ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 374 อาวุธเทพ (2)
บทที่ 374 อาวุธเทพ (2)
ลู่เซิ่งมองทั้งสองคน แล้วยิ้มอย่างมีมารยาทให้กับโจวหย่งถาน นับว่าแสดงความขอบคุณต่อการเตือนเมื่อครู่ จากนั้นก็เพ่งความสนใจไปบนเวทีประมูล
เวลานี้คนร่างอ้วนบนแท่นประตูกำลังประมูลอาวุธเทพชิ้นที่สี่
เป็นนาฬิกาทรายเรือนหนึ่ง ทรายละเอียดสีแดงเข้มไหลลงอย่างช้าๆ อยู่ด้านใน กลับเหมือนไหลลงชั่วนิรันดร์ไม่จบไม่สิ้น ทรายด้านบนอยู่ในสภาพมหาศาล แต่ด้านล่างกลับอยู่ในสภาพว่างเปล่า
“นาฬิกาทรายเท่าเทียม นี่นับเป็นอาวุธเทพชิ้นหนึ่งที่ทำให้พวกเราขาดทุนที่สุดในครั้งนี้ ความสามารถคือทำให้ดึงคู่ต่อสู้ที่มีปริมาณปราณจริงแท้มากกว่าตนเองสองเท่าลงมาอยู่ในระดับปริมาณปราณจริงแท้เท่ากับตัวเอง เวลาจำกัดคือสามลมหายใจ”
อาวุธเทพชิ้นนี้เป็นสมบัติที่พวกเราหาเจอจากโลกด้านนอก พวกเราได้เสียวัสดุล้ำค่ากับยอดฝีมือไม่น้อย สุดท้ายใช้เวลาสามปีกว่าๆ ค่อยซ่อมแซมสำเร็จ ราคาเริ่มประมูลอยู่ที่สามแสนเก้าหมื่นทองคำมาร!” คนร่างอ้วนบนเวทีตะโกน
“ขอถามนาฬิกาทรายเท่าเทียมเรือนนี้ควรจะมีขีดจำกัดกระมัง หรือว่ามีผลกับใต้เท้าผู้ถืออาวุธทุกคน” สตรีร่างผอมแห้งคนหนึ่งลุกขึ้นถาม
อาวุธเทพระดับรองมีอานุภาพอ่อนแอกว่าอาวุธเทพของจริงมาก ต่อให้พวกมันจะสำแดงอานุภาพทั้งหมดออกมาโดยสมบูรณ์ ก็ไม่ร้ายกาจเท่าผู้ถืออาวุธระดับใบไม้ทองคำที่อยู่ในระดับต่ำสุด
ดังนั้นเมื่อสตรีนางนี้เพิ่งถามคำถามนี้ออกไป พลันเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่อยู่ด้านล่าง
คนร่างอ้วนบนเวทีไม่ได้หงุดหงิด เพียงแต่ป้องปากหัวเราะอย่างเกินจริงเท่านั้น
“แขกท่านนี้กล่าวมีเหตุผล เมื่อครู่ข้าน้อยพูดข้ามไป นาฬิกาทรายเท่าเทียมเรือนนี้มีขีดจำกัดสูงสุดอยู่ที่ยอดฝีมือระดับสัตตลักษณ์…มิหนำซ้ำขอแค่ปราณจริงแท้มากพอ ก็จะไม่พบว่ามีการจำกัดจำนวนชั่วคราว…”
เสียงของคนร่างอ้วนยังไม่ทันขาดลง เสียงเสนอราคาก็ดังสนั่นทันที
“สี่แสน!”
“สี่แสนห้า!”
“ห้าแสน!”
“หกแสน!”
“เจ็ดแสน! เด็กน้อยตระกูลหวง เจ้ากล้าแข่งกับข้าหรือไม่?!”
“ตาเฒ่าไม่ยอมตาย นึกจริงๆ หรือว่าตนเองยิ่งใหญ่นัก เก้าแสน!”
