ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 361 คนสำคัญ (5)
บทที่ 361 คนสำคัญ (5)
ในตัวลาน
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหนึ่งตามลำพัง
คนของสำนักผูกวิญญาณยืนอยู่อีกด้าน พวกเซี่ยอวี่เซิง เซี่ยอวี้ฉยงสองพี่น้องกับคนของสำนักซ่อนธาตุยืนอยู่อีกด้าน
ทั้งสามกลุ่มแบ่งแยกกันชัดเจน ไม่มีใครเข้าใกล้ใคร
คนจากสำนักซ่อนธาตุจ้องมองลู่เซิ่งเหมือนกะทิงดุ ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าเขาคิดทำอะไร
ลู่เซิ่งนั่งลงบนบันไดด้านข้างอย่างองอาจ สายตาจับจ้องคนจากสำนักซ่อนธาตุและสำนักผูกวิญญาณ
ใครกล้าไป เขาจะลงมือจริงๆ คนที่อยู่รอบๆ มองเห็นความตั้งใจนี้ในดวงตาของเขาได้
“ศิษย์พี่ลู่ ข้าได้ยินจางซงฮุยพูดถึงชื่อของท่านมาก่อน เรียกแบบนี้หวังว่าท่านจะไม่ถือสา” เซี่ยอวี้ฉยงไตร่ตรอง ก่อนจะเอ่ยปากเอง
ถ้าหากยังไม่พูดอีก นางกลัวว่าสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอาจจัดการได้ยากกว่าเดิม
นางมองออกว่าศิษย์พี่ลู่เซิ่งผู้นี้มีพลังน่าตกตะลึง แม้จะไม่ถึงกับแข็งแกร่งกว่าศิษย์พี่จ่างซุนหลัน ทว่าสำนักพันอาทิตย์มียอดฝีมือแบบนี้ได้ถือว่าไม่ง่าย สำนักพันอาทิตย์มีกฎและวัตถุประสงค์ของสำนัก เขาทำแบบนี้เป็นการทำลายกฎที่ไม่ได้ตราไว้
“เจ้าว่ามา” ลู่เซิ่งยังคงมีท่าทีเป็นมิตรต่อคนในสำนักเดียวกันอยู่บ้าง
เซี่ยอวี้ฉยงจัดระเบียบความคิดก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ลู่เพียงแค่ต้องการหาคนกระมัง แต่เป็นเพราะไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักชื่อ และไม่ทราบถึงสถานะกับจุดเด่นอื่นๆ ดังนั้นจึงใช้วิธีนี้ตรวจสอบ ถูกต้องหรือไม่”
“ถูกต้อง” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ถ้าเป็นแบบนั้น ความจริงท่านไม่ต้องลงทุนล่วงเกินแทบทุกคนในสามสำนักแบบนี้ก็ได้ พลังระดับท่านอาจไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าหากไม่ล่วงเกินได้ อย่างไรก็เป็นเรื่องดี ท่านว่าถูกต้องหรือไม่” เซี่ยอวี้ฉยงพูดต่อ
“เจ้ามีวิธีหรือ” ลู่เซิ่งพลันสนใจ จากนั้นก็พิจารณาเซี่ยอวี้ฉยงอย่างละเอียด สตรีอายุน้อยคนนี้ดูมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง สายตาทั้งสงบนิ่งทั้งหนักแน่น คล้ายกับมีความสุขุมคัมภีรภาพที่ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็มั่นคงดุจขุนเขา
“วิธีนั้นมีจริงๆ” เซี่ยอวี้ฉยงยิ้ม “จะว่าไป เรื่องนี้ต้องพูดถึงคนของสำนักพันอาทิตย์ ศิษย์พี่ลู่รู้ไหมว่าในสำนักพันอาทิตย์ของพวกเรามีองค์กรลับที่ศิษย์ในสำนักก่อตั้งขึ้นมาเองชื่อว่าสมาคมพันราชา”
