ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 355 สำนักพันอาทิตย์แห่งนครจังหวัด (1)
บทที่ 355 สำนักพันอาทิตย์แห่งนครจังหวัด (1)
“อาจารย์ทำงานอยู่หรือไม่” จางซื่อหลงเดินเข้าไปถามพนักงานคนนั้นเบาๆ
“อยู่ขอรับๆ ศิษย์พี่จางไม่ได้มานานทีเดียว กลับกลายเป็นแขกหายากแล้ว” พอพนักงานผู้นั้นเงยหน้าเห็นเขา ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคุ้นเคย ก่อนจะโยนผ้าขี้ริ้วทิ้ง และพาคนทั้งสองเดินเข้าโถงด้านในของร้าน
ด้านในโถง ชายชราจนแทบเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกคนหนึ่งกำลังเอนอยู่บนตั่ง พร้อมกับสูบยาสูบอย่างเกียจคร้าน
ครั้นชายชราเห็นผู้ที่มาหาเป็นจางซื่อหลง ท่วงท่าที่เดิมกำลังจะลุกขึ้นก็นอนกลับไปใหม่
“เสี่ยวหลงนี่เอง นึกว่าจะเป็น…” เขาพึมพำ ไม่ทราบว่าพูดอะไรอยู่
“อาจารย์นึกว่าเป็นพวกทวงหนี้น่ะขอรับ” พนักงานด้านข้างกล่าวอย่างจนใจ
จางซื่อหลงหมดคำพูด
“ศิษย์จางซื่อหลง คารวะอาจารย์” เขาคุกเข่ากราบชายชราอย่างเป็นทางการ
“ไม่เป็นไร เสี่ยวหลงเอ๋ย ช่วงนี้การเงินขัดสนไปหน่อย…ถ้าเจ้าสะดวก…” ชายชราเอ่ยอย่างลังเล ไม่ได้กล่าวคำพูดต่อจากนั้นต่อ
เป็นอย่างที่คาด จางซื่อหลงรีบพูด “ศิษย์มีตั๋วทองคำมารบางส่วนบนตัว เพียงแต่ไม่เยอะเท่าไหร่” เขาหยิบตั๋วทองคำมารปึกหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปส่งให้
“หือ…น้อยไปหน่อยนะ” ชายชรารับตั๋วเงินมา ไม่พอใจเล็กน้อย “ว่ามา เจ้ามีเรื่องใด”
ตอนนี้เขามองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหลังจางซื่อหลง คล้ายกับตอนนี้ถึงเพิ่งสังเกตเห็นคนหนุ่มที่ติดตามเข้ามาด้วยผู้นี้
“คืออย่างนี้” จางซื่อหลงเรียบเรียงถ้อยคำ “ผู้เยาว์ของข้าผู้นี้เผลอไปล่วงเกินตระกูลหยวนในนครจังหวัดเข้า สังหารหยวนอิ่นเซียวประมุขพรรคของพรรคพยัคฆ์คลั่งไป…”
“หยวนอิ่นเซียว พรรคพยัคฆ์คลั่งหรือ” ชายชราใคร่ครวญ “ปัญหาธรรมดาเจ้าคงไม่เอามาฝากข้า เอาแบบนี้ อีกประเดี๋ยวข้าจะสืบข่าวมาให้เจ้า ตระกูลหยวนหรือ ยุ่งยากอยู่บ้าง มีหยวนเฉิงเต้าเป็นผู้อาวุโสจังหวัดของสำนักผูกวิญญาณ หยวนอิ่นเซียวที่พวกเจ้าฆ่ามีความสัมพันธ์ใดกับเขาเล่า”
“เป็นน้องชายของเขาขอรับ”
“…” ยาสูบในมือชายชราชะงัก เขาวางกล้องยาสูบแล้วมองสองคนตรงหน้าอย่างล้ำลึก
“…”
“เรื่องนี้…”
“อาจารย์…ช่วยคิดหาวิธีทีเถอะขอรับ!” จางซื่อหลงโค้งตัวถึงพื้น “ผู้เยาว์คนนี้ของข้าเป็นศิษย์ที่ผู้อาวุโสสำนักในตำนานท่านนั้นเลือก เขามีอนาคตยาวไกล ไม่อาจถูกกำจัดทิ้งที่นี่”
“พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าจะคิดหาวิธีดู…เรื่องนี้ ตึงมือมาก ตอนดื่มสุราเมื่อก่อนหน้านี้ ข้าเคยเห็นหยวนเฉิงเต้าอยู่ไกลๆ แต่มองไม่ชัด” ชายชราส่ายหน้า และกล่าวพลางขมวดคิ้ว “เสี่ยวหลง เรื่องนี้เจ้าละไว้ก่อน อยู่กับข้าสักระยะ ให้ผู้เยาว์ของเจ้าไปรายงานตัว ต้องดูก่อนว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอย่างไร”
