ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 366 ค้ากำไรเกินควร (2)
บทที่ 366 ค้ากำไรเกินควร (2)
“เจ้า! ทำไมกัน!” บุรุษทั้งแตกตื่นทั้งโมโห ถอยหลังด้วยความเร็วสูง พอมองดูคนที่อยู่รอบๆ อีกครั้ง กลับพลันพบว่าทุกคนรวมถึงน้องสาวของเขายืนแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน
เขาขยับตัวอีกครั้ง ฉับพลันนั้นมีลมเย็นพัดผ่าน คนสิบกว่าคนที่อยู่รอบๆ พากันล้มลงกับพื้น แล้วสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าทำไปเพื่ออะไรกันแน่!?” บุรุษถอยหลังติดต่อกัน สายตากวาดผ่านสัญลักษณ์สำนักพันอาทิตย์ตรงหน้าอกของลู่เซิ่ง ก่อนจะเผยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ช่วยไม่ได้ ข้าหาเรื่องผู้อาวุโสหยวนเฉิงเต้าของพวกเจ้าไม่ได้ จึงได้แต่ระบายอารมณ์กับพวกเจ้าแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างเจิดจ้า “เขาอยากเล่นกับข้า ข้าผู้แซ่ลู่ย่อมไม่กล้าปฏิเสธ ต้องค่อยๆ เล่นกับเขาแล้ว…”
สวบ
เขาวาดคมดาบเป็นเส้นโค้งประหลาด จากนั้นก็แทงใส่คอของบุรุษอย่างแผ่วเบา ปราณจริงแท้จำนวนมากทะลักเข้าไปในร่างอีกฝ่าย แล้วทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในร่างของอีกฝ่าย
“เจ้า…ข้า…” บุรุษตายไปโดยไม่เข้าใจ ศิษย์สำนักพันอาทิตย์คนหนึ่งกลับแข็งแกร่งถึงขั้นที่ตนสู้ไม่ไหว พวกเขายังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกลู่เซิ่งคัดทิ้งในดาบเดียวแล้ว
ลู่เซิ่งเร็วเกินไป หลังจากยกระดับวิชาดาบย้ายดวงดาวถึงระดับที่หนึ่งร้อยแปดสิบเก้าอันน่ากลัวในรวดเดียว ความเร็วสูงอันเป็นผลพิเศษก็ได้รับการยกระดับไปถึงขั้นที่หนึ่งร้อยแปดสิบเก้าเช่นกัน
ต่อให้เป็นความเร็วของคนธรรมดา หากได้รับการยกระดับหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าขั้น ก็สามารถไปถึงขั้นที่พิสดารได้ ยิ่งอย่าว่าแต่ผู้เข้มแข็งที่มีกายเนื้อแข็งแกร่งระดับลู่เซิ่ง
เขากดความเร็วของตนเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ศิษย์สำนักผูกวิญญาณระดับจตุลักษณ์หรือเบญจลักษณ์กลุ่มนี้ก็ยังตอบสนองไม่ทัน เป็นเหตุให้พินาศย่อยยับไปทั้งกลุ่ม
เขาชักดาบออกมาพลางมองดูบุรุษรูปงามที่อ่อนระทวยล้มลงกับพื้น ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม
…
ณ ชั้นนอกของวัดตราทมิฬ
แก๊ง!
