ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 368 ขูดรีดอย่างมีหลักการ (2)
บทที่ 368 ขูดรีดอย่างมีหลักการ (2)
“ย่อมต้องออกไป!” ซุนหรงจี๋กล่าวอย่างจนปัญญา “ออกไปใช้หอคอยวิญญาณจริงแท้ฟื้นฟูสักระยะ พอหายดีแล้วค่อยมาใหม่”
“เมื่อครู่นี้ท่านโอหังมากนี่” จ่างซุนหลันมองซุนหรงจี๋พลางยิ้มอย่างเย็นชา “แถมยังบอกว่าจะคัดข้าออกเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการตัดสินของพวกท่านอีก สุดท้ายเล่า ถูกศิษย์พี่ของข้าเล่นงานจนคลุกฝุ่นไปแล้วมิใช่หรือ”
“โอหัง นั่นคือความมั่นใจต่อพลังของตัวเอง ความโอหังไม่ใช่ความหลงระเริง แต่เป็นความมั่นใจอันเด็ดขาดต่อตัวเอง” ซุนหรงจี๋กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“เช่นนั้นเจ้าสู้ศิษย์พี่ข้าได้รึเปล่า” จ่างซุนหลันตีสนิทอย่างรวดเร็ว แม้จะโดนรีดไถไปห้าหมื่นทองคำมาร แต่นางก็อารมณ์ดีอยางไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน เงินแค่ห้าหมื่นทองคำมาร แม้จะไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่สามารถเอาสามอันดับแรกมาได้ ถือว่าเหมาะสมไม่มีใดเกินแล้ว
อีกทั้งยังได้เห็นซุนหรงจี๋กับหลีม่ายพ่ายแพ้โดยไม่ต้องเจ็บตัวด้วย
ซุนหรงจี๋อึ้งไปชั่วขณะ แล้วอดยิ้มไม่ได้ “สู้ไม่ได้ แต่ตอนนี้สู้ไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงภายหลังจากนี้”
“ภายหลังก็สู้ไม่ได้เหมือนกัน” ลู่เซิ่งเอ่ยแทรกมาจากด้านข้าง
จ่างซุนหลันพลันหัวเราะ
“ศิษย์พี่ท่าน…” ซุนหรงจี๋มองลู่เซิ่งอย่างระอา
สู้ส่วนสู้ แต่การพูดคุยหลังจากเรื่องราวจบลง ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความสนิทสนมของสามสำนัก
ลู่เซิ่งมองพวกเขา รู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในสำนักมารกำเนิดอีกครั้ง ตอนนั้นตนเองมีเล่ห์เหลี่ยมและพลังเพียงเล็กน้อยอย่างนี้เหมือนกัน รวมถึงยังไม่ได้มีความลึกซึ้งและโหดร้ายอย่างในตอนนี้ด้วย
พริบตาเดียว ตั้งแต่เขาเข้าสำนักมารกำเนิดมาจนถึงตอนนี้ ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว…เวลาผ่านไปแค่สั้นๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนผ่านไปนานมากๆ
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ท่านนี้ใจเหี้ยมจริงๆ เอาเงินที่ผู้น้องเก็บออมมาหลายปีไปจนหมดสิ้นในครั้งเดียว” ซุนหรงจี๋นับถือลู่เซิ่งถึงขีดสุด “เกรงว่าตอนนี้ศิษย์พี่จะเป็นอันดับหนึ่งจากเรือนด้านในของจังหวัดไร้เหมันต์แล้ว” เขามีนิสัยใจกว้าง อีกทั้งสายตายังแจ่มใส ไม่ได้ริษยาและคับข้องใจที่ถูกลู่เซิ่งเอาชนะไปได้แม้แต่น้อย
ข้อนี้ต่อให้เป็นจ่างซุนหลันที่อยู่ด้านข้างก็อดค้อนไม่ได้ ตางามของนางฉายประกายล้ำลึก
“ช่วงนี้ขาดเงิน” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “รอข้าออกไปอย่าได้โทษข้าก็พอ” เขาทำหน้าประหลาด
