ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 342 วิชากับทาสรับใช้ (2)
บทที่ 342 วิชากับทาสรับใช้ (2)
“หอคอยวิญญาณจริงแท้หรือ” ลู่เซิ่งหรี่ตาเล็กน้อย “นั่นคืออะไรหรือขอรับ”
“หอคอยวิญญาณจริงแท้เป็นหอคอยขนาดใหญ่ที่หมุนด้วยความเร็วสูง กายเนื้อต้องแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งจึงจะสามารถเข้าไปฝึกฝนได้ มันไม่ได้มีสารกายที่เข้มข้นมากนัก สิ่งที่มีเพียงอย่างเดียวคือสามารถยืดเวลาให้ยาวนานขึ้นได้” ในน้ำเสียงของเฉินจิ้งจือมีความไม่ยินยอมและความปรารถนาอย่างรุนแรง
“ยืดเวลาให้ยาวนานขึ้นหรือ” ครั้งนี้ลู่เซิ่งตกใจจริงๆ แล้ว
“ถูกต้อง หนึ่งวันของด้านนอกเท่ากับสองวัน สามวัน หรือหนึ่งเดือนของด้านในหอคอยวิญญาณจริงแท้ ขอแค่กายเนื้อของเจ้าทนการหมุนด้วยความเร็วสูงได้ เจ้าก็จะสามารถฝึกฝนอยู่ด้านในได้ สามารถดึงระยะห่างของพลังฝึกปรือกับคนรุ่นเดียวกันให้กว้างขึ้นกว่าเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น สุดยอดอัจฉริยะจำนวนมากอาศัยสิ่งนี้ทะยานสู่ฟากฟ้า หอคอยวิญญาณจริงแท้ระดับต่ำสุดมีแค่ในระดับจังหวัดเท่านั้น” เฉินจิ้งจือถอนใจ “ตอนนั้นข้าใช้หอคอยวิญญาณจริงแท้เก้าหม่อนอันเป็นระดับต่ำสุดในการเลื่อนสู่ระดับปฐมปฐพี”
“ความเร็วของการหมุนหรือ” ลู่เซิ่งงงงัน
“นี่เป็นการออกแบบด้านการแปลงเวลาที่ว่ากันว่าเจ้าแห่งอาวุธวิญญาณจริงแท้เสนอออกมา ดูเหมือนจะหมายถึงความเร็วและเวลามีความสัมพันธ์แบบผกผัน ถ้าเจ้ามีเวลาว่าง เมื่อไปถึงสำนักระดับบนระดับจังหวัดแล้วก็ลองไปอ่านข้อมูลที่หอเก็บหนังสือดู” เฉินจิ้งจือสมกับเป็นยอดฝีมือระดับปฐมปฐพีที่เคยเข้าไปฝึกฝนในสำนักระดับบนระดับจังหวัดมาก่อน สายตากว้างไกลเหนือกว่าผู้เข้มแข็งของสำนักพันอาทิตย์คนอื่นๆ ที่ลู่เซิ่งรู้จักมาก
ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงว่าโลกใบนี้จะมีการศึกษาอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเวลาและความเร็ว แต่เมื่อลองพิจารณาดูให้ดีกลับพบว่ามีเหตุผลอยู่จริงๆ ยอดฝีมือของโลกใบนี้ต่างก็เหนือกว่าคนในโลกเดิม ไปถึงระดับเซียนที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ จึงสามารถสัมผัสกับทฤษฎีระดับนี้ได้ การสัมผัสด้วยตัวเองสมควรง่ายดายกว่าโลกเดิม
ถึงอย่างไรที่โลกเดิมก็ใช้การศึกษาวัตถุภายนอกมาดำเนินการคาดเดา
ลู่เซิ่งใคร่ครวญแวบเดียว ก่อนจะรีบพยักหน้าขานรับ
“จะออกเดินทางเมื่อไหร่ขอรับ”
“รอเบื้องบนส่งคำสั่งลงมา แล้วจะมีคนมารับส่งเอง อาจจะภายในสองเดือน เจ้าเตรียมตัวไว้ด้วย” เฉินจิ้งจือคำนวณเวลา “นอกจากนี้ ตัวเจ้าสมควรไม่ใช่คนของต้าอินกระมัง”
ลู่เซิ่งเงียบขรึม ไม่ได้บอกว่าใช่ และไม่ได้บอกว่าไม่ใช่
