ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 365 ค้ากำไรเกินควร (1)
บทที่ 365 ค้ากำไรเกินควร (1)
หยวนเจิ้งซั่งเหรินรู้ว่ามีคนจงใจก่อกวน จึงรีบเปลี่ยนภาพ
ภาพมากมายต่อจากนั้นทำให้เขาแทบเสียสติ ศิษย์ของสำนักพันอาทิตย์ร้องไห้คุกเข่ากับพื้นพร้อมกับเอาตั๋วทองคำมารออกมาซื้อชีวิตตัวเอง ส่วนอีกฝ่ายเป็นพวกยอดฝีมือจากสำนักผูกวิญญาณ พวกเขาทำหน้าสับสน เพราะพวกเขาบอกไปแล้วว่าไม่มีทางไว้ชีวิตคนเหล่านี้แน่นอน
แต่ว่าเป้าหมายที่คนของสำนักพันอาทิตย์นำตั๋วทองคำออกมา ก็เพียงเพื่อให้อีกฝ่ายลงมือรวดเร็วและพยายามลดความเจ็บปวดให้มากที่สุด พวกเขากลัวเจ็บนี่นา…
“ศิษย์รุ่นนี้…ศิษย์รุ่นนี้…” หยวนเจิงซั่งเหรินโกรธจนเคราขาวชี้โด่เด่ จ้องมองผู้อาวุโสกับเจ้าตำหนักที่เหลืออย่างดุร้าย
“ดูซิว่าพวกเจ้านำบรรยากาศแบบใดมา!? เงินๆๆ! รู้จักแต่เงิน! รอไปถึงพิภพมารของทัพมาร พวกเจ้าคิดจะต่อรองกับแม่ทัพมารหรือไม่!?”
“คนเราล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ทั้งนั้น เหตุใดผู้อาวุโสหยวนเจิ้งต้องโกรธด้วย แม้แต่พิภพมารก็ยังสู้กับโลกมนุษย์ของเราเพราะผลประโยชน์เช่นกัน ถ้าหากพวกเราสร้างผลประโยชน์ที่ทำให้พวกเขาพอใจจนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองได้จริงๆ ต่อให้เป็นแม่ทัพมารในทัพมาร ก็ไม่แน่ว่าจะชนะได้โดยไม่ต้องสู้” เจ้าตำหนักหุนเซี่ยงที่เป็นอันดับหนึ่งในหมู่เจ้าตำหนักทั้งเก้าโต้กลับอย่างเกียจคร้าน
“ถูกต้อง พวกเราเห็นด้วยกับคำพูดของเจ้าตำหนักหุนเซี่ยง”
“เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวถูกต้องที่สุด หากไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เหตุใดยังต้องสู้เป็นตายอีกเล่า การต่อสู้ไม่ใช่วิธีการที่จำเป็นเสียหน่อย เพียงเป็นการข่มขวัญอย่างหนึ่ง เป็นการข่มขวัญเพื่อสันติภาพและความก้าวหน้า”
“ผู้อาวุโสใหญ่หัวรุนแรงเกินไป ความจริงไม่เป็นผลดีต่อความปรองดอง”
เจ้าตำหนักและผู้อาวุโสของสำนักพันอาทิตย์แต่ละคนพากันส่งเสียงเห็นด้วย
หยวนเจิ้งซั่งเหรินใบหน้าดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นบรรยากาศของสำนักพันอาทิตย์ เจ้าตำหนักหุนเซี่ยงยังมีตำแหน่งเป็นรองเจ้าสำนักด้วย เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าสำนักที่แต่งตั้งเขาเป็นรองเจ้าสำนักโน้มเอียงไปทางไหน
พรึ่บๆๆ!