“อะไรนะ” ซุนหรงจี๋ยังไม่ทันรู้เรื่อง แสงสีขาวสามสายก็พุ่งออกมาจากในวังวนสีขาว แล้วตกลงบนร่างพวกเขาสามคนพร้อมกับห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้ จากนั้นพวกเขาก็ลอยเข้าไปในวังวนสีขาว ก่อนจะหายไป
…
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
แสงสีขาวสามสายพุ่งออกมาจากประตูใหญ่กึ่งโปร่งแสงติดต่อกัน จากนั้นก็พุ่งลงบนพื้น แล้วกลายเป็นเงาคนสามสาย
กลายเป็นลู่เซิ่ง ซุนหรงจี๋ และจ่างซุนหลัน
พอทั้งสามปรากฏตัว สายตานับไม่ถ้วนบนลานก็พากันจับจ้องร่างของคนทั้งสามเหมือนกับไฟฉายความสว่างสูงทันที
โดยเฉพาะลู่เซิ่ง พอเขาโผล่มา พวกผู้ได้รับบาดเจ็บตามมุมต่างๆ ก็พากันมองมาด้วยสายยำเกรง โกรธแค้นทันที โดยเฉพาะทางด้านสำนักผูกวิญญาณ
ดีที่ทุกคนสู้กันอย่างยุติธรรม จึงไม่มีคนตัดพ้อต่อว่าที่โดนลู่เซิ่งสังหารเอาชนะซึ่งหน้า เพียงแต่เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์พี่ของพวกเขาเกิดความสนใจในตัวลู่เซิ่งไม่มากก็น้อย
แต่ว่าความสนใจนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามองภาพในคันฉ่องยักษ์เหนือศีรษะต่อ ต่อไปจะเป็นการแย่งชิงกุญแจสีเงิน
“หรงจี๋ มานี่” ประมุขพรรคจิ่วเวยกล่าวอย่างราบเรียบ
ซุนหรงจี๋ผุดสีหน้าเคร่งขรึม กระโจนไปยังสำนักผูกวิญญาณ ไม่นานก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าประมุขถ้ำจิ่วเวย พร้อมกับก้มหน้าประสานมือและรายงานสถานการณ์
“ไม่ต้องเล่าหรอก ข้าเห็นหมดแล้ว คนคนนั้นมีพลังเหนือกว่าเจ้าจริงๆ” ประมุขถ้ำจิ่วเวยไม่มีความคิดจะโทษซุนหรงจี๋ บวกกับเขาชื่นชมนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาของหลานชายมาโดยตลอด ดังนั้นแม้จะไม่เข้ากับลีลาของสำนักผูกวิญญาณ และไม่ได้อันดับหนึ่งในครั้งนี้มา แต่เขาก็พึงพอใจแล้ว
ความจริงในตอนแรก ครั้งนี้เขาไม่หวังว่าซุนหรงจี๋จะได้อันดับหนึ่งอยู่แล้ว
“หลันหลัน” หยวนเจิ้งซั่งเหรินโบกมือไปทางจ่างซุนหลัน
จ่างซุนหลันประสานมือให้ลู่เซิ่ง
“ศิษย์พี่ลู่ ข้าขอตัวก่อน” พลังสำคัญที่สุด ดังนั้นแม้นางจะเข้าสำนักเร็วกว่าลู่เซิ่งมากๆ แต่ยังคงเรียกลู่เซิ่งว่าศิษย์พี่
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า เตรียมจะออกจากประตูใหญ่เพื่อไปพักผ่อนเช่นกัน
ตามหลักเหตุผล ตอนนี้เป็นแค่การพักผ่อนชั่วคราว พวกเขาควรไปรอการจัดการที่จุดพักผ่อนที่ได้รับการจัดไว้ให้ เพียงแต่ว่าจ่างซุนหลันกับซุนหรงจี๋มีสถานะพิเศษ จึงเป็นข้อยกเว้น
ลู่เซิ่งอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมของเจ้าหน้าที่ดูแล สวมชุดคลุมพักผ่อนเพื่อปกปิดเสื้อผ้าที่ฉีกขาดบนร่าง จากนั้นก็ออกจากลาน ตัดทะลุถนนหลายเส้น และเดินไปยังคฤหาสน์กว้างใหญ่ที่มีม่านแสงหลายชั้นปกคลุมอยู่ ด้านในจัดเตรียมของกินของใช้ไว้แล้ว แถมยังมีผงโอสถและน้ำสมุนไพรหลากหลายชนิดที่สามสำนักจัดหาไว้ให้ ลู่เซิ่งกำลังจะก้าวเข้าไป
“รอเดี๋ยว!”