เพียงพริบตาเดียวราคาที่เกินจริงมากมาย ก็พุ่งไปถึงขั้นที่แม้แต่ลู่เซิ่งก็ยังอ้าปากตาค้าง เขามองดูคนส่วนใหญ่ที่อยู่รอบๆ ตาแดงก่ำและทำท่าจะขายทรัพย์สินตระกูลเพื่อเอานาฬิกาทรายเท่าเทียมนี้มาให้จงได้
“ล้วนเตรียมให้เพื่อลูกหลานตัวเองทั้งนั้น…ถ้าหากใช้ในการต่อสู้กับทัพมาร อาวุธเทพชิ้นนี้ก็มีคุณค่าสูงแล้ว…” โจวหย่งถานถอนใจขึ้นด้านข้าง
ลู่เซิ่งพลันเข้าใจ
ในสมรภูมิรบกับพิภพมาร นอกจากการต่อสู้ของระดับผู้ถืออาวุธแล้ว ความจริงส่วนใหญ่เป็นการเข่นฆ่ากันระหว่างทหารลูกกระจ๊อกกับระดับพันธนาการ หากใช้นาฬิกาทรายเท่าเทียมให้ดี จะสามารถบ่มเพาะกลุ่มล่าสังหารติดอาวุธที่เล็งเป้าไปยังทัพมารได้กลุ่มหนึ่ง
มิหนำซ้ำยังใช้กับการโจมตีด้วยวิชาลับหน้าไม้ขนาดใหญ่ได้แทบนับครั้งไม่ถ้วน หมายความว่าสามารถใช้หนึ่งต่อสู้กับคนมากได้
ประโยชน์ของอาวุธเทพชิ้นนี้ในสมรภูมิรบมีมากมายเหลือเกิน
ในที่สุด หลังผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป คนร่างอ้วนที่สวมผ้าคลุมหน้าคนหนึ่งก็ลุกขึ้นจากไปด้วยความพออกพอใจ เขาใช้เงินไปหนึ่งล้านทองคำมาร ในที่สุดก็ได้อาวุธเทพชิ้นนี้ไป
นี่ทำให้ลู่เซิ่งได้เห็นกำลังทรัพย์อันแข็งแกร่งของเหล่าเศรษฐีตัวจริงในจังหวัดไร้เหมันต์แล้ว
“นั่นเป็นประมุขตระกูลจง สมกับที่เป็นตระกูลจงที่ยึดครองโลกด้านนอกใบหนึ่ง กำลังทรัพย์น่าตกใจจนคนทั่วไปจินตนาการไม่ออกเลยทีเดียว” โจวหย่งถานส่ายหน้าถอนใจอยู่ด้านข้าง
“แทนที่จะอิจฉา มิสู้ไปบุกเบิกโลกด้านนอกเองดีกว่า ถ้าเจ้าอยากได้ก็ไปสิ” สตรีร่างอ้วนเอ่ยปากอีกรอบ
“นี่มันคำพูดไร้สาระแท้ๆ ถ้าตระกูลข้ามีบรรพชนผู้ถืออาวุธคอยสะกดเพิ่มอีกสักคน ยังต้องอิจฉาเขาอีกหรือ” โจวหย่งถานพูดอย่างไม่พอใจ
ตอนนี้บรรยากาศของงานประมูลได้รับการกระตุ้นจนไปถึงจุดสูงสุด อาวุธเทพหลายชิ้นต่อจากนั้นมีน้อยมากที่ไม่มีใครไม่ประมูล ล้วนได้รับการเสนอราคาที่ค่อนข้างสูง ไม่นานลู่เซิ่งก็เห็นกระบี่ธารธาราที่ตนต้องการ
คนที่แข่งประมูลกับเขามีแค่สองคน แต่ล้วนเป็นเพราะราคาประมูลเมื่อก่อนหน้าสิ้นเปลืองมากไป ดังนั้นพอเพิ่มถึงสองแสนก็หุบปากไม่เพิ่มราคาต่อแล้ว
ลู่เซิ่งจ่ายด้วยราคาที่สูงกว่าราคาเริ่มประมูลเพียงเล็กน้อย ก็ได้กระบี่ธารธารามาครอบครอง
ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีแค่เจ็ดแสนทองคำมาร ในสายตาคนทั่วไปเงินเหล่านี้อาจถือเป็นจำนวนมหาศาล ทว่าในสายตาตระกูลใหญ่หรือตระกูลขุนนางใหญ่ๆ ที่แท้จริง ถือว่าธรรมดาๆ เท่านั้น
