ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 356 สำนักพันอาทิตย์แห่งนครจังหวัด (2)
บทที่ 356 สำนักพันอาทิตย์แห่งนครจังหวัด (2)
ตำหนักใหญ่อยู่อีกด้านของประตูใหญ่ มีห้องห้าห้อง บนประตูสลักตัวอักษรตัวใหญ่ไว้ห้าตัว
‘ฟ้า ดิน คน ผี เทพ’
ประตูใหญ่ห้าบานเป็นสีน้ำเงิน เหลือง ขาว ดำ ทองตามลำดับ
บุรุษสวมเสื้อคลุมสีเหลือง ถือแบบสอบถามที่เขียนเรียบร้อยแล้ว เดินไปพลาง อ่านเนื้อหาด้านบนไปพลาง
“ยังไม่ได้ทำภารกิจกระมัง อย่าลืมโคจรปราณจริงแท้ตอนเข้าประตูขาวด้วย หลังใช้ปราณจริงแท้หมดแล้วจงถอยออกมา อย่าได้อดทน ไม่มีประโยชน์ นอกจากจะลดคะแนนประเมินก็ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย”
“เข้าใจแล้ว” ทุกคนพากันพยักหน้า
มีแต่ลู่เซิ่งคนเดียวที่ไม่ส่งเสียง หากแต่สงสัยเล็กน้อย
“ถ้าเข้าใจแล้วก็เข้าไปเถอะ” บุรุษสวมเสื้อคลุมสีเหลืองชี้ประตูตรงกลางพลางกล่าวอย่างหงุดหงิด
คนทั้งสี่ค่อยทยอยเดินเข้าไปในประตูที่เขียนคำว่าคน
ลู่เซิ่งยังรอการจัดการของตัวเองอยู่ ทว่ารอมาสักพักหนึ่ง คนผู้นั้นก็ยังคงไม่พูดอะไร เพียงกอดอกมองด้านนี้อย่างเกียจคร้านอยู่เช่นนั้น
“สหายลู่?” เฉินจินเทียนเดินไปถึงกลางทาง พอพบว่าลู่เซิ่งไม่ได้ตามมา พลันหันกลับมาถามอย่างฉงน “เกิดอะไรขึ้น”
“คนที่ทำภารกิจเสร็จแล้วเล่า เข้าประตูบานไหน” ลู่เซิ่งหันไปถามอย่างสงสัย
บุรุษสวมเสื้อคลุมสีเหลืองงุนงง มีคนที่ทำภารกิจสำเร็จและได้วัตถุยืนยันด้วยหรือนี่
เขาแปลกใจ ปกติแล้วอัจฉริยะของสาขาย่อยที่ได้วัตถุยืนยันและทำภารกิจสำเร็จล้วนมีผู้อาวุโสของสาขาย่อยพาไปหาผู้รับผิดชอบคนอื่น ตัวเขาเพียงต้อนรับศิษย์สาขาย่อยธรรมดาเท่านั้น โดยเฉพาะประเภทที่ทำภารกิจในโลกด้านนอกไม่สำเร็จ แต่ไม่ยอมกลับบ้าน เลยเรียกเก็บราคาสูงๆ จากพวกเขาได้พอดี
ถ้าหากเป็นศิษย์หัวกะทิที่ทำภารกิจสำเร็จจริงๆ เขามาทำอะไรตรงนี้ ผู้อาวุโสนำกลุ่มจากสาขาย่อยของพวกเขาเล่า
บุรุษมองลู่เซิ่งอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็พลิกแบบสอบถามที่เขียนเรียบร้อยออกมาอ่าน ครู่ต่อมาค่อยตอบสนอง
“เจ้า…เจ้าเอาวัตถุยืนยันออกมาแล้วเข้าประตูดิน ถ้าหากมีคุณสมบัติมากพอ เจ้าจะออกมาจากประตูที่ตรงกับคุณสมบัติ!”
