร่ำเรียนวิชาจริงแท้อันเป็นพื้นฐานไปแล้วส่วนหนึ่ง อาจเป็นลูกหลานของตระกูลขุนนางลึกลับ อาจเป็นคนรุ่นหลังที่มีสายเลือดตระกูลขุนนาง หรืออาจเป็นคนธรรมดาที่ถูกอาวุธเทพศัสตรามารยิงรังสีใส่โดยบังเอิญอย่างไม่ตั้งใจก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหน เขาก็ไม่ควรรู้เรื่องมากเกินไป พลังโดยรวมที่แสดงออกมาภายนอกเป็นขอบเขตพันธนาการระดับเอกะลักษณ์ นี่เป็นพรสวรรค์ที่ได้มาเพราะระดับพันธนาการ
ดังนั้นตอนที่เขาลงมือ จึงพยายามใช้กระบวนท่าอันเป็นพื้นฐานที่สุด เนื่องจากเขาไม่สมควรรู้จักกระบวนท่าอื่นๆ
เพียงแต่กลิ่นอายเมื่อครู่ทำให้ลู่เซิ่งสนใจอยู่บ้างจริงๆ
ไม่รู้ว่าทำไมกลิ่นอายนั้น ถึงทำให้เขานึกถึงประตูรากไม้ที่ได้เห็นบนลานกว้างทองคำในตอนนั้น
ลู่เซิ่งสวมเสื้อผ้าหลังอาบน้ำเสร็จ จากนั้นก็เข้าไปพักผ่อนในห้องนอน แต่ว่าจิตใจกลับจดจำตำแหน่งที่กลิ่นอายพลุ่งพล่านเมื่อครู่ไว้แล้ว
คืนหนึ่งผ่านไปอย่างเงียบเชียบ วันต่อมา เขาก็ถูกปลุกแต่เช้าตรู่
มีหญิงรับใช้เตรียมชุดเข้ารูปสีขาวเดินลายทองของสำนักพันอาทิตย์ตัวใหม่เอี่ยม ไว้ให้ลู่เซิ่งสวมใส่โดยเฉพาะ จากนั้นก็มีคนเตรียมอ่างพิเศษที่ใส่น้ำสมุนไพรบางส่วนเพื่อให้เขาชำระกาย
ต่อมาชายชราชื่อจางซื่อหลงซึ่งเป็นผู้อาวุโสของสำนักพันอาทิตย์ก็มาพาเขาขึ้นรถม้าไปยังวัดธูปหอมที่อยู่ในส่วนลึกของเขต
รถม้าที่มุ่งหน้าไปพร้อมกันมีอยู่ห้าคัน ลู่เซิ่งอยู่ในรถม้าคันแรก เขามองผ่านม่านรถกึ่งโปร่งแสงออกไปเห็นถนนด้านนอก มีฝูงชนมารออยู่บนถนนสองฟากทางจำนวนไม่น้อย
ฝูงชนส่วนใหญ่มาชมดูความคึกครื้น ยังมีไม่น้อยซุบซิบเบาๆ เหมือนกับรู้สถานการณ์บางอย่าง พากันมองขบวนรถด้วยสายตายำเกรง
“ขบวนรถของพวกเราเหมือนกับข้าราชการใหญ่ของราชสำนัก คนทั่วไปต้องหลบหลีกตอนเดินทาง ภาพแบบนี้กลับไม่เลว”
ลู่เซิ่งสัมผัสรถสี่คันด้านหลังอย่างละเอียด ล้วนมีชายชราคนหนึ่งกับคนหนุ่มคนสาวอยู่ด้วยกันเหมือนกับเขา
ผู้อาวุโสจางซื่อหลงยิ้ม
“นี่คือสิทธิพิเศษ แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของพวกเราเช่นกัน สำนักย่อยในเขตจันทราสารทของพวกเรา นอกจากรับผิดชอบคัดเลือกอัจฉริยะเข้าสาขาของสำนักแล้ว ยังมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในนครเขตด้วย”
……………………………………….