จางซื่อหลงได้ยินพลันงงงัน ความหมายในคำพูดของอาจารย์แสดงให้เห็นว่าไม่มีความสามารถ สามารถปกป้องเขาได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่ลู่เซิ่งอย่าฝันถึง
มิหนำซ้ำจากคำพูดของอาจารย์ เกรงว่าถ้าหากหยวนเฉิงเต้าแก้แค้น แม้แต่เขาก็มีอันตรายไปด้วยเหมือนกัน
“เช่นนี้ก็ดี” ลู่เซิ่งยิ้ม ทราบว่าชายชราขับไล่แล้ว เขาเองก็ไม่เสียเวลา ประสานมือ “ผู้เฒ่าจางขอฝากท่านแล้ว”
เขาไม่ได้รำคาญวิธีการจัดการของจางซื่อหลง แต่เป็นเพราะติดที่ความสัมพันธ์ จึงควบคุมตัวเองมาตลอด ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขา ยังต้องเกรงนั่นกลัวนี่อีกหรือ
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” ชายชราพยักหน้า สายตาที่มองลู่เซิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อย่างนั้น ผู้เฒ่าจาง ผู้อาวุโส ข้าขอตัวก่อน” ลู่เซิ่งประสานมือคำนับอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวออกจากโถงด้านในโดยไม่รอให้จางซื่อหลงตั้งสติ จากนั้นก็โคจรปราณจริงแท้พุ่งออกจากร้านไป
เขามองออกว่าคนที่ฆ่าไป มีขุมกำลังกับเบื้องหลังแข็งแกร่งมาก แม้แต่อาจารย์ของผู้อาวุโสจางซื่อหลงก็ยังลำบากใจ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีความคิดจะช่วยเหลือ เขาก็คร้านจะเอาหน้าอุ่นไปแนบกับก้นเย็น[1]
หลังออกจากร้านมา ลู่เซิ่งก็เร่งความเร็วเดินเล่นบนถนน ไม่นานก็กลับถึงที่ที่เข้ามาเมื่อก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ถามตำแหน่งวิหารจัดการเรื่องราวสำหรับรายงานตัวจากพวกศิษย์สำนักพันอาทิตย์ที่เฝ้ายามอยู่ แล้วมุ่งไปยังที่หมายทันที
วิหารจัดการเรื่องราวตั้งอยู่ตรงกลางเมืองพันอาทิตย์ เป็นลานในลักษณะเกือกม้า ตอนลู่เซิ่งมาถึง ตรงประตูวิหารจัดการเรื่องราวก็มีคนอยู่ไม่น้อยแล้ว เสื้อผ้าที่สวมใส่มีอยู่ทุกรูปแบบ แสดงให้เห็นว่าล้วนไม่ใช่ศิษย์ในท้องที่ คาดว่าคนส่วนใหญ่คงเป็นศิษย์จากสาขาย่อยที่มาจากสถานที่อื่นเหมือนกับเขา
ลู่เซิ่งกวาดตามองดู แล้วเห็นคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่เครื่องแบบเหมือนมาจากเขตจันทราสารทในฝูงชนทันที จึงรู้ว่ามาจากที่เดียวกัน เลยเข้าใกล้คนกลุ่มนั้น
“เพิ่งมาหรือ” บุรุษหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งทักทายลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้ม
“เพิ่งมาถึงวันนี้” ลู่เซิ่งพยักหน้า “พวกท่านคือ? มารวมตัวด้านนอกวิหารจัดการเรื่องราวเพราะอะไรหรือ”
