ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 359 คนสำคัญ (3)
บทที่ 359 คนสำคัญ (3)
คนจากทั้งสามสำนักรออยู่บนลานกว้างของวัดตราทมิฬสักพักหนึ่ง
จากนั้นก็มีเสียงคำรามดังมาจากที่ไกล เสียงดังยิ่ง ระยะห่างไกลยิ่ง ไม่นานก็มีคนพุ่งขึ้นฟ้าเพื่อมุ่งหน้าไปจัดการ สักพักหนึ่งก็มีคนทิ้งตัวลงมา
บุรุษสตรีผอมสูงที่สวมเสื้อคลุมสีขาวขอบทองและสวมหน้ากากกลุ่มหนึ่งมาล้อมรอบลานกว้างภายใต้การนำของผู้อาวุโสแห่งสามสำนักอย่างรวดเร็ว
คนกลุ่มนี้ก้มหน้าหลับตาและส่งเสียงพึมพำ มือประสานมุทราอย่างต่อเนื่องจนเกิดเงาหลงเหลือ คลื่นพลังงานไร้รูปร่างหลายสายแผ่กระจายออกมาจากบนร่างพวกเขา เมื่อรวมตัวกันก็กลายเป็นรูปโปร่งแสงที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งยืนอยู่ในกลุ่มคน ทอดตามองไปไกล เห็นเพียงลวดลายคลื่นอันเลือนราง แต่กลับไม่เห็นรายละเอียดลวดลายที่ชัดเจน
เซี่ยอวี้ฉยงสองพี่น้องตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ เช่นกระดาษยันต์กับสิ่งของที่พกบนตัวให้กันและกันอยู่ด้านข้าง พอเห็นว่าลู่เซิ่งที่อยู่ใกล้ๆไม่ได้ทำอะไร เซี่ยอวี้ฉยงก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็เข้ามาหา
“อุปกรณ์ของศิษย์น้องเล่า อาวุธ เกราะหนัง ธงค่ายกล…” นางกวาดตามองร่างของลู่เซิ่ง สุดท้ายกลับไม่เห็นสิ่งใด
“ข้าเอาไปไว้ที่อื่นแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้มและละสายตากลับมา “จะว่าไป สามสำนักในจังหวัดไร้เหมันต์ของพวกเราน่าจะมีคนที่ร้ายกาจอยู่หลายคนกระมัง ไม่ทราบว่าเข้าไปแล้วจะได้เจอก่อนหรือไม่”
เซี่ยอวี้ฉยงพยักหน้า เคร่งขรึมเล็กน้อย “ซุนซงจี๋กับหลงจิ้วแห่งสำนักผูกวิญญาณ หลีม่าย หลีฉีเซียง กับกงฉือแห่งสำนักซ่อนธาตุ ล้วนเป็นตัวเลือกยอดนิยม ขอแค่ติดสิบอันดับแรกของระดับจังหวัด ก็จะได้รางวัลมากมายมหาศาล”
“แล้วสำนักพันอาทิตย์ของพวกเราเล่า” ลู่เซิ่งถาม
“ศิษย์พี่จ่างซุนหลันเป็นอันดับหนึ่ง นอกจากนี้…มีแปดอัจฉริยะแห่งกำยานเทพ แต่ว่าครั้งก่อนได้แพ้ให้กับกงฉือแห่งสำนักซ่อนธาตุในศึกแย่งชิงบนเขตลับของสามสำนักแล้ว สองคนในนี้ก็ยอมแพ้อย่างไร้ยางอาย…” พอพูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยอวี้ฉงก็จนปัญญาและกัดฟันกรอด
เซี่ยอวี่เซิงที่อยู่ด้านข้าง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยว่า “ถ้าข้าเป็นหนึ่งในแปดอัจฉริยะแห่งกำยานเทพ คงยินยอมตาย แต่ไม่ยอมแพ้ ทั้งยังช่วยให้อีกฝ่ายตอบโต้ เป็นความอัปยศของสำนักโดยแท้!”