เฉินจิ้งจือยิ้ม “เจ้าอย่าคิดว่าสำนักพันอาทิตย์แย่เกินไปนัก เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดสำนักของพวกเราจึงเรียกว่าสำนักพันอาทิตย์”
“ไม่ทราบขอรับ…” ลู่เซิ่งตอบอย่างซื่อสัตย์
“หมายถึงสำนักที่ดวงอาทิตย์พันดวงจัดเรียงกัน ดุจมหาสมุทรรองรับร้อยธารา ครอบคลุมสรรพสิ่ง สำนักใหญ่ของสำนักพันอาทิตย์ถึงขั้นมียอดฝีมือซึ่งเป็นศิษย์ที่รับมาจากโลกภายนอก ขอแค่ไม่ได้มาจากทัพมารหรือโลกแห่งความเจ็บปวด ที่เหลือก็ไม่ต้องเป็นห่วง ขอแค่เจ้ามีคุณสมบัติ มีพลัง ทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา” เฉินจิ้งจือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งกลับเงียบงัน มาตรฐานและความเด็ดขาดของสำนักพันอาทิตย์อยู่เหนือความคาดหมายองเขา พอลองเปรียบเทียบกันดู เขาที่ซุกซ่อนพลังเข้าร่วมที่นี่ต่างหากที่ใจไม่ถึง
หากคำนวณดูจริงๆ ขอบเขตสูงสุดของระดับราชามารในสำนักใหญ่ระดับสุดยอดเช่นสำนักพันอาทิตย์ก็คือผู้อาวุโสที่ไม่เลวสักคนหนึ่ง ที่แห่งนี้มีเจ้าอริยะและศัสตราเทพคลั่งที่เทียบเท่ากับระดับจ้าวแห่งมารไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน ยิ่งอย่าว่าแต่เจ้าแห่งอาวุธที่สะกดทุกสิ่ง
เมื่อคำนวณอย่างละเอียด ทางด้านสำนักร้อยเส้นสายก็คือรูปแบบการฝึกฝนที่ลอกเลียนที่นี่เช่นกัน
พอนึกถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็คิดคลายการซ่อนเร้นพลังเล็กน้อย ถือว่าตัวเองเป็นศิษย์ธรรมดาที่กราบอาจารย์พร้อมวิชาก็ดี มิหนำซ้ำเมื่อมีหอคอยวิญญาณจริงแท้หลังไปถึงระดับจังหวัด ก็จะอำพรางจุดเด่นของตนที่ยกระดับอย่างรวดเร็วสุดขีดได้พอดี ขอแค่แสดงกายเนื้อที่เหี้ยมหาญมากพอ ก็จะได้รับการยืดเวลาในหอคอยวิญญาณจริงแท้
“เข้าใจแล้วหรือยัง” เฉินจิ้งจือมองลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“สรุปก็คือไม่ว่าเบื้องหลังของเจ้าจะเป็นอย่างไร ขอแค่เจ้ายังเป็นมนุษย์ สำนักพันอาทิตย์ของเราก็รับได้ แถมตอนนี้ใต้เท้าเชียนตู้ยังให้ความสำคัญกับเจ้าอีก ยังมีอะไรต้องกังวลอีกเล่า ขอแค่เจ้าสำนักใหญ่ไม่ออกปาก ด้วยฉากหลังของใต้เท้าเชียนตู้ เจ้าไม่ต้องปิดบังสิ่งใดเลย สามารถเปิดเผยตัวตนได้อย่างเต็มที่” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินจิ้งจือรู้อะไรบางอย่างจากการตรวจสอบ
“เข้าใจแล้วขอรับ ข้าแค่ซ่อนพลังไว้เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น” ลู่เซิ่งยิ้ม
“แล้วยังเป็นห่วงอะไรอีก” เฉินจิ้งจือหัวเราะฮ่าๆ “นอกจากนี้อย่าลืมไปสร้างความสัมพันธ์กับใต้เท้าท่านนั้นที่เขตถ่ายทอดความลับด้วยเล่า หลายปีมานี้คนเบื้องบนนึกว่านางจะไม่รับศิษย์อีกแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงได้รับความสนใจ”