“ตรวจสอบคุณสมบัติน่ะ เข้าไปทีละห้าคน ถือโอกาสส่งภารกิจด้วย ท่านมาจากเขตรากใบกระมัง” อีกฝ่ายคาดเดา
“ไม่ใช่ ข้ามาจากเขตจันทราสารท” ลู่เซิ่งส่ายศีรษะ
“เขตจันทราสารทยังมาไม่ถึงอีกหรือ” บุรุษเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอแนะนำตัว ข้าชื่อเฉินจินเทียน ชื่อรองเวิ่นจิ่ว แต่ไม่ใช่คนใหม่หรอก สหายท่านเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไหมเล่า อยากให้ข้าเป็นมัคคุเทศก์หรือไม่ ข้าคุ้นเคยกับทุกภารกิจน้อยใหญ่ของสำนักพันอาทิตย์ดี” เขาหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับหยิบของสิ่งหนึ่งที่เหมือนแผนที่ออกมาจากในแขนเสื้อ
“นี่คือแผนที่ทางการ ทำสัญลักษณ์สถานที่ทั้งหมดที่ต้องให้ความสนใจในนครจังหวัดแห่งนี้ สถานที่ไหนพวกเราเคลื่อนไหวได้อย่างปลอดภัย สถานที่ไหนอาจเจอปัญหา สถานที่ไหนเป็นเขตอันตราย ล้วนมีทั้งหมด เป็นอย่างไร ต้องการสักฉบับหรือไม่ ขอแค่หนึ่งทองคำมารเท่านั้น”
ลู่เซิ่งพลันเข้าใจ นึกอยู่แล้วว่าคนผู้นี้เข้ามาทักทายทั้งๆ ที่ไม่มีธุระเพราะอะไร ที่แท้ก็ทำการค้าแบบนี้นี่เอง
“อยากได้นั้นอยากได้ จนปัญญาที่ขัดสนเงินทอง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก” เฉินจินเทียนโบกมือ “ศิษย์สำนักระดับจังหวัดเช่นพวกเราล้วนเป็นบุคคลระดับอัจฉริยะ เข้ามาฝึกฝนจากหลากหลายสถานที่ คนไหนไม่ใช่ผู้โดดเด่นในพื้นที่บ้าง การหาทองคำมารไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย”
“พูดถูกแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“จะว่าไป คนที่ดูเข้าท่าในหมู่ลูกศิษย์จากสาขาย่อยในเที่ยวนี้ไม่มากเท่าไหร่ สองสามคนเองกระมัง แย่ลงเรื่อยๆ แล้ว” เฉินจินเทียนกล่าวอย่างสะท้อนใจ
ลู่เซิ่งมองด้านหน้า มีคนสิบกว่าคนเข้าแถวอยู่ จึงขยับไปด้านหน้าเพื่อเข้าแถวด้วย “สหายเฉินมีพลังฝึกปรือไม่เลว เหตุใดจึงยอมเดินทางมาทำการค้าเช่นนี้” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉินจินเทียนได้ยินก็หัวเราะเสียงฝืดเฝือ “สหายท่านไม่รู้ว่าสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์มีค่าใช้จ่ายขนาดไหน ยังไม่พูดถึงหอคอยวิญญาณจริงแท้ซึ่งเป็นที่ล้างผลาญเงิน ยังมีลานฝึกวิญญาณ โรงเก็บวิชาลับ หอดวงดาวเก้ามังกรอีก ทุกที่ต้องใช้เงินทั้งนั้น อยู่ที่นี่มีทองคำมารมากขนาดไหนก็ไม่ถือว่าเยอะ”
“ไม่ใช่ว่าขอแค่ตั้งใจฝึกก็พอหรอกหรือ” ลู่เซิ่งงงงัน ศิษย์ระดับจังหวัดใช้ชีวิตลำบากลำบนไปหน่อยกระมัง
“ฝึกนั้นทำได้ แต่ท่านอยากติดอาวุธรึเปล่าเล่า ดังนั้นอย่างน้อยก็ต้องไปหอดวงดาวเก้ามังกร แถมวิชาลับรักษาชีวิตยังมีการสับเปลี่ยนตลอดเวลา วิชาลับที่ท่านเรียนจะต้องคอยจับตาดูวิชาลับที่โผล่มาใหม่ด้วย เกิดพบว่ามีวิชาลับที่ศึกษาขึ้นมาเพื่อกดข่มท่านโดยเฉพาะ ท่านอยากได้วิธีรับมือรึเปล่าเล่า”