เซี่ยอวี้ฉยงส่ายหน้ากล่าวว่า “ความจริงไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น ว่ากันว่าในสำนักมีคนขายข้อมูลของศิษย์พี่จ่างซุนหลันให้แก่สำนักอื่นๆ เช่นกัน ศิษย์เรือนด้านในที่มีความสัมพันธ์กับระดับสูงไม่เลว ถึงขั้นจ่ายส่วยให้แก่ยอดฝีมือของสองสำนักที่เหลือ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องสู้ และยกระดับของตัวเอง”
“หน้าไม่อาย!” เซี่ยอวี่เซิงหน้าแดงก่ำ “สำนักพันอาทิตย์ของพวกเราใช้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝน อักขระค่ายกล ธงค่ายกล หอคอยวิญญาณจริงแท้ สิ่งใดบ้างที่ไม่ดีที่สุดในสามสำนัก แต่สุดท้ายกลับเกิดเรื่องเช่นนี้…ถ้าพวกเขามีเงินจริงๆ เหตุใดจึงไม่ไปติดสินบนอาจารย์เพื่อไม่ต้องเข้าร่วมการต่อสู้กับมารเล่า?!”
ลู่เซิ่งได้ยินก็พยักหน้าน้อยๆ เข้าใจพฤติการณ์ของเรือนด้านในของสำนักนี้อย่างคร่าวๆ แล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงิน สิ่งที่ใช้เงินจัดการได้ล้วนไม่ใช่ปัญหา
เรือนด้านในสำนักพันอาทิตย์ดำเนินการตามหลักการนี้อย่างหมดจด
“จะว่าไป ตอนจัดอันดับในการช่วงชิงครั้งก่อนก็มีคนติดสินบนรองเจ้าตำหนักของตำหนักวิญญาณจริงแท้เพื่อไม่ต้องเข้าร่วมศึกมาร จริงๆ เหมือนจะให้ราคาสูงลิ่วด้วย…” อยู่ดีๆ บุรุษผมม่วงที่อยู่ด้านข้างก็เข้ามากล่าวเบาๆ
พวกเขาพลันหมดคำพูด
“เอาล่ะ อีกเดี๋ยวจะเริ่มการส่งตัวไปยังโลกด้านนอกในเขตชั้นในแล้ว ทุกคนฟังให้ดี สถานที่ที่จะส่งตัวไปในครั้งนี้เป็นชั้นในของวัดตราทมิฬ ประตูส่งตัวสามารถใช้งานได้ทุกเวลา ทุกคนนำป้ายส่งตัวมาหาข้าตามลำดับ”
ในที่สุดคนสวมเสื้อคลุมสีขาวก็สร้างประตูโปร่งแสงขนาดยักษ์ที่เปล่งแสงระยิบระยับขึ้น
ทางเชื่อมอันเป็นซุ้มทรงกลมกึ่งโปร่งแสงค่อยๆ ก่อตัวขึ้นหน้าประตู ผู้อาวุโสสามสำนักสามคนยืนอยู่ด้านในทางเชื่อม ปราณจริงแท้ที่แตกต่างกันกระจายออกมาจากบนร่าง คอยรักษาสภาพของทางเชื่อม เพื่อไม่ให้มันพังทลายลงและเปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่พูดเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสามคนที่อยู่ด้านหน้าสุด
ไม่นานก็มีผู้บำเพ็ญเพียรของสามสำนักออกมาขอให้ศิษย์จากสามสำนักที่อยู่บนลานแยกกันต่อแถวตอนเรียงหนึ่ง แล้วเดินเข้าทางเชื่อมทีละคนๆ หลังจากลูกศิษย์ทุกคนรับสิ่งของที่แตกต่างกันสามชนิดจากผู้อาวุโสสามคนในตอนที่เดินผ่านแล้ว สุดท้ายก็จะเดินเข้าไปในประตูโปร่งแสงขนาดยักษ์ ก่อนจะหายตัวไป
สำนักพันอาทิตย์อยู่ด้านหลังสุด ด้านหน้าเป็นสำนักซ่อนธาตุ
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ในแถว พิจารณาหญิงสาวในทุกช่วงอายุอย่างละเอียด แต่ล้วนไม่พบคนที่มีหน้าตาเหมือนกับซูหนิงเฟยผู้เป็นอาจารย์
แถวเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วสุดขีด ไม่มีใครชักช้า จากนั้นก็ถึงรอบสำนักพันอาทิตย์อย่างรวดเร็ว สตรีสวมอาภรณ์สีฟ้าซึ่งสะพายเกาทัณฑ์ไว้ด้านหลังและเป็นผู้นำกลุ่มก้าวเข้าทางเชื่อม เข้าไปในประตูส่งตัวที่โปร่งแสงเป็นคนแรก
ต่อจากนั้นก็เป็นคนอีกมากมายที่สวมใส่ชุดหรูหรา แม้ทั้งหมดจะติดป้ายแขวนเอวของสำนักพันอาทิตย์ไว้ ทว่าต่างคนต่างมีสีหน้าสบายๆ ทั้งยังก้าวเท้าอย่างผ่อนคลาย มองดูไม่เหมือนไปเข้าร่วมศึกช่วงชิงเพื่อจัดอันดับ แต่เหมือนไปท่องเที่ยวมากกว่า
แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับศิษย์ของสำนักซ่อนธาตุที่ต่างคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง ถึงขั้นที่มีคนถือของขลังกับเกราะหนังที่มีร่องรอยซ่อมแซม คนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็รู้สึกขบขัน แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่าดวงตาของคนจากสำนักซ่อนธาตุเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนมีกลิ่นคาวเลือดวนเวียนบนร่างไม่มากก็น้อย ทำให้คนหัวเราะไม่ออก
ส่วนศิษย์ของสำนักผูกวิญญาณที่อยู่ด้านหน้าสุดรวมถึงพวกหลงจิ้วที่เป็นผู้นำกลุ่มก็มีลักษณะอีกแบบหนึ่ง ถ้าหากบอกว่าคนของสำนักซ่อนธาตุเหมือนกับนักรบคลั่งที่บุกตะลุยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อย่างนั้นคนของสำนักผูกวิญญาณก็ลึกลับเหมือนกับผู้ใช้อาคมที่อัญเชิญทาสรับใช้มาต่อสู้ ทั้งยังแสดงสีหน้าหยิ่งผยองตลอดเวลา
เมื่อแต่ละกลุ่มต่อแถวกัน ลู่เซิ่งไม่จำเป็นต้องมองสัญลักษณ์ ก็แยกแยะความแตกต่างระหว่างคนจากสามสำนักได้คร่าวๆ
ไม่นานคนของสำนักพันอาทิตย์ที่อยู่ด้านหน้าก็ค่อยๆ ทยอยเข้าไป และถึงรอบของพวกลู่เซิ่งแล้ว
ลู่เซิ่งเดินตามกลุ่มไปด้านหน้า เซี่ยอวี้ฉยงสองพี่น้องที่อยู่ด้านหน้าเพิ่งเดินเข้าทางเชื่อม เขาก็ก้าวตามไปในทันที
เขารับป้ายติดเอวสีทองแผ่นหนึ่งจากในถังตรงหน้าผู้อาวุโสของสำนักพันอาทิตย์ จากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว ก่อนจะหยิบป้ายไม้สีดำแผ่นที่สองออกมาจากในถังด้านหน้าผู้อาวุโสแห่งสำนักซ่อนธาตุคนที่สอง
สุดท้ายก็เดินไปถึงด้านหน้าผู้อาวุโสของสำนักผูกวิญญาณคนที่สาม
“ลู่เซิ่งใช่หรือไม่ ดูเหมือนเจ้าจะมีชีวิตที่ไม่เลวทีเดียวนี่” ผู้อาวุโสคนนี้อายุน้อยยิ่ง แม้จะสวมหน้ากาก แต่ก็ฟังจากเสียงออกว่า ยังมีอายุไม่มาก เขายื่นส่งป้ายเงินให้แก่ศิษย์ที่เดินผ่านด้วยตัวเองแตกต่างจากผู้อาวุโสอีกสองคน
ตอนที่ถึงรอบลู่เซิ่ง เขาก็หยิบป้ายเงินออกมาวางไว้ในมือลู่เซิ่ง
ทว่าตอนลู่เซิ่งกำลังจะเตรียมดึงไป เขากลับจับป้ายเงินเอาไว้