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง
กระดาษภาพเร็วสุดขีด ทั้งสองสนทนากันไม่กี่นาที ก็ไปถึงทุ่งหญ้าสีชมพูที่งดงามแล้ว
อารามทรงสามเหลี่ยมหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งราบ
มองลงไปจากบนฟ้า อารามเป็นสีขาว มุมทั้งสามฝังกระเบื้องแก้วที่เหมือนกับนิลเอาไว้ ตรงกลางวาดภาพสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ ด้านในดวงอาทิตย์เป็นลวดลายเกลียวขนาดใหญ่
เฉินจิ้งจือควบคุมให้ม้วนภาพร่อนลงไปบนทุ่งราบสีขาวซึ่งอยู่ทางขวาของอาราม
มีคนสวมเสื้อคลุมสีขาวสิบกว่าคนรออยู่ตรงนั้น พอเห็นเฉินจิ้งจือลงมา ทุกคนก็โค้งตัวน้อยๆ เพื่อคำนับเขา
“เจ้าสำนัก ทางสำนักผูกวิญญาณตอบกลับมาแล้วขอรับ” ชายชราผมเงินที่ยืนอยู่ด้านหน้ากล่าวเสียงทุ้ม
“ข้าจะไปโถงประชุมทันที พวกเจ้าแจ้งเจ้าสำนักซวีกับเจ้าสำนักหยางก่อน” เฉินจิ้งจือกล่าวอย่างราบเรียบ เจ้าสำนักซวีกับเจ้าสำนักหยางคือรองเจ้าสำนักของสาขาย่อย
“ขอรับ” ชายชราถอยไป
เฉินจิ้งจือหันมาบอกสถานที่เก็บวิชาสำหรับฝึกเสริมกับลู่เซิ่ง
“ปกติแล้วสาขาย่อยของเขตจันทราสารทจะมีปรมาจารย์ช่าง ปรมาจารย์ลวดลายค่ายกล รวมถึงหมอสมุนไพรและแพทย์อยู่ไม่น้อย ถ้าเจ้ามีความต้องการทางด้านไหน ก็มาที่นี่ได้ทุกเวลา แน่นอนว่านี่เจ้าทำได้แค่คนเดียว ที่นี่ไม่รับคำสั่งจากคนนอก”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“เข้าใจแล้วขอรับ ขอบคุณเจ้าสำนักที่มาส่ง”
“ไปเถอะ หากเดินตามเส้นทางศิลาขาวจากตรงนี้ไป จะไปถึงลานกว้างในสำนักได้เอง ข้ามีธุระขอตัวก่อน” เฉินจิ้งจือพาคนอื่นๆ จากไปหลังอธิบายเสร็จ
ผู้ต้อนรับที่เหลืออยู่เดินมาหาลู่เซ่งหลังจากน้อมส่งเจ้าสำนักไปแล้ว
“ศิษย์จริงแท้ลู่ ได้ยินชื่อเสียงมานาน ต้องการผู้นำทางหรือไม่” สตรีผมยาวสีแดงคนหนึ่งเดินเข้ามากล่าวอย่างราบเรียบ
“ไม่ต้อง ขอข้าดูคนเดียวก็พอ” ลู่เซิ่งปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
“ตกลง ข้าคือผู้จัดการเรื่องราวของที่นี่ สามารถมาขอคำร้องจุดร่อนลงกับเส้นทางการบินที่ข้าได้” สตรีผมแดงแนะนำตัวอย่างสงบนิ่ง
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทุกคนต่างแยกย้าย ไม่นานก็เหลือเขาคนเดียว รอบๆ นอกจากองครักษ์แล้ว ก็อ้างว้างไม่มีใครอีก
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ
นอกจากอารามสีขาวขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า อีกสามทิศทางล้วนเป็นทุ่งหญ้าสีชมพูที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ลมเย็นส่งเสียงครางดังฮือๆ พัดให้ธงที่ปักอยู่รอบๆ ปลิวไสวพร้อมกับส่งเสียงเสนาะใส