หยวนเฉิงเต้าทำลูกกลมทองแดงในมือหล่นลงพื้นโดยไม่ทันระวัง ลวดลายบนนั้นถูกกระแทกจนกลายเป็นรอยบิ่นบางส่วน
ตอนนี้เขาไม่ขยับเขยื้อนและไม่ได้มองลูกกลมทองแดงที่ตนชอบนำมาคลึงเล่นเป็นกิจวัตร แต่จดจ้องภาพเหนือศีรษะเขม็งด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
ลู่เซิ่งที่อยู่ตรงนั้นกำลังซ้ำดาบใส่ศิษย์หกคนของสำนักผูกวิญญาณด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“ถ้าหากบอกว่าครั้งแรกเป็นความบังเอิญ อย่างนั้นครั้งที่สองครั้งที่สามก็เป็นการพุ่งเป้าแล้ว”
“หรือว่าผู้อาวุโสหยวนที่เขาพูดถึงจะเป็นผู้อาวุโสหยวนเฉิงเต้าแห่งสำนักผูกวิญญาณของพวกเรา”
“หรือจะมีคนชื่อซ้ำอีก ไม่รู้ว่าเขาไปหาเรื่องดาวสังหารผู้นี้ตอนไหน ข้าลองนับดูแล้ว คนที่ถูกจัดการด้วยน้ำมือของเขาที่พวกเราเห็นมีเกือบสามสิบคน แต่ละสำนักส่งคนเข้าไปไม่ถึงหนึ่งร้อยคนด้วยซ้ำ…”
หยวนเฉิงเต้าได้ยินเสียงสนทนารอบๆ เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่านี่เป็นการจงใจพูดให้เขาได้ยิน เขาจ้องมองลู่เซิ่งในภาพ ตอนแรกคิดจะไว้ชีวิตเด็กน้อยผู้นี้เพื่อค่อยๆ เล่นด้วย ทว่าตอนนี้ เขาปรารถนาจะกำจัดลู่เซิ่งทิ้งในทันที!
“ผู้อาวุโสหยวน สิ่งที่ลู่เซิ่งของสำนักพันอาทิตย์ผู้นี้พูดเป็นความจริงหรือ” ผู้อาวุโสของศิษย์คนหนึ่งที่ถูกคัดทิ้งเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและสีหน้าบูดบึ้ง
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น เจ้าตำหนักและผู้อาวุโสที่หลานและลูกศิษย์ถูกคัดทิ้งไป ต่างก็จ้องมองมาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเช่นกัน
สีหน้าของหยวนเฉิงเต้าค่อยๆ เหยเกขึ้นเรื่อยๆ สองมือเดี๋ยวกำแน่น เดี๋ยวคลายออก เดี๋ยวกำแน่น เดี๋ยวคลายออก “ข้านึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะเติบโตเร็วแบบนี้…” เขารู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเสียงของตนแห้งผากได้ถึงขนาดนี้
โอ!
อยู่ๆ คนจากทั้งสามสำนักก็พากันส่งเสียงร้องอุทานคล้ายกับเห็นเรื่องที่น่าตกใจเข้า
หยวนเฉิงเต้ารีบเงยหน้าขึ้นมอง กลับพบว่าภาพเปลี่ยนแปลงวูบวาบอีกครั้ง กลายเป็นพื้นโคลนสีดำสนิทผืนหนึ่ง
สถูปยอดแหลมสามองค์บนพื้นยิ่งใหญ่เกรียงไกร สูงเกือบสิบชั้น ผิวของสถูปสีทองแปดเปื้อนสิ่งสกปรกสีดำอมเทาจำนวนหนึ่ง แต่ไม่อาจปกปิดผิวภายนอกที่เปล่งแสงสีทองอร่ามได้
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนของสามสำนักส่งเสียงร้องด้วยความตกใจไม่ใช่สิ่งของเหล่านี้ หากเป็นคนสามคนที่ยืนคุมเชิงกันอยู่กลางสถูป พวกเขาตกใจที่ทั้งสามคนเจอหน้ากันเร็วขนาดนี้
สามคนในภาพแบ่งเป็นสองบุรุษหนึ่งสตรี สวมชุดที่มีสัญลักษณ์ของสำนักผูกวิญญาณ สำนักซ่อนธาตุ และสำนักพันอาทิตย์ตามลำดับ
รวมถึงสถานะของทั้งสามยังเป็นศิษย์เรือนด้านในที่แข็งแกร่งที่สุดของสามสำนักในจังหวัดไร้เหมันต์ด้วย