“ไม่รู้” ลู่เซิ่งเพิ่งเข้าร่วมได้ไม่นาน ไหนเลยจะรู้จักลู่ทางเหล่านี้
เซี่ยอวี้ฉยงมองน้องชายกับคนของสำนักซ่อนธาตุที่กระจ่างแจ้งแล้ว จากนั้นก็กล่าวต่อ “สมาคมพันราชาโดดเด่นในเรื่องการข่าว มีความสัมพันธ์กับระดับสูงในสำนัก แม้ผู้ก่อตั้งจะเป็นคนของสำนักพันอาทิตย์ แต่ก็มีคนอยู่ในสำนักผูกวิญญาณกับสำนักซ่อนธาตุเช่นกัน ขอแค่ท่านมีเงิน ก็สามารถซื้อข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการได้”
ลู่เซิ่งพลันเข้าใจแล้ว
“หมายความว่าเจ้าแนะนำให้ข้าหาคนของสมาคมพันราชาเพื่อซื้อข้อมูลหรือ”
“ถูกต้อง” เซี่ยอวี้ฉยงพยักหน้า “พวกเขามีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับระดับสูง ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นองค์กรของระดับสูงแต่แรกแล้ว จะต้องได้รายชื่อศิษย์ทั้งหมดที่เข้าร่วมศึกช่วงชิงในครั้งนี้แน่ เมื่อเป็นแบบนี้ จะไม่มีใครหลุดรอดไปได้เด็ดขาด ศิษย์พี่ลู่ลองคิดดู ท่านบุกตะลุยไปทั่วศึกแย่งชิงในครั้งนี้ ต่อให้จะร้ายกาจปานใด สุดท้ายก็คลาดกับคนที่ถูกคัดทิ้งไปก่อนส่วนหนึ่งอยู่ดี เกิดว่าคนที่ท่านค้นหาอยู่ในกลุ่มนี้เล่า”
ลู่เซิ่งใคร่ครวญทันที
ต้องยอมรับว่าคำพูดของเซี่ยอวี้ฉยงได้เตือนสติเขา ความรุนแรงจัดการปัญหาได้จริงๆ แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมหรือเรียบง่ายที่สุด
เขารู้สึกว่าพฤติการณ์ที่แล้วมาของตัวเองหยาบกระด้างเกินไปหรือไม่
ลู่เซิ่งลูบคาง พลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้น
“แต่ข้าไม่มีเงิน”
“เอ่อ…” เซี่ยอวี้ฉยงอึ้งไป
คนอีกสองกลุ่มที่เหลือก็อึ้งงันเช่นกัน
คนของสำนักพันอาทิตย์ไม่มีเงิน ถ้าหากเล่าออกไปคงไม่มีใครเชื่อ ทว่าเซี่ยอวี้ฉยงแยกแยะออกจากสีหน้าของลู่เซิ่งว่าศิษย์พี่ลู่ผู้นี้ไม่มีเงินจริงๆ
“อย่างนั้น…ศิษย์น้องจะสนับสนุนท่านส่วนหนึ่ง” เซี่ยอวี้ฉยงกัดฟัน สัญญาว่า “ถึงแม้ตระกูลเซี่ยของข้าจะไม่ใช่มหาเศรษฐี แต่ก็สามารถจ่ายได้สักสองสามพันหรือสองสามหมื่นทองคำมาร”
“ท่านพี่!” เซี่ยอวี่เซิงกระตุกชายเสื้อของนางอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “ท่าน…!” นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเขาแท้ๆ เหตุใดต้องออกหน้าด้วย เซี่ยอวี่เซิงไม่เข้าใจการกระทำของพี่สาวโดยสิ้นเชิง
“ซื้อข้อมูลต้องจ่ายเท่าไหร่” ลู่เซิ่งถามอีก
“เรื่องนี้…ท่านสามารถสอบถาม…”
“ถามข้าก็ได้” บนหลังคาวัดไกลออกไป เงาร่างสีเทาเหมือนหมอกลอยมาถึง แล้วทิ้งตัวลงบนกำแพงของลานอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เผยโฉมออกมา
“ศิษย์พี่กง!”