“ข้ารู้จักท่านหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วพร้อมกับเงยหน้าพิจารณาผู้อาวุโสจากสำนักผูกวิญญาณตรงหน้า
ผู้อาวุโสคนนี้สวมหน้ากากหน้าวานรสีขาว ใส่เสื้อสีดำชายสั้นที่ปักลวดลายดวงอาทิตย์ เอวแขวนกระบองสั้นสีน้ำตาล
“ข้าคือหยวนเฉิงเต้า น้องชายข้าคือหยวนอิ่นเซียว” ผู้อาวุโสส่งเสียงหัวเราะระคายหู อยู่ๆ เขาก็ก้มหน้าและขยับเข้าใกล้ ทั้งยังกดเสียงลง เส้นเสียงเหมือนกับมุดเข้าหูลู่เซิ่งโดยตรง
“ไหนบอกมาซิว่าเจ้าอยากตายอย่างไร” หยวนเฉิงเต้าค่อยๆ ผลักป้ายเงินใส่มือลู่เซิ่งเบาๆ
“ซ่อนตัวมานานขนาดนี้ เจ้านึกว่าจะหนีรอดหรือ ข้าจะใช้อำนาจของผู้อาวุโสทำลายเจ้าอย่างช้าๆ…เจ้าต่อต้านไม่ได้ หากต่อต้านก็เป็นที่ต่ำล่วงเกินที่สูง ข่มเหงอาจารย์ทำลายบรรพบุรุษ และเป็นการต่อต้านสามสำนัก…เจ้าจะเข้าใจอย่างรวดเร็วว่า ข้าสังหารเจ้าได้ง่ายเหมือนกับตบมดสักตัว แต่แบบนั้นมันก็ไม่มีความหมายน่ะสิ”
หยวนเฉิงเต้าส่งเสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดและแหลมสูง “ไอ้หนู พวกเรามาค่อยๆ เล่นด้วยกันเถอะ…”
ลู่เซิ่งรับป้ายเงินแผ่นสุดท้ายมาด้วยสีหน้านิ่งเฉย แล้วสาวเท้าเดินไปยังซุ้มประตูทรงกลมกึ่งโปร่งแสง
เขาคาดไว้แต่แรกแล้วว่าการฆ่าคนจากพรรคพยัคฆ์คลั่งจะสร้างปัญหาขึ้นได้ แต่นึกไม่ถึงว่าปัญหาจะรอเขาอยู่ที่นี่
พอเดินไปถึงหน้าประตูกึ่งโปร่งแสง ลู่เซิ่งก็หันกลับไปมองหยวนเฉิงเต้า คนผู้นี้กำลังส่งป้ายเงินให้คนต่อไป และคล้ายกับสัมผัสได้ถึงการจ้องมองเขา อีกฝ่ายจึงค่อยๆ เบือนหน้ามายกมุมปากเป็นเส้นโค้ง พร้อมกับมองเขาอย่างคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ถ้าออกมาข้าจะส่งท่านไปพบน้องชาย” ลู่เซิ่งแสยะยิ้มในวินาทีสุดท้าย จากนั้นก็หายไปในประตู
…
ณ วัดตราทมิฬ ชั้นใน
แสงสีเหลืองมัวซัวของอาทิตย์อัสดงสาดลงมาจากทางซ้ายมือ แบ่งสิ่งก่อสร้างกลุ่มใหญ่ของวัดตราทมิฬออกเป็นสองส่วน
ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ครึ่งหนึ่งเป็นสีเหลืองขมุกขมัว
รูปสลักขนาดยักษ์ที่สูงมากกว่าพันหมี่รูปหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางวัดใหญ่ที่มีสีดำอมเทา
รูปสลักเป็นพระภิกษุสามรูปที่ยืนหันหลังให้กัน ทั้งสามต่างสวมหมวกติดเสื้อ สองมือวางบนไม้เท้าเบื้องหน้า รูปสลักเป็นสีขาวอมเทา เพียงแต่บนจีวรของพระภิกษุแปดเปื้อนสิ่งสกปรกมากมาย
รอบๆ คือสิ่งก่อสร้างและวัดสีดำอมเทาหลายกลุ่ม ซึ่งยืดขยายไปถึงเส้นขอบฟ้าจนสุดลูกหูลูกตาโดยมีรูปสลักเป็นศูนย์กลาง
เวลานี้บนอิฐที่แตกร้าวทรุดโทรมกลุ่มหนึ่งตรงตำแหน่งใกล้ฝ่าเท้ารูปสลักมีแสงสีขาวจุดหนึ่งสว่างขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นแสงสีขาวก็ระเบิดออก เค้าโครงร่างคนค่อยๆ ชัดเจนและปรากฏขึ้น