ซุนหรงจี๋สำนักผูกวิญญาณ หลีม่ายสำนักซ่อนธาตุ จ่างซุนหลันสำนักพันอาทิตย์
ซุนหรงจี๋มีบุคลิกเยือกเย็น สวมเกราะอ่อนสีน้ำตาลแนบเนื้อ สะพายทวนวงเดือนสีดำอมฟ้าไว้ด้านหลัง คิ้วหนาตาดุ ใบหน้าเหลี่ยม กล้ามเนื้ออันหนั่นแน่นสีทองแดง ทำให้คนรู้สึกไม่น่าคบเท่าไหร่ ตอนนี้เขาจ้องมองบุรุษที่เคร่งขรึมซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งเขม็ง แต่ไม่ค่อยสนใจสตรีที่อยู่ด้านข้างมากนัก
“หลีม่าย จงมอบอันดับที่หนึ่งในครั้งนี้ให้ข้า แล้วข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนั้นเป็นการแลกเปลี่ยน ดีหรือไม่” ซุนหรงจี๋แสดงสีหน้าสงบราบเรียบ แต่ในคำพูดมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
บุรุษเคร่งขรึมผู้นั้นก็คือหลี่ม่ายที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักซ่อนธาตุ คนผู้นี้สวมชุดแนบเนื้อสีม่วงอมดำ มัดสายรัดเอวสีฟ้าอมเงิน ติดป้ายแขวนเอวสีขาวไว้ด้านข้าง ผมยาวมัดเป็นหางม้า สองขาพันผ้ารัดขาสีดำ พกกระบี่สั้นสีขาวบริสุทธิ์ไว้ด้านหลัง ตัดกับชุดสีดำอย่างชัดเจน
“ไม่จำเป็น เกรงว่าพวกเราสามคนที่อยู่ที่นี่คงไม่มีใครคิดปล่อยกุญแจสีทองไป อยากได้ก็จงเอาไปด้วยพลังที่แท้จริง” ในคำพูดของหลีม่ายเต็มไปด้วยความเย็นชา อันดับที่หนึ่งของจังหวัดไร้เหมันต์รอบนี้สามารถไปแลกเปลี่ยนกับศิษย์ในเขตอื่นได้เป็นเรื่องสำคัญรองลงไป สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือความมั่งคั่งเกือบแสนทองคำมาร เขาไม่ได้เหมือนสำนักพันอาทิตย์ เดิมทีศิษย์ของสำนักซ่อนธาตุยากจนอยู่แล้ว ผู้ใดก็บอกไม่ได้ว่าหนึ่งแสนทองคำมารจะแสดงประสิทธิผลที่น่ากลัวขนาดไหนเมื่ออยู่ในมือของพวกเขา
แต่ว่าเขากับซุนซงจี๋พอฟัดพอเหวี่ยงกัน เขาเพียงแค่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย ถ้าหากสู้หนึ่งต่อหนึ่งยังไหว พอจะมีโอกาสชนะอยู่บ้าง หลังจากผ่านไปสองร้อยกระบวนท่าจะเป็นเขาที่ชนะ ทว่าตอนนี้มีจ่างซุนหลันโผล่มาอีกคน ซึ่งเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะสร้างผลกระทบให้แก่ผลแพ้ชนะ
จ่างซุนหลันกัดริมฝีปากล่าง กำแท่งแบ่งวารี[1]สองแท่งไว้แน่น กุญแจทองในครั้งนี้ แม้นางจะมีโอกาสชนะไม่มาก แต่ก็ไม่มีทางยอมแพ้แน่
“หลันเอ๋อร์ อย่าได้ก่อกวนแล้ว เจ้าสมควรรู้ว่ากุญแจสีทองนี้มีความหมายอย่างไรกับข้าและสหายหลี” ซุนหรงจี๋จ้องมองร่างของจ่างซุนหลัน นางอ่อนแอที่สุดในคนทั้งสาม ถ้าหากกำจัดนางก่อน เขากับหลีม่ายที่เหลืออยู่จะตัดสินผลแพ้ชนะได้โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
จ่างซุนหลันเงียบงันไม่ส่งเสียง เพียงยืนนิ่งอยู่กับที่
เหตุใดนางจะไม่รู้ว่านางอ่อนแอที่สุดในสามสำนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีโอกาสเอากุญแจสีทองไป
“หรือสหายซุนคิดว่ากำจัดข้าได้แน่ๆ” หลีม่ายไม่ใช่คนยอมใครอยู่แล้ว เขาแสดงสีหน้าเย็นชา