“ศิษย์พี่กงมาแล้ว!”
“ในที่สุดท่านก็มาแล้ว” คนของสำนักซ่อนธาตุเหมือนเห็นดาวช่วยชีวิต จิตใจพลุ่งพล่าน ความจริงลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างมอบแรงกดดันให้เกินไปแล้ว
กงฉือสวมอาภรณ์สีเทาแนบเนื้อที่เรียบง่ายยิ่ง แบกหอกยาวสีแดงก่ำไว้ด้านหลัง ปลายหอกกระพริบแสงสีเงิน
นี่เป็นสตรีอายุน้อยที่ดูเงียบขรึมยิ่ง รูปโฉมนับได้แค่ว่าอยู่ตรงกลางค่อนไปทางสูง ร่างสูงได้สัดส่วน ทรวงอกคล้ายใช้ผ้ามัดไว้ จึงไม่กระเพื่อมมากเกินไป
บนร่างของคนผู้นี้นอกจากหอกยาวเล่มเดียวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาไปบนร่างกงฉือ
“เจ้าคือคนจากสมาคมพันราชาอะไรนั่นหรือ” เขาค่อยๆ ลุกขึ้น
“ถูกต้อง” กงฉือพยักหน้า
“ข้าต้องการรายชื่อคนที่เข้าร่วมศึกช่วงชิงในครั้งนี้ทั้งหมด ถ้าอยากเห็นใบหน้าด้วย มีราคาเท่าไหร่” ลู่เซิ่งถาม
”องค์กรมากมายล้วนมีการเก็บสถิติข้อมูลในเรื่องนี้ไว้ ถ้าอยากได้แค่หน้ากับข้อมูลคร่าวๆ ไม่กี่สิบทองคำมารก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อมีผู้เข้าร่วมหลายคน เนื่องจากสถานะเป็นความลับ ถึงขั้นที่ใบหน้าก็เป็นความลับ ดังนั้นราคาจึงจะมีความผันผวนรุนแรง” กงฉือกล่าวอย่างจริงจัง
“เจ้าซื่อตรงดี” ลู่เซิ่งยิ้ม
“นั่นเป็นเพราะข้าสู้ท่านไม่ได้ และไม่อยากถูกคัดออก ดังนั้นจึงเลือกวิธีอื่นมาต่อรอง เป็นวิธีเพียงหนึ่งเดียว” กงฉือตอบอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งพลันงุนงง
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แม้พวกเซี่ยอวี้ฉยงกับคนจากสำนักซ่อนธาตุก็ผุดสีหน้างงงันเช่นกัน นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่ากงฉือจะยอมรับว่าตัวเองสู้ไม่ได้ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเริ่มสู้
พึงทราบว่ากงฉือเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับสามของสำนักซ่อนธาตุ เป็นบุคคลระดับมันสมองอันดับที่สามในหมู่ลูกศิษย์เรือนด้านในทั้งหมด
อันดับของสำนักซ่อนธาตุมีความหมายมากกว่าสองสำนักที่เหลือ กงฉือเคยสร้างผลงานการรบอันเจิดจรัสโดยท้าสู้อันดับสองกับอันดับสามของสำนักผูกวิญญาณ และเคยกดดันให้คนสิบกว่าคนของสำนักพันอาทิตย์จ่ายเงินเพื่อซื้อผลงานมาแล้ว
วิชาหอกบ่อโลหิตของนางยอดเยี่ยมเลิศล้ำและเกรี้ยวกราดไม่ธรรมดา เวลานี้กลับพูดเองว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่เซิ่ง
กงฉือกลับกล่าวตามตรงอย่างไม่นำพา
“ความจริงผู้แซ่กงรู้สึกว่าคนในจังหวัดไร้เหมันต์ที่เอาชนะศิษย์พี่ลู่ได้มีไม่กี่คนเท่านั้น”
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว จากนั้นก็ลุกขึ้น แล้วเดินไปถึงตรงหน้าพวกคนจากสำนักผูกวิญญาณ
เช้ง!