ครั้นเฉินจินเทียนพูดถึงเรื่องนี้ก็ผุดสีหน้าหน่ายใจ
“จากนั้นก็เป็นลานฝึกวิญญาณ หากท่านไม่ทำความเคยชินกับมารและสัตว์ประหลาดชนิดใหม่ๆ ที่เลียนแบบทัพมารและโลกด้านนอกมา เกิดว่าเจออาวุธใหม่และสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นในพิภพมารแล้วท่านถูกฆ่าตายขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่โทษที่ท่านอายุสั้นแล้ว ท่านควรจะรู้ว่าถ้าท่านเจออาวุธที่ไม่สนใจการป้องกันทางวัตถุ ได้แต่ต้องใช้ปราณจริงแท้สู้ด้วย อย่างดาบเงามาร แต่ไม่ทราบวิธีรับมือ แล้วเข้าต่อสู้โดยระเบิดปราณจริงแท้ทั้งหมดเพื่อเสริมพลังป้องกัน สุดท้ายโดนดาบเงามารฟันเข้าใส่ ทว่าในตัวท่านไม่มีปราณจริงแท้คอยป้องกัน อย่างนั้นก็เรียบร้อย ท่านอย่าโทษตัวเองที่ตายอย่างอัปยศเลย…”
เฉินจินเทียนพึมพำตัดพ้อมากมาย
“โลกใบนี้ไม่ใช่แค่กักตนฝึกฝนก็จบ ความจริงสำนักพันอาทิตย์ของพวกเรายังดี พวกเรามีเงิน อาศัยอุปรกรณ์และของขลังดีๆ รับมือ แต่พวกสำนักซ่อนธาตุบ้านนอกได้แต่กระอักเลือดเสี่ยงชีวิตทุกวัน หากไม่ไหวก็ตาย อัตราการตายพุ่งไปถึงห้าส่วนทีเดียว! ไหนเลยมีอัตรารอดชีวิตเก้าส่วนเหมือนพวกเรา ตอนต่อสู้ก็โยนค่ายกลอักขระชั่วพริบตาไปก่อน จากนั้นก็ปักธงค่ายกล บวกกับเอาของขลังสำหรับโจมตีกับของขลังสำหรับป้องกันออกมาค้ำ รวมถึงอัญเชิญข้ารับใช้มา ถ้าทำได้ก็เพิ่มวิชาลับเข้าไปอีกนิดหน่อย ทว่าหากเป็นแบบนี้แล้วยังเกิดเรื่องอีก ท่านก็คงโชคร้ายเกินไปที่เจอตัวประหลาดที่เหนือกว่าตัวเองหลายระดับเข้า”
ลู่เซิ่งได้ยินก็งุนงงเล็กน้อย สำนักพันอาทิตย์ระดับจังหวัดเป็นคนละแบบโดยสิ้นเชิงกับสาขาย่อยเมื่อก่อนหน้านี้
ความเกียจคร้านมากมายที่ได้เห็นตอนมาถึง ไปจนตลอดท่าทีขี้เกียจของอาจารย์ของจางซื่อหลง และภาพที่เฉินจินเทียน ตรงหน้าบรรยาย
สำนักพันอาทิตย์นี้เป็นสถานที่ล้างผลาญ และเป็นสำนักที่พวกคนรวยจะเลือกเป็นอันดับแรก
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน ในที่สุดก็ถึงแถวห้าคนของลู่เซิ่งและเฉินจินเทียนแล้ว
ลู่เซิ่งต่อแถวเข้าสำนัก ด้านในเป็นโถงเล็กที่นับว่ากว้างขวาง
บุรุษหนุ่มใส่เสื้อคลุมสีเหลืองและสวมกวนทรงสูงนั่งอยู่หลังโต๊ะหยกขาวตัวยาวด้วยใบหน้าหงุดหงิด กำลังเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย
“ลู่เสียง เฉินจินเทียน เยว่ชิงเผิง เยว่ชิงอิง ลู่เซิ่ง” บุรุษเสื้อคลุมสีเหลืองบันทึกชื่อทั้งห้าคน
“เขียนบ้านเกิด พลังฝึกปรือ อัตราความสำเร็จของภารกิจในโลกด้านนอก อายุ และความถนัดลงตรงนี้” บุรุษส่งกระดาษแผ่นหนึ่งกับพู่กันด้ามหนึ่งให้ทุกคน และบอกให้คนทั้งห้าเขียน
“นอกจากนี้ทุกคนต้องจ่ายหนึ่งพันทองคำมารเป็นค่าสนับสนุนสำนักด้วย”
“หา!?”