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของเขา
สิ่งที่จะได้รับเมื่อทำภารกิจสำเร็จคือการประเมินระดับดิน ทว่าหลังจากเข้าไปแล้ว ถ้าหากไม่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติ ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะตกสู่การประเมินระดับคน แล้วออกมาจากประตูคน หากมีคุณสมบัติไม่เลว นั่นก็อาจยกระดับถึงประตูฟ้า
ส่วนประตูผีกับประตูเทพ เขาไม่รู้แล้วว่าเป็นการประเมินอะไร
เขาก้าวเข้าหาประตูดิน เฉินจินเทียนที่อยู่หน้าประตูคน มองเขาอย่างสับสน คล้ายนึกไม่ถึงว่าคนที่ตนชวนคุยจะมีความสามารถระดับนี้
“รอประเดี๋ยว เอาตั๋วทองคำมารคืนไป” อยู่ๆ บุรุษสวมเสื้อคลุมสีเหลืองก็โบกมือเบาๆ ตั๋วทองที่ลู่เซิ่งให้ไปเมื่อก่อนหน้านี้ลอยออกมาถึงด้านหน้าเขา
“นี่คืออะไร” ลู่เซิ่งมองเขาอย่างสงสัยขณะที่รับตั๋วทองมา
“คนที่ได้วัตถุยืนยันและทำภารกิจสำเร็จไม่ต้องจ่าย” บุรุษยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
ลู่เซิ่งพยักหน้า หยิบเครื่องหมายเทพมังกรสีชาดออกมา ก่อนจะสาวเท้าไปผลักประตู แล้วเข้าไปด้านใน
หลังประตูดินเป็นแสงสีม่วงเข้ม ในรังสีแสงมีเงาคนน่าลุ่มหลงและงดงามค่อยๆ เข้ามาใกล้
ตึง
ประตูด้านหลังลู่เซิ่งปิดลงโดยอัตโนมัติ
มือเล็กเรียบเนียนหลายข้างยื่นออกมาจากในรังสีแสง เริ่มลูบคลำร่างของลู่เซิ่ง ตั้งแต่หน้าผาก ไปถึงคอ จากนั้นก็เป็นทรวงอก เอว และท้องน้อย
มือเล็กเดี๋ยวนวดเดี๋ยวบีบ ทุกๆ จุดที่ลูบ ปลายนิ้วมีกลิ่นอายอบอุ่นซึมออกมาแล้วมุดเข้าไปในร่างลู่เซิ่ง
กลิ่นอายนี้แปลกประหลาดเช่นกัน พอเข้าไปในตัวลู่เซิ่ง ก็สูญหายไปในพริบตา ถูกกายเนื้อของลู่เซิ่งย่อยสลายจนหมด
มือเล็กไม่สนใจ ลูบคลำต่อไป
ไม่นานมือเล็กคู่หนึ่งก็ลูบไปถึงท่อนล่างของลู่เซิ่ง
กร๊อบ!
ลู่เซิ่งหักมือคู่นั้นทิ้งแล้วโยนไปด้านข้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เปลี่ยนวิธี”
รังสีแสงมืดสลัวลง มือค่อยๆ ชักกลับไป
ฟิ้ว!
ลิ้นสีชมพูลอยออกมาอย่างฉับพลัน แล้วพุ่งเข้าหาลู่เซิ่ง
หมับ!
ลิ้นถูกลู่เซิ่งจับไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วโดนฉีกกลายเป็นหลายท่อน ก่อนจะตกลงบนพื้น จากนั้นก็สลายหายไป
“เอาแบบปกติหน่อยได้หรือไม่” เขารู้สึกมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว นี่เป็นการทดสอบอะไร มีแต่ของเล่นแบบนี้
“ไม่…ไม่ต้องแล้ว…” ในรังสีแสงมีเสียงเด็กสาวที่อ่อนโยนดังมา ฟังดูขลาดกลัว คล้ายกับพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
“โปรดออกไปเถิด การทดสอบของท่านจบแล้ว” เสียงของเด็กสาวฟังดูขวัญหนีดีฝ่อ