เป็นบุรุษหนุ่มที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำ กล้ามเนื้ออันหนั่นแน่นของบุรุษดันเสื้อคลุมสีดำบนตัวจนคับติ้ว เขาแบกกระบี่ธรรมดาสีเทาเล่มหนึ่งไว้ด้านหลัง
‘ที่นี่คือชั้นในของวัดตราทมิฬหรือ’ บุรุษคือลู่เซิ่งที่ถูกส่งตัวเข้ามาจากโลกด้านนอก เขากวาดตามองรอบๆ ไม่พบการเคลื่อนไหวใด จึงนำเอาป้ายสามแผ่นที่ได้ก่อนหน้านี้ออกมา
ป้ายเงิน ป้ายไม้ ป้ายทอง
ป้ายสามแผ่นสลักตัวหนังสือที่ต่างกันไว้บนผิว แยกกันเป็นพัน ผูก และซ่อน ป้ายสามแผ่นนี้เป็นใบอนุญาตที่ทำให้เขาเข้าไปในจุดพักผ่อนของสามสำนักได้
‘ตามข้อมูลที่ได้ทำความเข้าใจก่อนจะเข้ามาที่นี่ ที่นี่มีจุดพักผ่อนสามจุดที่ยอดฝีมือจากสามสำนักเคยสร้างขึ้น ครั้งนี้ถูกใช้เป็นจุดพักผ่อนในศึกแย่งชิงของศิษย์สามสำนักเป็นกรณีพิเศษ’ ลู่เซิ่งหวนนึกถึงรูปร่างของหยวนเฉิงเต้าในตอนที่เข้ามา
‘ดูท่าทางสำนักผูกวิญญาณน่าจะจัดหาคนมาเล่นงานเรา’ เขามองท้องฟ้า ‘ไปก่อนค่อยว่ากัน’
ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักกระบี่ออกมาจากด้านหลัง จากนั้นก็กระทืบเท้า ร่างกายสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนจะทะยานลิ่วออกไปทางอาคารกลุ่มใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป
อาคารผ่านตัวเขาไปอย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็มีประตูของอาคารบางหลังอ้าอยู่ แต่ด้านในว่างเปล่า
‘ที่นี่ต่างกับวัดตราทมิฬ เหมือนจะไม่มีการคุกคามใดๆ’ ลู่เซิ่งสงสัยเล็กน้อย
ตูม!
เพิ่งจะคิดจบ กำแพงทางขวาของเขาพลันถูกกระแทกทะลุ แขนสีดำสนิทข้างหนึ่งซึ่งมีแผ่นมีดสีเงินที่คมกริบสามเล่มงอกอยู่ ทะลุกำแพงออกมา แล้วพุ่งเข้าหาคอหอยของเขา
ลู่เซิ่งสะบัดกระบี่ออกไปทีหลังแต่ไปถึงก่อน โดยแทงเข้าไปในกำแพงทางขวามือ
เสียงอั่กดังมา แขนสีดำชักกลับไปอย่างกระทะหันตอนที่ใกล้จะจับคอของลู่เซิ่งได้ แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วเสี้ยววินาที
‘เอ๋? เราสัมผัสไม่ได้เหรอเนี่ย’ เขามองเข้าไปด้านในผ่านช่องบนกำแพง กลับไม่พบสิ่งใด ทั้งๆ ที่เขาแทงกระบี่โดนใส่อีกฝ่าย แต่กลับเห็นผ่านช่องได้ว่าบนพื้นในอาคารกลับไม่มีอะไรเลย
เปรี้ยง!
แขนอีกข้างหนึ่งทำลายกำแพงจากด้านหลังออกมา แล้วพุ่งใส่แผ่นหลังลู่เซิ่งอีกหน
“กระบี่ขับไล่อาทิตย์กระบวนท่าที่หนึ่ง เมฆสลาย” ลู่เซิ่งสะบัดข้อมือวาดกระบี่เป็นเส้นสีขาวกลุ่มหนึ่ง แล้วพลิกมือขวางไปที่กลางหลังของตัวเอง
มือดำกับแสงสีขาวปะทะกันดังเคร้งคร้างๆ เกิดปราณจริงแท้โปร่งแสงเล็กละเอียดนับไม่ถ้วนขึ้น จากนั้นมือดำก็ถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความเร็วสูงเหมือนกับเทียนไข
……………………………………….