ลู่เซิ่งมองเท้า อิฐศิลาขาวที่ใช้ปูพื้นเหมือนไม่ใช่ของธรรมดาเช่นกัน มันแข็งกว่าอิฐทั่วไป แรงดีดสะท้อนที่แข็งแกร่งยามเหยียบลงไปเหมือนกับเหยียบลงบนพื้นยาง
เขาเดินไปตามเส้นทางศิลาขาว ก้าวเท้าก้าวเดียวเท่ากับระยะทางหลายสิบหมี่ เดินสิบกว่าก้าวก็ไปถึงหน้าประตูอาราม
องครักษ์สวมเกราะดำสองคนที่เฝ้าประตูถือง้าวยาว กวาดมองสัญลักษณ์ศิษย์จริงแท้บนตัวลู่เซิ่ง ก่อนจะโค้งตัวให้เขาน้อยๆ เพียงแต่ยังคงไม่พูดอะไร
ลู่เซิ่งเดินเข้าซุ้มประตู ตัดทะลุอุโมงค์ยาวสิบกว่าหมี่ ในที่สุดก็ไปถึงลานกว้างของสำนักพันอาทิตย์อันเป็นสาขาย่อยในเขตจันทราสารท
ลานกว้างว่างเปลาและยังเย็นเยียบถึงขีดสุด นอกจากองครักษ์แล้ว ก็เห็นแค่คนไม่กี่คนกำลังสนทนากันอยู่ใต้เสาศิลาสูงใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างเลือนราง เสาศิลาสูงสิบกว่าหมี่ เทียบกันแล้ว เงาคนไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย
ลานกว้างทรงสามเหลี่ยมมีประตูใหญ่ทั้งหมดหกบาน ทุกบานสูงสิบกว่าหมี่และกว้างห้าหกหมี่ บานประตูอ้าอยู่ จึงเห็นโคมตะเกียงสีขาวที่แขวนเรียงเข้าไปด้านในได้หลายแถว
ประติมากรรมรูปฝ่ามือสีดำขนาดมหึมาตั้งอยู่กลางลานกว้าง กลางฝ่ามืออ้าออก ดอกไม้สีขาวที่เหมือนกับดอกบัวลอยอยู่ด้านบน และกำลังเปล่งแสงสีขาวที่สว่างไสวและอ่อนโยน
ลู่เซิ่งมองสัญลักษณ์ด้านบนประตูใหญ่หกบานตามคำบอกของเจ้าสำนักเฉินจิ้งจือ ไม่นานก็เจอสัญลักษณ์ของหอเก็บหนังสือ เขาออกแรงที่เท้าเล็กน้อย ร่างกายก็ข้ามระยะทางหลายร้อยหมี่อย่างแผ่วพลิ้วราวภูตพราย แล้วพุ่งเข้าไปในประตูใหญ่บานที่สองทางขวามือ
ลู่เซิ่งตัดทะลุทางเชื่อมที่กว้างยาว บางครั้งก็เจอศิษย์สำนักที่เข้าๆ ออกๆ แต่ทุกคนล้วนใช้วิชาตัวเบาหรือท่าเท้าทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีความเร็วสูงยิ่ง
นี่ทำให้ทางเชื่อมที่สูงถึงสิบกว่าหมี่โล่งไร้ผู้คนเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งเจอเงาคน ทว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว จึงดูเปล่าเปลี่ยวกว่าเดิม
หลังจากตัดทะลุทางเชื่อม ในทีสุดลู่เซิ่งก็มาถึงหอเก็บหนังสือที่เจ้าสำนักเฉินพูดถึง
นั่นเป็นชั้นหนังสือขนาดมหึมาที่อยู่สุดปลายทางเชื่อม
ชั้นหนังสือสีดำขนาดมหึมาที่สูงเกือบสามสิบกว่าหมี่
ทุกๆ ช่องบนชั้นหนังสือสูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง หนังสือแต่ละเล่มที่วางอยู่ด้านบนมีขนาดใหญ่เท่ากับผู้ใหญ่
ตอนที่ลู่เซิ่งมาถึง ยังสามารถเห็นศิษย์จำนวนไม่น้อยกำลังเดินเลือกหนังสืออยู่บนชั้นหนังสือได้
เขาสะท้อนใจเล็กน้อย บนโลกเดิมเกรงว่าจะไม่มีทางได้เห็นชั้นหนังสือที่ใหญ่ขนาดนี้