ประกายกระบี่สาดแวบขึ้น
คนของสำนักผูกวิญญาณพลันร่างแข็งทื่อ ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ศีรษะของพวกเขาก็ระเบิดเป็นรูขนาดเท่าไข่ไก่ จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ จางหายไป
ทุกคนถูกลู่เซิ่งแทงตายในหนึ่งกระบี่
“ศิษย์พี่ลู่?! ท่านทำอะไรกัน!?” เซี่ยอวี้ฉยงตกใจ อดร้องถามไม่ได้
“ฉวยโอกาสที่อารมณ์ยังดี ฆ่าคนจากสำนักผูกวิญญาณทิ้ง จะได้ไม่รำคาญใจทีหลัง” ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม
พวกเซี่ยอวี้ฉยงพลันหมดคำพูด
อารมณ์ดียังฆ่าคน แม้จะไม่ใช่เป็นการฆ่าจริงๆ แต่หลังจากตายลงที่นี่ เมื่อออกไปแล้วยังต้องพักผ่อนเป็นเวลานาน ถึงจะฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ได้ นี่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บทางกายเนื้อ หากเป็นการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณ นอกจากใช้เวลาหล่อเลี้ยงแล้ว วิธีอื่นก็ยากเย็นถึงขีดสุด
นิสัยของศิษย์พี่ลู่ผู้นี้โหดเหี้ยมยากหยั่งถึงอยู่บ้าง
…
เคร้ง
มีดในมือหวังอวิ่นหลงหล่นลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะกระแทกกับพื้นหินแล้วส่งเสียงดังกังวาน
เขาจ้องมองสตรีสวมเสื้อคลุมสีดำเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเหยเก ด้วยความสามารถของเขาในปัจจุบัน กลับยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
แม้จะรู้ว่าในศึกช่วงชิงจะต้องมีสัตว์ประหลาดระดับสุดยอดบางส่วนปะปนเข้ามาด้วย แต่คนที่ปะปนเข้ามาผู้นี้แปลกประหลาดเกินไปแล้วกระมัง
“เจ้ากำลัง มองอะไร” เส้นผมของสตรีถูกคลุมอยู่ในหมวกติดเสื้อสีดำ ผมสีขาวบางส่วนสยายลงมาจากไหล่ทั้งสองข้าง
ดวงตานางเป็นสีม่วงเข้มที่บริสุทธิ์เหมือนอัญมณี ดูงดงามถึงขีดสุด ใบหน้าก็หมดจดสุดแสน สมบูรณ์แบบเหมือนกับตุ๊กตา
ทว่าเสียงของนางกลับทำให้คนไม่เกิดความปรารถนาหรือความฟุ้งซ่านใดๆ
นั่นเป็นเสียงที่เหมือนบุรุษและสตรีกล่าวอย่างเรียบเฉยพร้อมกัน เสียงสองเสียงผสมกัน ให้ความรู้สึกเฉยชาราบเรียบ และไร้อารมณ์ ไม่มีแม้แต่ความสูงต่ำ เหมือนกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเปลือกร่างที่งดงามนี้เป็นสัตว์ประหลาดที่มิใช่มนุษย์ชนิดหนึ่ง
หวังอวิ่นหลงฝืนเค้นรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ซือหม่าเฮ่อ…ข้าไม่เคยเจอคนที่ท่านอยากตามหา แต่ถ้าหาคนของสมาคมพันราชาเจอ ท่านอาจจะบรรลุเป้าหมายก็ได้…”
“สมาคมพันราชาหรือ” สองตาที่ไร้เดียงสาและว่างเปล่าของซือหม่าเฮ่อจ้องมองหวังอวิ่นหลงสักพักหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”
“คืออย่างนี้ ขอแค่เจอสมาคมพันราชา พวกเขาจะต้องมีรายชื่อผู้เข้าร่วมศึกช่วงชิงทั้งหมดในมือแน่ ถ้าค้นหาตามรายชื่อล่ะก็…จะต้อง…” หวังอวิ่นหลงเงยหน้าอย่างฉับพลัน ค่อยพบว่าตรงหน้าตนไม่มีใครแล้ว
ฮ่า!