“สหายหลีเหมือนมีความมั่นใจมาก” ซุนหรงจี๋ยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรามากำจัดหลันเอ๋อร์ออกจากการแข่งขันก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยสู้หนึ่งต่อหนึ่งอย่างยุติธรรมเพื่อตัดสินเจ้าของกุญแจสีทอง”
หลีม่ายกวาดมองจ่างซุนหลังอย่างเย็นเยียบ สตรีนางนี้งดงามจริงๆ แถมรูปร่างก็ดีจริงๆ แต่ว่าเขากับซุนหรงจี๋ที่อยู่ที่นี่ ไม่ใช่คนที่จะหลงมัวเมาไปกับความงาม
“ก็ได้”
พอกล่าวคำพูดนี้ออกไป จ่างซุนหลันก็ตื่นตัวขึ้น
“ผู้น้องจะเอาความสามารถจากไหน มาต้านทานการร่วมมือกันของสหายซุนและสหายหลี” นางถอยหลังก้าวหนึ่ง สีหน้าระแวดระวังกว่าเดิม
ซุนหรงจี๋ยิ้มแย้ม ไม่ได้พูดและไม่ได้ลงมือ หากมองไปยังหลีม่าย ฝ่ายหลังมองเขาเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าไม่มีความคิดลงมือเหมือนกัน
สองคนนี้เพียงแค่พูดไปอย่างนั้น แต่เวลาลงมือจริงๆ ผู้ใดก็ไม่กล้ายอมเป็นคนแรก เพราะกลัวว่าจะเผยช่องโหว่ออกมาตอนลงมือ เป็นเหตุให้ถูกอีกฝ่ายฉวยโอกาสจู่โจม
สถานการณ์ชะงักงันเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ความจริงทั้งสองคน ไม่ได้เห็นสำนักพันอาทิตย์อยู่ในสายตา พวกเขาเห็นจ่างซุนหลันที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นแค่แจกันดอกไม้ ที่ใช้เพียงสิบกว่ากระบวนท่า ก็จัดการได้ง่ายๆ เท่านั้น คู่ต่อสู้ที่แท้จริงมีแต่พวกเขาด้วยกันเอง
ความจริงจ่างซุนหลันก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่นางยังคงยืนกราน หากสำนักพันอาทิตย์ขาดนางไป สุดท้ายก็จะไม่มีใคร ล้างความอับอายให้จริงๆ หยวนเจิ้งซั่งเหรินผู้เป็นตาของนางจะเสียหน้าเสียตา ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นๆ จะมองอย่างไร นางก็ยังยืนกรานจะยืนอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับอีกสองคน ถึงแม้จะทราบว่าเป็นการดูถูกตัวเอง แต่นี่เป็นหน้าที่ของนาง
เหมือนกับสองคนตรงหน้า พวกเขาถึงขั้นไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ น้ำเสียงและท่าที ทำเหมือนว่าตัวนางเป็นตัวประกอบเท่านั้น
“หลีม่าย ถ้าหากเจ้าเข้าใจเรื่องราว รู้จักรักษาตัวรอดเหมือนพวกศิษย์น้องเมื่อก่อนหน้าก็คงจะดี” ซุนหรงจี๋ถอนใจ
“รักษาตัวรอดหรือ เจ้าหมายถึงเหมือนพวกขยะที่รู้จักแต่โปรยเงินเหล่านั้นน่ะหรือ” หลีม่ายยิ้มเย็นชา
“ท่าน!” จ่างซุนหลันพลันชักแท่งแบ่งวารีออกมา ตางามเย็นชา
“อะไร สำนักพันอาทิตย์ก็อยากแบ่งน้ำแกงสักชามหรือ” หลีม่ายจ้องมองจ่างซุนหลัน ดวงตาผุดจิตสังหารอันโหดเหี้ยม
จ่างซุนหลังลมหายใจชะงัก กัดฟันกรอดๆ ไม่กล้าส่งเสียงอีก
หลีม่ายหัวเราะ ขณะกำลังจะพูด อยู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงก่อนจะพุ่งไปด้านหลังทันที
ไม่ใช่แค่เขา ซุนหรงจี๋ก็ถอยหลังอย่างรวดเร็วเช่นกัน แถมยังเร็วกว่าเขาอีก
ตูม!