พอได้สติกลับมา เขาก็มองไปยังป้ายจำแนกประเภทที่แขวนอยู่ทางซ้ายของชั้นหนังสือ แล้วก็เจอประเภทวิชาจริงแท้ด้านบนนั้นอย่างรวดเร็ว
วิชาจริงแท้ตั้งอยู่บนจุดยอดสุดของชั้นหนังสือ
ลู่เซิ่งสะกิดเท้าเบาๆ ร่างก็พุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะยิงปราณจริงแท้ไปด้านหลังเพื่อปรับทิศทางกลางอากาศ ไม่นานก็ทิ้งตัวลงบนชั้นที่หกซึ่งอยู่สูงสุดได้อย่างง่ายดาย
บนชั้นหนังสือเดิมทีมีคนน้อยอยู่แล้ว ที่นี่เป็นที่ที่มีแต่ศิษย์จริงแท้กับศิษย์ภายในส่วนน้อยเท่านั้นที่มีสิทธิ์มา บวกกับอาณาเขตกว้างใหญ่ แถมชั้นหนังสือก็ยังใหญ่โต คนที่แยกไปในแต่ละชั้นจึงมีน้อยกว่าเดิม
ลู่เซิ่งกระโดดไปด้านหลัง รอบๆ นอกจากเขาแล้วก็มีคนแค่คนเดียว
“ลู่เซิ่งศิษย์น้องลู่หรือ” คนผู้นั้นเป็นสตรีที่มัดผมหางม้าสีดำ พอได้ยินเสียงก็หันมามอง ก่อนจะส่งเสียงอย่างแปลกใจ
“ท่านคือ…” ลู่เซิ่งมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ เพราะเขาไม่รู้จัก
“อวิ๋นว่านเฟย เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่อวิ๋นก็ได้” สตรีนางนี้มีรูปร่างหน้าตาน่ามอง บนแก้มขวาใกล้หางตามีไฝเสน่ห์เม็ดหนึ่ง ให้ความรู้สึกอ่อนโยนพริ้มเพรา
“ที่แท้เป็นผู้อาวุโสอวิ๋นนี่เอง” ลู่เซิ่งเคยได้ยินผู้อาวุโสจางซื่อหลงพูดถึง ตอนนั้นผู้อาวุโสจางตั้งใจจะพาเขาไปเยี่ยมผู้อาวุโสอวิ๋นเพื่อซื้อทาสและข้ารับใช้ที่มีคุณสมบัติไม่เลวส่วนหนึ่ง
ในเขตจันทราสารท ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลค้ามนุษย์อย่างสมคำร่ำลือ หลักๆ แล้วขายคนจากโลกด้านนอกที่วัดตราทมิฬ และจากคนที่ลักพาตัวมาจากประเทศอื่นๆ และอวิ๋นว่านเฟยก็เป็นหนึ่งในบรรพชนซึ่งเป็นเสาค้ำยันตระกูลอวิ๋น
“เหตุใดจึงเกรงใจเช่นนี้ ศิษย์น้องลู่มีอนาคตกว้างไกล เป็นหัวกะทิที่จะเข้าสำนักระดับบนระดับจังหวัด เผอิญที่ข้ามีข้ารับใช้กับทาสที่เหมาะกับศิษย์น้องอยู่สองสามคนพอดี ไม่ทราบศิษย์น้องมีความต้องการหรือไม่” อวิ๋นหว่านเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ?” พอพูดถึงเรื่องนี้ ลู่เซิ่งก็ฉุกใจขึ้นได้ ตอนนี้ข้างตัวเขาไม่มีคนให้ใช้งาน ต้องทำทุกเรื่องด้วยตัวเอง ข้ารับใช้เองก็ยังกำลังเดินทางอยู่
ตัวอยู่ในต้าอิน เกิดว่าระหว่างเขาฝึกฝนอยู่ พวกคนจากสำนักมารกำเนิดมาถึงแล้วหาเขาไม่เจอ ก็จะยุ่งยากเหมือนกัน
พอคิดแบบนี้ เขาก็จำเป็นต้องใช้คนส่วนหนึ่งคอยช่วยเขาจับตาดูการเคลื่อนไหวในโลกภายนอกจริงๆ
“เอาแบบนี้ ถ้าหากศิษย์พี่อวิ๋นมีเวลาว่าง อีกประเดี๋ยวร่วมทางกับผู้แซ่ลู่ไปดูคนที่เหมาะสม ข้าต้องการทาสที่รับประกันความซื่อสัตย์ได้” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้ม
“ไม่มีปัญหา! รับรองว่าศิษย์น้องต้องพอใจแน่” อวิ๋นว่านเฟยยืนยัน
……………………………………….