อยู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเขาจากด้านหลัง
ลู่เซิ่งมองไปตามเสียง กลับเห็นหยวนเฉิงเต้าแห่งสำนักผูกวิญญาณกระโดดอย่างแผ่วพลิ้วมาหยุดจ้องตนเองอยู่ไม่ห่างออกไป
“ผู้อาวุโสหยวน มีคำสั่งสอนใดหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวพลางเลิกคิ้ว ราวกับว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับหยวนเฉิงเต้าแม้แต่น้อย เพียงเป็นคนแปลกหน้าทั่วไปคนหนึ่ง
“สำนักผูกวิญญาณมีแค่สิบคนที่ผ่านเข้ารอบต่อไป…เจ้าทำได้ประเสริฐนัก!” หยวนเฉิงเต้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะจ้องมองเขาอย่างเคร่งขรึม
“อย่างนั้นผู้อาวุโสหยวนคิดทำอะไร จะลงมือกับข้าเพื่อสั่งสอนข้าหรือ” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างแปลกประหลาด
“มีใดไม่ได้เล่า” หยวนเฉิงเต้าหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้านึกว่าตัวเองต้องได้ที่หนึ่งแน่ ก็เลยไม่เกรงกลัวหรือ หรือเจ้านึกว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า”
“ข้าไหนเลยมีความคิดแบบนี้” ลู่เซิ่งแบมือ “ผู้อาวุโสหยวนมีพลังแข็งแกร่ง ศิษย์จนปัญญา ไม่กล้าตอบโต้ ได้แต่ยอมรับชะตา แต่คนย่อมมีความคิดแก้แค้น เหมือนกับที่ข้าบอกเมื่อก่อนหน้า ข้าสู้ผู้อาวุโสหยวนไม่ได้ ได้แต่ระบายกับศิษย์เหล่านั้น นี่ไม่ใช่หลักการฟ้าดินหรอกหรือ”
“เจ้า!?” หยวนเฉิงเต้าโกรธจนกำหมัดแน่น สีหน้าเขียวคล้ำ ศิษย์มากกว่าครึ่งของสำนักผูกวิญญาณในจังหวัดไร้เหมันต์ไม่ได้รับอันดับใดๆ เพราะเขา นี่ไม่ใช่ความผิดแล้ว หากเป็นหายนะ ยิ่งไปกว่านั้นลู่เซิ่งยังประกาศความแค้นระหว่างทั้งสองตลอดเวลา เมื่อคนในสำนักพวกนั้นทำอะไรลู่เซิ่งแห่งสำนักพันอาทิตย์ไม่ได้ ก็จะผลักความผิดทั้งหมดมาให้เขา
“ปากคอเราะร้ายจริงๆ! ดูเหมือนอาจารย์เจ้าจะไม่ได้สั่งสอนมารยาทให้เจ้า” หยวนเฉิงเต้าข่มเพลิงโทสะ “อย่านึกว่าตราบใดที่เจ้าอยู่ในสำนักแล้ว ข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ รอวันหน้า ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองว่าอะไรคือกฎ อะไรคือมารยาท!”