พริบตานั้นเกิดเสียงดังกึกก้อง หินยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางเจ็ดแปดหมี่ก้อนหนึ่ง หมุนเข้ามาปะทะกับกำแพงทางขวาจนแหลก แล้วส่งเสียงกระแสลมผ่านคนทั้งสามไปอย่างสะท้านสะเทือน ก่อนจะชนใส่ประตูวัดอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
หินยักษ์แหลกสลาย ประตูใหญ่ถล่มลงเสียงดังโครม พาให้วัดมากกว่าครึ่งส่วนถล่มไปด้วย
ในฝุ่นควันที่ตลบอบอวล เงาคนสูงใหญ่กำยำถือดาบเดินเข้ามาในตัวลาน
“อ้อ…เหมือนจะใช้แรงมากไปหน่อย…”
ครั้นเงาคนสายนี้เข้ามาใกล้ ก็แผ่ความรู้สึกกดดันที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างเลือนรางในทันที โดยเฉพาะดาบที่เขาถืออยู่ รอบๆ คมดาบมีกระแสอากาศร้อนลวกบิดหมุนเวียนวนตลอดเวลา ทำให้อากาศที่อยู่รอบๆ เปลี่ยนแปลงพลิกตัวเหมือนกับกระแสน้ำไปด้วย
“เจ้าเป็นใคร…” ซุนหรงจี๋มองจุดที่หินยักษ์กระแทกใส่ รอยยิ้มบนใบหน้าสลายไป ก่อนจะหมุนตัวไปมองผู้มาอย่างสงบ
“จ่ายมาคนละห้าหมื่นทองคำมาร หากไม่ครบ พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะไปไหนได้เลย” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม “แน่นอนว่าพวกเจ้าจะทดลองหนีก็ได้ แต่ข้ารับประกันได้เลยว่าแบบนั้นมีแต่จะตายเร็วกว่าเดิม…”
ซุนหรงจี๋คิดจะยิ้ม แต่กลับพบว่าไม่ว่าอย่างไรก็ยิ้มไม่ออก
ความเคร่งขรึมของหลีม่ายเมื่อก่อนหน้านี้หายไปแล้ว เขาจ้องมองบุรุษอย่างเอาจริงเอาจัง ยิ่งพลังฝึกปรือสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของบุรุษตรงหน้ามากเท่านั้น
ตอนนี้จ่างซุนหลันกลับมีสีหน้างุนงง นางรู้สึกว่าตนคล้ายตาฝาดจนมองสัญลักษณ์สำนักของอีกฝ่ายหนึ่งผิดไป
นางมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอยืนยันได้ว่าตนไม่ได้เกิดภาพหลอน ค่อยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง
“พันอาทิตย์…เจ้าก็เป็นคนของสำนักพันอาทิตย์เหมือนกันหรือ…” สุดท้ายนางก็อดเอ่ยถามไม่ได้
“อย่าคิดว่าถ้าตีสนิทแล้วข้าจะลดราคาให้” อีกฝ่ายกล่าวพลางยิ้มเย็นชา “ถ้าไม่จ่ายก็ไปตายเสีย!”
พอเขากล่าวคำพูดนี้ออกไป แม้แต่หนังหน้าของซุนหรงจี๋ก็ยังกระตุก เขากวาดตามองสัญลักษณ์สำนักพันอาทิตย์ตรงหน้าอกของบุรุษ แล้วอดมองจ่างซุนหลันอย่างประหลาดใจไม่ได้
“พวกเจ้าเป็นคนสำนักเดียวกันกระมัง”
หลีม่ายก็ทำหน้าประหลาดใจเช่นกัน ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือ ‘เพื่อเงินไม่รู้จักพี่ไม่รู้จักน้อง’…
……………………………………….
[1] แท่นแบ่งวารี เป็นอาวุธโบราณ มีลักษณะเป็นแท่งโลหะเรียวยาวที่มีปลายแหลมทั้งสองด้าน และมีห่วงติดอยู่ตรงกลาง