เดิมทีนางเป็นมารลวงหลอกที่ถูกมนุษย์จับมาจากพิภพมาร มีพรสวรรค์ที่สามารถใช้ปราณจริงแท้ของมนุษย์และกระตุ้นความปรารถนาอันแรงกล้าได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อเผชิญกับลู่เซิ่ง พรสวรรค์กระตุ้นอารมณ์ของนางไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย แถมต้นกำเนิดพรสวรรค์ของตัวเองกลับถูกทำลายทิ้งด้วย
เวลาถูกนางสัมผัส คนปกติจะร่างอ่อนระทวยและหมดเรี่ยวแรงไม่ใช่หรือ แม้แต่ยอดฝีมือระดับปฐมปฐพีก็ไม่มีข้อยกเว้น กระนั้นลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้ากลับ
“เช่นนั้นข้าออกไป ได้หรือไม่” ลู่เซิ่งถามกลับ
“อือ…”
ลู่เซิ่งหันไปดึงประตูแล้วเดินออกไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น เห็นสายตาสับสนของบุรุษสวมเสื้อคลุมสีเหลือง
“ข้าไปได้แล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งถามอย่างราบเรียบ
“ไปได้แล้ว…ไปที่เขตวิญญาณ ผลการทดสอบจะถูกส่งไปที่นั่น” บุรุษสวมเสื้อคลุมสีเหลืองได้สติ เขาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตรกว่าเดิม “ภายหลังจะมีคนพาเจ้าไปเอาป้ายแขวนเอว จากนั้นก็ไปเลือกคนที่ต้องการกราบเป็นอาจารย์ที่เรือนด้านใน แน่นอนว่าถ้าเจ้ามีอาจารย์ในสำนักอยู่แล้วและไม่อยากเปลี่ยน จะไม่ไปก็ได้”
“เข้าใจแล้ว”
“ศิษย์น้องลู่ ครั้งหน้าถ้ามาทดสอบคุณสมบัติอีก อย่าได้มาผิดที่แล้ว ที่นี่เป็นแค่ประตูข้าง เขตการทดสอบของประตูหลักอยู่ในตำแหน่งตรงกันข้าม” บุรุษสวมเสื้อคลุมสีเหลืองอธิบาย “ที่นี่เป็นจุดรายงานตัวของคนที่ไม่ผ่านภารกิจ แต่จุดที่เจ้าต้องไปคือตำหนักเซียนทองที่คนผ่านภารกิจไปกัน”
ลู่เซิ่งออกจากจุดรายงานตัว ภายใต้ท่าทีที่แทบเหมือนน้อมส่งออกจากประตูใหญ่ของเขา
เพิ่งจะเดินออกจากประตูใหญ่และเลี้ยวเข้าถนนอีกเส้น สตรีอายุน้อยที่แขวนกระบี่คู่ไว้ที่เอวก็สาวเท้ามาขวางเขาไว้
“ท่านคือลู่เซิ่งใช่หรือไม่” สตรีกล่าวเสียงราบเรียบ พร้อมกับจ้องมองเขาโดยที่กำกระบี่ไว้
“ข้าเอง ท่านคือผู้ใด” ลู่เซิ่งสงสัยเล็กน้อย เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้จักใครสักคน
“เป็นลู่เซิ่งที่ฆ่าหยวนอิ่นเซียวใช่หรือไม่” สตรีสาวสะบัดเสื้อคลุมบนตัว สีหน้าจริงจังมากขึ้น
“ข้าเอง” ลู่เซิ่งพยักหน้าอีกครั้ง “เป็นไร ท่านคิดจะแก้แค้นให้เขาหรือ” เขาพิจารณาสตรีตรงหน้าอย่างละเอียด ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่งามไม่ขี้เหร่ เป็นสตรีที่ธรรมดาไม่สะดุดตา ถ้าไม่ใช่เพราะกระบี่สองเล่มที่แขวนอยู่ข้างเอวนาง เขาก็อาจจะไม่สังเกตเห็นนาง
“ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ทีนี่เป็นสำนักพันอาทิตย์ เพียงแค่มีคนให้ข้าถ่ายทอดคำพูดแทนเท่านั้น” สตรีสาวพิจารณาลู่เซิ่ง ดวงตาแฝงความเป็นมิตร กล่าวเสียงแผ่วว่า “ช่วงนี้อย่าออกจากเมืองพันอาทิตย์ย่อยแห่งนี้ จงระวังตัวไว้”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งนึกว่านางมาหาเรื่อง คาดไม่ถึงว่าจะมาเตือน ดูเหมือนคนคนเดียวที่จะมาเตือนตนก็มีแต่จางซื่อหลงแล้ว