“อาจารย์ข้าสอนข้าอย่างไร ท่านไม่ต้องมาห่วงหรอก กล่าววาจาไม่น่าฟังสักประโยค อาศัยสถานะผู้อาวุโสธรรมดาในสำนักผูกวิญญาณของท่าน คิดจะสั่งสอนข้า ยังไม่มีคุณสมบัติด้วยซ้ำ” ลู่เซิ่งยิ้มแย้ม คำกล่าวที่เปล่งออกมาทำให้หยวนเฉิงเต้าโมโหกว่าเดิม
หยวนเฉิงเต้าข่มโทสะ หลับตา จากนั้นก็หมุนตัวไป แล้วลืมตาขึ้นใหม่
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ด้านนอก” เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ลู่เซิ่งได้รับความสนใจจากระดับสูงแล้ว แต่นั่นจะอย่างไร แค้นของน้องชาย ไม่ขออยู่ร่วมฟ้า บุญคุณความแค้นของเขากับลู่เซิ่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามกล่าวคำว่าไม่ ขอแค่ฆ่าอีกฝ่ายในสถานการณ์ที่เปิดเผย ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้
“จริงสิ ตอนนั้นน้องชายของผู้อาวุโสหยวนก็กล่าววาจาแบบนี้กับข้าเช่นกัน ดังนั้นข้าก็เลยฆ่าเขาต่อหน้าทุกคน” ลู่เซิ่งพลันส่งกระแสเสียงกล่าวกับหยวนเฉิงเต้า
เงียบเชียบ
หยวนเฉิงเต้ากำหมัดแน่น ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้ม
“ผู้อาวุโสหยวนมีน้องชายคนเดียวหรือ เสียดายๆ หรือว่าตระกูลหยวนของพวกท่านนอกจากท่านก็ไม่มีทายาทแล้ว ดูเหมือนพวกท่านจะอายุต่างกันไปบ้าง หรือควรบอกว่า เขาไม่ใช่น้องชายท่าน แต่เป็น…”
“หาที่ตาย!” ในที่สุดหยวนเฉิงเต้าก็อดกลั้นไม่ไหว หมุนตัวมาแผ่พุ่งควันสีดำ ทั้งยังยื่นมือออกมาเป็นกรงเล็บ แล้วตะปบใส่ศีรษะลู่เซิ่ง
กรงเล็บสีดำยิ่งมายิ่งใกล้ ยิ่งมายิ่งเร็ว
ชิ้ง
ดาบที่ข้างเอวลู่เซิ่งค่อยๆ ถูกดึงออกจากฝักเป็นช่อง
“หยุดมือ!”
เปรี้ยง
เกิดเสียงดังสนั่น เงาคนสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง ก่อนจะโจมตีใส่มือของหยวนเฉิงเต้าอย่างดุดัน กระแทกกรงเล็บนี้ออก
ทั้งสองพุ่งผ่านลู่เซิ่ง ประมือกันหลายสิบกระบวนท่าดุจสายฟ้าฟาดอยู่ด้านข้าง ควันสีดำกับแสงสีทองระเบิดออกหลายกลุ่ม จากนั้นก็กระโดดไปด้านหลังแล้วทิ้งตัวลงพื้นพร้อมกัน
สิ่งที่แตกต่างก็คือ หลังจากหยวนเฉิงเต้าทิ้งตัวลงพื้นแล้ว ยังก้าวถอยหลังไปอีกหลายก้าว สีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวซีดขาว แสดงให้เห็นว่าเสียท่า ส่วนอีกคนยืนอย่างมั่นคง ไม่แสดงให้เห็นถึงความเพลี่ยงพล้ำแม้แต่น้อย
“หยวนเฉิงเต้าเจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนศิษย์ของสำนักพันอาทิตย์!” ผู้มาคือบุรุษวัยกลางคนที่ใบหน้าคล้ายหยวนเจิ้งซั่งเหรินเจ็ดแปดส่วน
“ชิงหยาง”
“ผู้อาวุโสหยวน”
เสียงของหยวนเฉิงซั่งเหรินแห่งสำนักพันอาทิตย์กับประมุขถ้ำจิ่วเวยจากสำนักผูกวิญญาณดังมาพร้อมกัน
ประมุขถ้ำจิ่วเวยอยู่บนลาน มองดูหยวนเจิ้งซั่งเหรินที่อยู่อีกฝั่ง ก่อนจะส่งกระแสเสียงคุยกับหยวนเฉิงเต้า