เขาถอนใจยาว กวาดตามองพื้นดินรอบๆ ศพของศิษย์จากสามสำนักจำนวนสิบกว่าศพกำลังสลายหายไปอย่างช้าๆ
หวังอวิ่นหลงปาดเหงื่อ ก่อนจะก้มลงยิ้มอย่างขื่นขม
‘ระดับปฐมปฐพีได้แต่รักษาชีวิตต่อหน้าคนผู้นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่…’
ทว่าพอนึกถึงศิษย์พี่ซือหม่าเฮ่อที่โผล่มาอย่างกะทันหัน หวังอวิ่นหลงก็เกิดความสงสัย
‘ดูท่าทาง ศิษย์พี่ซือหม่าเฮ่อผู้นี้จะเข้าร่วมศึกช่วงชิงในครั้งนี้เพื่อตามหาคนโดยเฉพาะ’ แม้เขาจะเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ แต่ก็มีเป้าหมายอื่นซึ่งไม่ใช่รายชื่อที่จะได้รับการชี้แนะจากเจ้าแห่งอาวุธ แต่คนอย่างซือหม่าเฮ่อกลับมีเป้าหมายอื่นเหมือนกัน
หวังอวิ่นหลงพลันนึกเชื่อมโยงถึงลู่เซิ่งที่เจอในโลกด้านนอกเมื่อก่อนหน้านี้ ซึ่งแข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผลและมีความเป็นมาลึกลับเหมือนกัน
…
หลังจากบรรลุข้อตกลงกับกงฉือ ลู่เซิ่งก็รับปากว่าถ้าหากไม่เจอสถานการณ์พิเศษ ก็จะไม่ลงมือกับกงฉือและคนที่อยู่รอบๆ
เวลานี้ เซี่ยอวี้ฉยงสองพี่น้องติดตามอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง คนของสำนักซ่อนธาตุติดตามกงฉือ ทั้งสองกลุ่มทยอยเร่งรุดไปยังจุดพักผ่อน
จุดพักผ่อนของสามสำนักอยู่ห่างจากรูปสลักตรงกลางไกลมาก ระหว่างทางที่วิ่งตะบึงมา พวกเขาก็เจอการลอบโจมตีจากยักษ์ตัวเล็กที่พระภิกษุหลับตาแปลงกายมาหลายครั้ง
ทว่าต่อหน้าลู่เซิ่ง สัตว์ประหลาดพวกนี้เพิ่งโผล่มาก็ถูกจัดการในพริบตา ไม่นานคนทั้งสองกลุ่มก็เจอคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ด้านหน้าในตอนที่ผ่านป่าไผ่ที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง
คนสิบคนรุมล้อมสัตว์ประหลาดสีขาวขนาดยักษ์ที่ปิดหน้าไว้ตัวหนึ่ง พวกเขาคอยกระโดดหลบหลีกตลอดเวลา บางครั้งก็เข้าไปฟันสองสามกระบวนท่า ก่อนจะถอยหนีออกมาทันที
ศีรษะของสัตว์ประหลาดสีขาวตนนั้นเป็นทรงสามเหลี่ยม ไม่มีหน้าตา ใบหน้ามีแค่คำว่า ‘พุทธ’ สีดำตัวใหญ่
สัตว์ประหลาดสูงสี่หมี่กว่าๆ แขนขาเรียวยาว มีคมมีดที่เหมือนเคียวอันคมกริบงอกโค้งอยู่บนแขนขา อีกทั้งยังเคลื่อนไหวปราดเปรียวถึงขีดสุด
……………………………………….