เขาเปลี่ยนภาพอย่างรวดเร็ว ขอแค่มีศิษย์สำนักพันอาทิตย์ปรากฏตัว ล้วนเป็นคนงั่งที่จ่ายเงินซื้อชีวิตและซื้ออันดับทั้งสิ้น สร้างความโมโหให้หยวนเจิ้งซั่งเหรินมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าไม่ใช่ว่าค่ายกลนี้เป็นของที่สำนักพันอาทิตย์ช่วยสนับสนุน คนของสองสำนักที่เหลือคงประท้วงแต่แรกแล้ว
ไม่นานภาพก็เปลี่ยนไปยังตำแหน่งของซ่งเฉวียนคุณชายซ่ง ตอนนี้เขากำลังต่อรองราคากับเหล่ายอดฝีมือจากสำนักซ่อนธาตุอยู่
“ในสายตาข้า ไม่มีเรื่องที่เงินแก้ไขไม่ได้ ถ้าหากมี ก็แสดงว่าเงินไม่เพียงพอ” ซ่งเฉวียนคุณชายซ่งนับว่าเป็นบุคคลระดับผู้นำในหมู่ลูกศิษย์ยุคนี้ ไม่ใช่แค่พลังฝึกปรือเท่านั้น เขายังได้สร้างแปดอัจฉริยะกำยานเทพอันเป็นองค์กรเล็กๆ ขึ้นมา แถมยังเป็นหัวหน้าแห่งแปดอัจฉริยะนั้นเองด้วย
“คุณชายซ่ง สองหมื่น สองหมื่นแล้วพวกเราจะช่วยท่านจัดการกำแพงดำสองตัว ส่วนที่เหลือพวกท่านจัดการกันเอง” ยอดฝีมือสำนักซ่อนธาตุต่อรอง
“สองหมื่นต้องจัดการให้หมด ไม่อย่างนั้นพวกเราจัดการเอง” ซ่งเฉวียนโบกมือ
“สามหมื่นทั้งหมด!”
“สองหมื่น!”
“สองหมื่นแปด!”
“สองหมื่นห้า!”
“เปลี่ยน” หยวนเจิ้งซั่งเหรินโกรธจนตบธงค่ายกลบนมืออย่างรุนแรง
ภาพเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน แสดงภาพคนของสำนักพันอาทิตย์สามคนกับศิษย์สำนักเล็กๆ ที่ไม่รู้จักชื่อหลายคนยืนอยู่ด้วยกันริมทะเลสาบผืนเล็กพอดี บุรุษคนหนึ่งในนี้ยืนอยู่ด้านหน้าสุด ร่างกายกำยำ มือถือดาบโค้ง
“คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าข้าได้มีอยู่สองจำพวก” บุรุษกล่าวอย่างสงบ “คนแรกคือคนรวย”
หยวนเจิ้งซั่งเหรินแน่นอก กำลังจะเปลี่ยนภาพ
“คนที่สองคือคนตาย”
เอ๋?
หยวนเจิ้งซั่งเหรินหยุดการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ระดับสูงของสามสำนักที่เหลือบนลานต่างพากันส่งเสียงร้องเอ๋เบาๆ
สายตามากมายพากันมองร่างของบุรุษสูงใหญ่ในภาพ สัญลักษณ์สำนักพันอาทิตย์บนตัวเขาโดดเด่นเป็นพิเศษ
“คนผู้นี้…มาจากตำหนักใด” หยวนเจิ้งซั่งเหรินมองผู้อาวุโสเจ้าตำหนักที่เหลือ แต่ต่างคนต่างผุดสีหน้างุนงง
หยวนเจิ้งซั่งเหรินปรับภาพเล็กน้อย เผยให้เห็นอาณาเขตส่วนหนึ่งด้านหน้าบุรุษ
โอ้!
อยู่ๆ ทั่วทั้งลานก็วุ่นวายขึ้นมา
เห็นคนไม่ต่ำกว่ายี่สิบกว่าคนล้มกองระเนระนาดบนที่ว่างริมทะเลสาบตรงหน้าบุรุษ คนเหล่านี้ล้วนมีสัญลักษณ์สำนักซ่อนธาตุกับสำนักผูกวิญญาณบนชุด เลือดไหลออกมารวมกันเป็นแอ่งเล็กๆ แล้วไหลลงสู่ทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง
“ไม่มีเงินซื้อชีวิต เช่นนั้นก็ไปตายเสียเถอะ” บุรุษเก็บดาบแล้วหมุนตัวจากไป
แข็งกร้าว!