พอนางพูดจบก็หมุนตัวเดินไปด้วยฝีเท้าเร่งรีบ
ลู่เซิ่งยืนใคร่ครวญอยู่ที่เดิมสักพัก จากนั้นก็หมุนตัวเดินทางไปยังเขตเหนือของเมืองย่อย ระหว่างทางเขาถามทางและสืบข้อมูลจากคนสองสามคน
หอคอยวิญญาณจริงแท้ไม่ได้อยู่ที่นี่ ต้องตัดทะลุเขตนี้ไป แล้วเข้าประตูเรือนด้านในที่อยู่ลึกที่สุด หอคอยวิญญาณจริงแท้ ลานฝึกวิญญาณ และตำหนักดวงดาวเก้ามังกรล้วนอยู่ในเรือนด้านในซึ่งอยู่ใต้ดินอีกที
การจะเข้าไปในเรือนด้านในต้องใช้เวลาตรวจสอบ ลู่เซิ่งไปถึงตำหนักเซียนทองที่บุรุษเสื้อคลุมสีเหลืองพูดถึงก่อน หลังจากบอกความตั้งใจแล้ว ก็มีคนพาเขาไปพักที่คฤหาสน์หลังหนึ่ง จากนั้นก็รอการตรวจสอบคุณสมบัติ เพื่อจะได้ส่งเข้าไปในเรือนด้านในพร้อมกันในวันพรุ่งนี้
แต่ว่าคนที่อยู่กับลู่เซิ่งมีน้อยมาก คาดว่าเป็นเพราะอยู่กระจัดกระจายกัน คนไม่น้อยจึงแยกย้ายกันมาสอบ อีกทั้งยังไม่มีวันเวลาที่กำหนดแน่นอน
วันต่อมา กลุ่มย่อยที่มีแค่แปดคนซึ่งรวมลู่เซิ่งด้วย เดินทางไปยังประตูเรือนด้านในแต่เช้าตรู่ คนที่นำกลุ่มเป็นศิษย์พี่อายุน้อยที่ชื่อจางซงฮุย
หลังจากรับชุด กระบี่อาคม โอสถ และป้ายแขวนเอวตามธรรมเนียม ลู่เซิ่งก็จัดระเบียบสิ่งของทั้งหมดอยู่ที่ประตูทางเข้าเรือนด้านใน สุดท้ายก็เดินเข้าไปในประตูใหญ่ของเรือนด้านในที่สูงใหญ่ราวกับถ้ำภายใต้การนำของจางซงฮุย
“ตั้งแต่นี้ไป พวกเจ้าได้แต่พึ่งพาตัวเองแล้ว หลังจากลงไปจะไม่มีใครคอยควบคุมพวกเจ้าอีก พวกเจ้าสามารถไปยังโถงอาจารย์เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของคนที่ตัวเองต้องการกราบเป็นอาจารย์ได้ และยังสามารถศึกษาฝึกฝนด้วยตัวเอง หรือจ่ายเงินเพื่อให้ศิษย์พี่ที่มีความเชี่ยวชาญชี้แนะก็ได้เช่นกัน” จางซงฮุยเดินนำหน้าเหล่าคนหนุ่มสาวที่สวมชุดหรูหราและสะท้อนแสงระยิบระยับไปตามทางเชื่อมที่ดำทะมึน พร้อมกับบรรยายกฎของเรือนด้านในให้พวกเขาฟังไปด้วย
“จงจำไว้ด้วยว่า เรือนด้านในแตกต่างกับเรือนด้านนอก ทุกเรื่องราวต้องตัดสินใจเอง”
ลู่เซิ่งกวาดตามองคนที่มาด้วยกัน ห้าคนที่อยู่รอบๆ นอกจากเขาที่ใช้คุณสมบัติและผลงานเพื่อเข้าเรือนด้านในผ่านการตรวจสอบ ที่เหลือเห็นได้ชัดว่าล้วนใช้เงิน
คนที่อยู่ทางซ้ายดูเหมือนแค่สวมชุดสีเขียวและมัดผ้าโพกหัวสีขาวจนไม่ต่างจากบัณฑิตทั่วไป แต่ความจริงแล้วหยกแขวนสีดำที่เขาแขวนไว้ที่เอวกลับมีอักขระที่แน่นขนัดเหมือนกับริ้นราและกะพริบแสงเป็นระยะ แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ของขลังธรรมดา การที่สามารถสลักอักขระจำนวนมากขนาดนี้บนพื้นที่ที่เล็กแบบนั้นได้ จะต้องเป็นคุณสมบัติที่ศิษย์สำนักธรรมดาไม่กล้านึกถึงแน่
มิหนำซ้ำลู่เซิ่งยังรู้สึกได้ว่าหยกแขวนชิ้นนี้มีความผันผวนรุนแรง คาดว่าคงเป็นระดับปฐมปฐพี