“เรื่องนี้เจ้าเป็นคนเริ่มก่อน แม้อีกฝ่ายจะพูดจายั่วยุ แต่จบกันแค่นี้เถอะ”
จิ่วเวยเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักผูกวิญญาณในตอนนี้ แม้จะรับตำแหน่งรองเจ้าสำนัก แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากรับตำแหน่งเจ้าสำนัก บวกกับไม่ชอบงานจิปาถะมากมาย จึงให้ศิษย์พี่ของเขาเป็นแทน ความจริงเขาต่างหากที่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักผูกวิญญาณ
แถมเขายังเป็นคู่ต่อสู้เก่า ที่สู้กับหยวนเจิ้งซั่งเหรินมาหลายปีด้วย
แต่ว่าเทียบกับการเคลื่อนไหวของหยวนเฉิงเต้าแล้ว เขาเป็นห่วงจุดยืนของสำนักพันอาทิตย์มากกว่า การประลองแย่งชิงในครั้งนี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ผ่านไปอีกสักระยะก็จะจัดขึ้นเป็นปกติ แต่ว่าจุดยืนของสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์กลับเป็นตัวตัดสินว่า ระหว่างสำนักผูกวิญญาณกับสำนักซ่อนธาตุใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่า
หยวนเฉิงเต้าอึดอัดคับข้องใจ กลับไม่กล้าขัดคำสั่งของรองประมุขพรรค ได้แต่จ้องมองลู่เซิ่งเขม็ง
ลู่เซิ่งกลับยิ้มให้เขา ทำท่าปาดคอใส่เขาอยู่ด้านหลังชิงหยางที่เป็นบุรุษวัยกลางคน
“ข้าจะฆ่าเจ้า ไอ้หนู…” เขาทำรูปปากเป็นประโยคนี้
หยวนเฉิงเต้าเดือดดาล ความจริงสาเหตุที่เขาให้ความสำคัญกับน้องชายขนาดนี้ เป็นเพราะน้องชายผู้นี้เกิดจากการที่เขามีอะไรกับแม่เลี้ยงของตัวเอง ตอนนี้พอถูกลู่เซิ่งจี้ใจดำ จึงเคียดแค้นกว่าเดิม
“สวะ! ถ้าไม่มีคนขวางไว้ เจ้าก็ตายไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว!” หยวนเฉิงเต้าส่งกระแสเสียงกล่าวอย่างดุร้าย
“เจ้ากล้าลงมือหรือ ถ้าไม่กล้าก็อย่าอ้างเหตุผลไร้สาระมาดีกว่า” ลู่เซิ่งหัวเราะเบาๆ ทำให้หยวนเฉิงเต้าเลือดลมพลุ่งพล่านและเกือบพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใดแล้ว
“พอได้แล้ว!” หยวนเจิ้งซั่งเหรินส่งกระแสเสียงมาโดยตรง หูของลู่เซิ่งกับหยวนเฉิงเต้าถูกกระแทกดังหึ่งๆ เหมือนมีเสียงระฆังดังกึกก้องขึ้นใกล้ๆ
ลู่เซิ่งยังดี เพียงแค่รู้สึกว่าเสียงดังไปหน่อยเท่านั้น ด้วยพลังและกายเนื้อของเขา อย่าว่าแต่เสียงแค่นี้ เสียงคำรามสุดกำลังของหยวนเจิ้งซั่งเหรินก็มีผลกระทบกับเขาไม่มากเช่นกัน
ทว่าหยวนเฉิงเต้ารับไม่ไหว อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์ ทั้งยังเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่กลายเป็นผู้ถืออาวุธมาหนึ่งพันกว่าปีแล้ว ตอนนี้มีพลังล้ำลึกไม่อาจหยั่งคาด แถมยังไม่มีใครรู้ว่าเขาไปถึงขั้นไหนแล้ว
ชั่วขณะนั้น เขารู้สึกว่าร่างของตนถูกเสียงกระแทกจนตัวสั่น เงยหน้าลืมตา กลับเห็นรอยยิ้มเยาะของลู่เซิ่ง
“สวะ” เขาเห็นลู่เซิ่งกล่าวคำพูดนี้อย่างไร้เสียง
……………………………………….