หยวนเจิ้งซั่งเหรินพลันตื่นเต้น นี่สิจึงเป็นคนของสำนักพันอาทิตย์ตามอุดมคติในใจของเขา! พริบตานั้น สายตาที่เขามองบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปแล้ว นี่สิจึงเป็นศิษย์ในอุดมคติ!
ระดับสูงของสามสำนักคนอื่นๆ ปั่นป่วนเช่นกัน นี่เป็นคนของสำนักพันอาทิตย์หรือนี่ สำนักซ่อนธาตุไม่มีคนเกรี้ยวกราดแบบนี้เหมือนกันกระมัง
“ประเสริฐ!” หยวนเจิ้งซั่งเหรินโห่ร้อง ต่อให้เป็นจ่างซุนหลัน ก็ไม่เคยทำให้เขาได้หน้าขนาดนี้!
“นี่สิภาพลักษณ์ของคนที่น่าภาคภูมิใจอย่างแท้จริงของสำนักพันอาทิตย์” เขาลุกขึ้นกล่าวเสียงกังวาน
เจ้าตำหนักคนอื่นๆ โดยเฉพาะเจ้าตำหนักหุนเซี่ยงขมวดคิ้ว จ้องมองบุรุษในภาพอย่างตั้งใจ จากนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบกับผู้อาวุโสคนหนึ่งด้านข้าง
เจ้าตำหนักผู้อาวุโสของสำนักพันอาทิตย์จำนวนไม่น้อยมีสีหน้าย่ำแย่เช่นกัน สำนักพันอาทิตย์ไม่ต้องการคนที่เกรี้ยวกราดโอหังแบบนี้ ความละมุนละม่อมนำมาซึ่งเงิน มีแต่ความละมุนละม่อมเท่านั้นที่ทำให้มีวิธีไกล่เกลี่ยขุมกำลังใหญ่ๆ เพื่อหาผลประโยชน์มากกว่าเดิมได้ ศิษย์แบบนี้ แม้จะได้ความสะใจชั่วขณะ แต่ภายหลังจะจัดการความสัมพันธ์ได้ยาก
แต่ว่าในเมื่อหยวนเจิ้งซั่งเหรินผู้อาวุโสใหญ่ที่ได้รับการจัดอยู่ในอันดับหนึ่งเอ่ยปากแล้ว ย่อมไม่มีคนกล้าพูดอะไร ต่อให้เป็นเจ้าตำหนักหุนเซี่ยงก็ไม่โต้แย้ง อย่างไรหยวนเจิ้งเซิ่งเหรินก็เป็นอันดับที่หนึ่งของสำนักพันอาทิตย์ในระดับจังหวัดที่มีประสบการณ์และพลังมากที่สุดนอกจากเจ้าสำนัก
ยิ่งไปกว่านั้นคนอื่นๆ เพียงแค่มีความเห็นไม่ลงรอยกัน ไม่ใช่ขัดผลประโยชน์กัน
“น่าเสียดายตรงที่…เผยประกายออกมามากเกินไปบ้าง…” รองเจ้าตำหนักคนหนึ่งอดบ่นงึมงำไม่ได้
“เผยประกาย ผายลม!” หยวนเจิ้งซั่งเหรินเดือดดาล “สำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์ขายหน้าเพราะพวกเจ้าหมดแล้ว! จงดูเด็กน้อยในภาพเสีย นี่จึงเป็นคนที่สำนักพันอาทิตย์ควรเอาเยี่ยงอย่าง”
ทุกคนมองหน้ากัน รองเจ้าตำหนักที่ถูกตำหนิหน้าแดง แต่ไม่กล้าโต้ตอบ
คนจากสามสำนักที่เหลือพากันมองผิวคันฉ่องต่อ
…
ลู่เซิ่งสะบัดเลือดบนดาบ ด้วยขอบเขตพลังฝึกปรือและจิตใจของเขาในตอนนี้ ย่อมพบสายตาไม่น้อยที่มองลงมาจากเหนือศีรษะ ส่วนใหญ่สายตาเหล่านี้ฉายแววคาดหวังและเป็นกลาง
เพียงใช้ความคิดเล็กน้อย เขาก็รู้ว่านั่นสมควรเป็นวิชาลับระดับสูงของสามสำนักที่ใช้สอดส่องสถานการณ์
เขาไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะมองตนอย่างไร ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็หาเงินทุนได้มากพอแล้ว หากผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีโอกาสดีๆ แบบนี้อีกแล้ว หน้ำซ้ำยังมีซูหนิงเฟยคอยหนุนหลังอยู่ บวกกับพลังฝึกปรือระดับจ้าวแห่งมารของเขา จึงไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
กลับมาถึงด้านหน้าพวกเซี่ยอวี้ฉยง เขามองวัดและอาคารที่มีควันสีดำลอยออกมาอย่างช้าๆ ไกลออกไป ก่อนจะขมวดคิ้ว
“นั่นคือเขตวัดเสียงพุทธกระมัง”
“ถูกต้องแล้วศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้พวกเราเห็นคนจากสำนักผูกวิญญาณมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้นจากที่นี่” เซี่ยอวี้ฉยงกล่าวเบาๆ
“พวกเขาไม่สนใจพวกเจ้าหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว เมื่อครู่เขาไปที่ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ตอนแรกคิดหารายได้นิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าคนกลุ่มนั้นจะเป็นพวกกระดูกขัดมัน แถมยังลงมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก
คนที่ไร้สายตาแบบนี้ย่อมเจอบทสรุปโดนฟันตายในไม่กี่ดาบ
“ไม่สนใจจริงๆ ท่าทางดูเร่งรีบ บางทีอาจได้รับยันต์ข้อความลับของสำนักผูกวิญญาณก็ได้” เซี่ยอวี้ฉยงกล่าวพลางนิ่วหน้า
สตรีนางนี้มีประสบการณ์กว้างขวาง แถมยังมีความคิดเป็นของตัวเอง แม้พลังจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ปกป้องตนเองและหลบหนีเอาชีวิตรอดได้ จึงเริ่มได้รับความไว้ใจจากลู่เซิ่งในกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้
“พวกเราก็ไปด้วยเถอะ ตอนนี้เหลือคนไม่กี่คน อาจถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้วก็ได้ คนของสำนักผูกวิญญาณรวมตัวกันแบบนี้ เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะได้รับข้อมูลบางอย่าง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ความหมายของศิษย์พี่ลู่คือ…ต้องการคัดคนทิ้งหรือ” เซี่ยอวี้ฉยงเข้าใจในทันที โดยเฉพาะลู่เซิ่งยังลงมืออย่างเหี้ยมโหดกับคนของสำนักผูกวิญญาณมาโดยตลอด
“คัดคนทิ้งอะไร การแย่งชิงอันดับต้องอาศัยความสามารถของตัวเองอยู่แล้ว ว่ากันว่าศิษย์พี่ซุนหรงจี๋มีพลังน่าทึ่ง ทั้งยังเป็นอันดับหนึ่งในสำนักผูกวิญญาณ จึงอยากจะทดลองดูว่าอันดับหนึ่งในเรื่องเล่าลือนี้ร้ายกาจขนาดไหนเท่านั้น” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่นำพา
เพียงแต่เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป คนที่อยู่รอบๆ ล้วนไม่มีใครเชื่อ
ทว่าในเมื่อลู่เซิ่งตัดสินใจแล้ว คนอื่นๆ ย่อมติดตามย่างก้าวของเขา
พวกเขาตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ เมื่อไม่พบสัตว์ประหลาดตัวอื่นอีก ก็มุ่งหน้าไปยังเขตวัดเสียงพุทธ