ทุกคนต่างอึ้งไป
“สองสามวันก่อนหน้านี้เพิ่งจ่ายค่าก่อสร้างพื้นฐานไปไม่ใช่หรือ!” เฉินจินเทียนร้องเสียงดัง
“เจ้าพูดว่าสองสามวันก่อนก็ถูกแล้วนี่ วันนี้คือวันนี้ ตอนนี้คือตอนนี้ พวกเจ้าอยากจะทดสอบหรือไม่ ถ้าอยากก็รีบจ่ายมา” บุรุษเสื้อคลุมสีเหลืองกล่าวอย่างหงุดหงิด
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ยังไม่ทันเข้าสำนักก็มองออกแล้วว่าสำนักพันอาทิตย์ของที่นี่เหมือนจะเหลวแหลกมาก ไม่ได้เป็นระเบียบเหมือนกับทางเขตจันทราสารท
“ก็ได้…” เฉินจินเทียนจนปัญญา อยู่ใต้ชายคาคนอื่นจำเป็นต้องควักเงิน ได้แต่ทำตามกฎ ค้นอยู่นานสองนานค่อยนำตั๋วทองคำมารใบหนึ่งที่มีมูลค่าหนึ่งพันทองคำมารออกมา
พอเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขา ก็รู้แล้วว่านี่เป็นเงินมหาศาลสำหรับเขา
ลู่เซิ่งจ่ายหนึ่งพันทองคำมารอย่างว่าง่าย ยังดีที่ยืมเงินมาจากผู้เฒ่าจาง ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาคงจ่ายไม่ไหว
อีกสามคนพากันจ่ายเงินด้วยใบหน้าไม่เต็มใจ
หนึ่งพันทองคำมารไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ สามารถซื้อเศษอาวุธเทพที่แย่ที่สุดได้ แม้ว่าคนที่มาสำนักพันอาทิตย์ระดับจังหวัดได้ ล้วนเป็นศิษย์ระดับสุดยอดจากแต่ละสถานที่ แต่ต่อให้มีเงินอย่างไรก็จ่ายขนาดนี้ไม่ไหว
หลังจากทั้งห้าคนจ่ายเงินเสร็จแล้ว ท่าทีของบุรุษเสื้อคลุมสีเหลืองก็เป็นมิตรขึ้นมาก
“พวกเจ้าอย่าโทษที่สำนักต้องการเงิน นี่ทำอะไรไม่ได้ อัตรารอดชีวิตเก้าส่วนจากการต่อสู้กับพิภพมารของสำนักพันอาทิตย์ได้มาอย่างไร ยังไม่ใช่เพราะอาศัยค่ายกลใหญ่อย่างค่ายกลสหัสสุริยะอันธการอีกหรือ ค่ายกลนี้กางไปหนึ่งวันต้องใช้ทรัพยากรขนาดไหนกัน ตอนนี้พวกเจ้าจ่ายเงินมาก ภายภาคหน้าจะปลอดภัยขึ้น”
คนทั้งห้าย่อมไม่ใช่คนที่หลอกง่าย ล้วนไม่สะทกสะท้าน พวกเขากรอกแบบสอบถาม จ่ายเงิน แล้วก็ได้รับการพาเข้าไปในตำหนักใหญ่ด้วยกัน
……………………………………….
[1] เอาหน้าอุ่นไปแนบกับก้นเย็น หมายถึง ทำตัวเป็นมิตรกับคนเย็นชา