ส่วนสตรีที่อยู่ทางขวาสวมชุดกระโปรงสีแดงแนบเนื้อ ชายกะโปรงสั้นยิ่ง มือถือพัดกระดาษสีแดง ทั่วทั้งร่างไม่ว่าจะเป็นเส้นผม ข้อมือ เท้า หรือคอ ล้วนแขวนกระดิ่งอันเป็นของขลังชนิดพิเศษที่สลักอักขระเอาไว้เต็มไปหมด
ความผันผวนที่กระดิ่งทั้งสิบกว่าใบส่งออกมาเหมือนกันทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าเป็นชุดเดียวกัน ชุดของขลังแบบนี้ย่อมมีอานุภาพมากและราคาสูง
คนที่เหลือก็คล้ายๆ กัน มองดูก็รู้ว่ามีครอบครัวและเบื้องหลังไม่สามัญ มีแต่ลู่เซิ่งที่เรียบง่ายอย่างแท้จริง กลับโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มคนเหมือนกับกระเรียนยืนกลางฝูงไก่
“สำนักพันอาทิตย์ของพวกเราต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะทำทุกอย่างได้ แต่ถ้าไม่มีเงิน ล้วนทำอะไรไม่ได้” จางซงฮุยเป็นผู้บำเพ็ญอ่อนโยนที่สวมแว่นตากรอบกลม เวลาพูดกลับมีหางเสียงพิเศษที่ทำให้คนฟังไม่สบายใจ
“ถ้าไม่มีเงิน เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ต่อให้เจ้าเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันระดับหนึ่ง นั่นก็ไม่มีประโยชน์ แค่ใช้ของขลังเพิ่มพลังชิ้นเดียวก็ทำให้ความแตกต่างกลับมาเท่ากันได้สบายๆ แล้วถ้าเจ้ามีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าคนรุ่นเดียวกันเล่า ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน เพียงปักธงค่ายกลสักสองสามคัน แล้วอัญเชิญข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งออกมา ปราณจริงแท้หนึ่งส่วนก็สามารถขยายให้มีอานุภาพสิบส่วนได้ ที่เรือนด้านใน หากว่ามีเงิน เช่นนั้นเจ้าก็อยู่สบาย นอกจากความเข้าใจทางคุณสมบัติที่ซื้อไม่ได้แล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ใช่ปัญหา”
“ถูกต้องแล้ว อย่างอื่นข้าไม่มี จะมีก็แต่เงินนี่แหละ!”
“ถูกต้องๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวข้าเหลือแค่เงินนี่เอง”
สตรีกระโปรงแดงกับบุรุษอ้วนสูงอีกคนกล่าวอย่างลำพองใจคล้ายกับพึงพอใจกับคำพูดของจางซงฮุยมาก
“เช่นนั้นย่อมประเสริฐสุด” จางซงฮุยยิ้ม
คนที่เหลืออดมองลู่เซิ่งไม่ได้ มีเขาที่แต่งตัวยากจนที่สุด ดูเหมือนจะใช้คุณสมบัติกับผลงานเข้ามา
ลู่เซิ่งระอาใจเล็กน้อย กฎของเรือนด้านในของสำนักพันอาทิตย์ในระดับนครจังหวัดนี้เรียบง่ายและไร้เหตุผลอย่างที่คิดไว้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดูออกได้ว่าสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์แหลกเหลวถึงระดับไหน ศิษย์เรือนด้านในที่อยู่รอบๆ ตัวเขา นอกจากเงินแล้ว ความผันผวนของพลังฝึกปรือในด้านปราณจริงแท้ คาดว่ายังไม่ถึงระดับจตุลักษณ์ด้วยซ้ำ นี่เลวร้ายถึงขีดสุด
พวกศิษย์ทั้งสามคนของสามสำนักใหญ่ที่เคยไปแย่งชิงเครื่องหมายเทพมังกรสีชาดกับเขา ล้วนมีระดับจตุลักษณ์เป็นอย่างน้อย
……………………………………….