ช่วงเวลาคั่นระหว่างออกจากอาณาเขตนี้เข้าสู่กลางสามเขตใหญ่ เสียงแก่ชราก็ดังมาจากฟากฟ้า มุดเข้าหูของทุกคน
“มุ่งหน้าไปยังสถูปสามองค์ของวัดเสียงพุทธเพื่อแย่งชิงกุญแจดอกสุดท้าย แล้วจะได้รับสิทธิ์ไปยังจังหวัดอื่น กุญแจทอง เงิน ทองแดงสามดอกหมายถึงอันดับหนึ่ง สอง และสาม การช่วงชิงมีเวลาห้าชั่วยาม”
เสียงพูดทวนอยู่สามรอบ หลังจากพูดจบ ก็ค่อยๆ เงียบลง ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าความรู้สึกที่ถูกจับตามองค่อยๆ หายไปแล้ว
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า
เห็นได้ชัดว่าเสียงนั้นทำการตัดสินใจอย่างกะทันหัน หลังจากเห็นฝีมือของเขา ระดับสูงของสามสำนักเป็นผู้ควบคุมว่าจะเพิ่มกุญแจดอกสุดท้ายเข้ามาหรือไม่
“ศิษย์พี่ลู่…กุญแจสามดอกเลยนะ…” เซี่ยอวี้ฉยงดวงตาฉายแววอิจฉา แต่รู้ว่าพวกตนไม่อาจแตะต้องกุญแจสามดอกนี้ได้
“หากอยากไปพวกเจ้าจะไปเองก็ได้” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา
พี่น้องเซี่ยอวี้ฉยงสบตากัน ล้วนยิ้มฝาดเฝื่อน ในกลุ่มเสวียนจูมีบางคนหวั่นไหว แต่สุดท้ายก็ไม่เคลื่อนไหว หวั่นไหวนั้นหวั่นไหวอยู่ แต่หากว่าถึงคราวต้องสู้ด้วยตัวเองจริงๆ ก็ไม่มีใครมีความกล้านี้ ด้วยพลังของพวกเขา หากเจอยอดฝีมือที่มาแย่งชิงเข้า การถูกฆ่าออกไปเป็นเรื่องที่ใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น
ทุกคนรีบเดินทาง อยู่ๆ ในตรอกทางซ้ายมือก็มีเสียงตะโกนดังมา
“ทุกท่านที่อยู่ด้านหน้ารู้ไหมว่าเขตวัดเสียงพุทธอยู่ทิศไหน พวกท่านวางใจ พวกเราจะไม่ให้ท่านนำทางโดยไม่มีค่าตอบแทน”
ศิษย์อายุน้อยที่มีสัญลักษณ์ของสำนักผูกวิญญาณกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากในวัดหลังคาโค้งสีขาว สองคนที่อยู่ด้านหน้าคนหนึ่งเป็นบุรุษรูปงามที่ไว้เคราข้างแก้มและมีรูปร่างสูงใหญ่ อีกคนหนึ่งเป็นสตรีอายุน้อยรูปโฉมงดงาม ไว้ผมยาวสีแดงประป่า ทั้งสองล้วนสวมเกราะหนังทั้งตัวสีแดงเพลิง และแบกแส้ที่มีหนามโค้งสองเส้นไว้ด้านหลัง
ลู่เซิ่งพลันหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองคนกลุ่มนี้
“คนของสำนักผูกวิญญาณใช่หรือไม่” เขาถาม
“ถูกต้อง ข้ามาจากสำนักผูกวิญญาณ จ้าว…” บุรุษผู้นั้นยังพูดไม่จบ สีหน้าก็ผกผัน ก่อนจะพุ่งถอยหลัง
เช้ง!
ประกายดาบสายหนึ่งพุ่งผ่านข้างตัวเขาไป ไม่รู้ว่าลู่เซิ่งพุ่งไปถึงข้างเขาตั้งแต่ตอนไหน ประกายดาบอันสว่างไสวระเบิดขึ้นในมือเขา ไม่ใช่แค่ฟันใส่บุรุษรูปงามเท่านั้น ยังฟันใส่คนของสำนักผูกวิญญาณสิบกว่าคนที่อยู่รอบๆ ด้วย ประกายดาบสาดขึ้นแวบเดียวแล้วหายไป
……………………………………….