พอประมูลได้กระบี่ธารธารามาแล้ว ลู่เซิ่งค่อยโล่งใจเล็กน้อย เป้าหมายในครั้งนี้บรรลุแล้ว เขาไม่คิดจะดูของต่อจากนั้นอีกต่อไป อาวุธศักดิ์สิทธิ์มีชิ้นเดียวก็พอ มีมากไปเขาก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี
ลู่เซิ่งรับแผ่นป้ายทำพิเศษจากมือคนร่างอ้วนผู้ดำเนินการประมูล บอกลาโจวหย่งถาน แล้วออกจากโถงประตูเพื่อมุ่งหน้าไปเอากระบี่ธารธาราที่คลังอาวุธเทพ
ไม่นานต่อจากนั้น หลังจากจ่ายตั๋วทองคำอย่างราบรื่น ลู่เซิ่งก็ได้กล่องผ้าแพรทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามาใบหนึ่ง เขาเปิดกล่องผ้าแพรต่อหน้าเจ้าหน้าที่ดำเนินการประมูล กระบี่ยาวที่เป็นสีขาวทั้งเล่มวางอยู่ด้านใน
ตรงกลางฝักกระบี่สลักคำว่า ‘ธารธารา’ เอาไว้ พู่กระบี่เป็นสีขาวบริสุทธิ์เช่นกัน ลวดลายด้านบนเป็นสีขาว ทั้งเล่มไม่มีสีอื่นเลย ลักษณะงดงามสุดแสน
ลู่เซิ่งปิดกล่อง แล้วเร่งฝีเท้าออกจากงานประมูล ตอนที่เดินออกจากประตูใหญ่ เขาก็บังเอิญเห็นโจวหย่งถานที่เมื่อครู่สนทนากับเขา ก็ออกมาแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายยืนอยู่ในมุมหนึ่งด้านข้างประตูใหญ่ กำลังพูดคุยกับคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง
ทั้งสองคล้ายสนิทกันมาก โจวหย่งถานยืนพูดคุยอยู่ข้างคนหนุ่มเป็นระยะ คอยทำท่ามือกับแสดงสีหน้าอย่างเกินจริงตลอดเวลา เดิมเขาก็มีหน้าตาไม่ธรรมดา ทั้งยังมีบุคลิกค่อนข้างดีอยู่แล้ว ตอนนี้กำลังโยนมีดสั้นสีดำในมือเล่นพลางพูดอะไรสักอย่างด้วยความตื่นเต้น
คนหนุ่มผู้นั้นกลับเงียบขรึมมาก แสดงถึงความสูงศักดิ์ที่ปกปิดไม่มิด ใบหน้าค่อนข้างลางเรือน แสดงให้เห็นว่าผ่านการปกปิดมาก่อน
การรวมกลุ่มของทั้งสองแปลกประหลาดมาก ทั้งๆ ที่คนหนุ่มดูอายุน้อยกว่า โจวหย่งถานอายุมากกว่า ทว่าเมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เหมือนอย่างกับโจวหย่งถานเป็นผู้เยาว์ ส่วนคนหนุ่มผู้สง่างามเป็นผู้อาวุโส
ลู่เซิ่งกวาดตามองคนทั้งสอง ก่อนจะถือกล่องกระบี่ผละมาอย่างรวดเร็ว
ครั้นกลับมาถึงเรือนด้านในสำนักพันอาทิตย์ เขาก็ปิดประตู ใกล้จะถึงเวลาเข้าร่วมศึกแย่งชิงใหญ่แล้ว เขาคิดจะทดลองกระบี่ธารธาราดูก่อน อาวุธเทพที่ตั้งชื่อตามสถานที่ที่มีอยู่จริงชนิดนี้สมควรสั่งสมชื่อเสียงไว้ไม่น้อย ตามการวิเคราะห์ของลู่เซิ่ง ความเป็นไปได้ที่จะมีพลังอาวรณ์มีอยู่สูงมาก
นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่เขาเลือกกระบี่ธารธารา
ลู่เซิ่งปิดประตูห้องและตรวจสอบรอบๆ จากนั้นก็ปล่อยปราณจริงแท้ออกมาปกคลุมห้องไว้ทั้งห้อง พร้อมทั้งดูดซับสารกายสีทองสายหนึ่งที่ตกลงมาจากข้างบนเพื่อทำเหมือนว่ากำลังฝึกฝนอยู่
หลังจากตรวจสอบห้องและพบว่าไม่มีความผิดปกติ เขาก็หยิบกระบี่ธารธาราออกมาจากในกล่องผ้าแพรอย่างแผ่วเบา
กระดาษใบเล็กๆ แผ่นหนึ่งวางอยู่ในกล่อง ด้านบนเขียนวิธีการและกระบวนการในการรับสืบทอดกระบี่ธารธาราไว้อย่างละเอียด
ลู่เซิ่งหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาอ่าน
‘พิธีเลือด พิธีกราบไว้ พิธีจิต มีทั้งหมดสามขั้นตอน ภายหลังท่านจะครอบครองอาวุธเทพเจ็ดดาวชิ้นนี้ได้โดยสมบูรณ์’ ด้านล่างเป็นวิธีและกระบวนการของพิธีทั้งสามพิธี
ถึงแม้อาวุธเทพระดับรองจะไม่ได้ร้ายกาจเท่าอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำ แต่ก็ต้องการให้ผู้สืบทอดใส่จิตใจ เลือด และปราณจริงแท้ส่วนใหญ่เข้าไปในกระบี่ธารธารา เพื่อสร้างการเชื่อมโยง พันธะสัญญาพิเศษที่มีอาวุธเทพเป็นหลักขึ้นมาอยู่ดี
‘อาวุธเทพมีวิญญาณ เนื่องจากเกิดจากแม่น้ำธารธารา ได้รับการหล่อเลี้ยงในสายธาร ดังนั้นนิสัยของอาวุธเทพจึงแปรปรวนและไม่มั่นคงถึงขีดสุด ผู้สืบทอดจำเป็นต้องเชื่อมกับอาวุธเทพด้วยปณิธานที่หนักแน่นสุดขีด ถึงจะได้รับการยอมรับ’
นี่เป็นเนื้อหาบนกระดาษ
ลู่เซิ่งชูกระบี่ธารธาราขึ้นอย่างแผ่วเบา จับด้ามกระบี่เอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ชักออกมา
ซู่…
คมกระบี่สาดประกายแสงสีเงินที่เย็นเยียบ ผิวโลหะมีระลอกคลื่นที่เหมือนกับคลื่นน้ำนับไม่ถ้วนกระเพื่อมไหว ดูลวงตาและไม่เป็นจริงเล็กน้อย
“ฆ่าๆๆ! ท่วมกลบทุกสิ่งไว้! ทำลายล้างทุกอย่าง! หยุดลมหายใจทุกสิ่ง!” ความคิดอันรุนแรงกระเพื่อมขึ้นด้านในห้องอย่างฉับพลัน
เหมือนกับมีเสียงคำรามที่มีอยู่จริงดังสะท้อนข้างหูลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง อากาศเหมือนกับถุงที่ถูกรีดจนอยู่ในสภาพสุญญากาศ
ไอน้ำสีขาวจำนวนมากระเหยออกมาจากกระบี่ธารธารา และค่อยๆ ห้อมล้อมลู่เซิ่งเอาไว้ จนกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมือนกับหมอกบาง
กระบี่ธารธาราสาดประกายเย็นเยียบไปรอบๆ แสงบนตัวกระบี่กระจายไปทั่วสี่ทิศเหมือนกับสายน้ำ
“ข้าคือธารธารา ชื่อรองเปี๋ยหลี เด็กน้อย เจ้าคิดจะยืมพลังของข้าหรือ พลังนี้ทำให้เจ้าถอดเอ็นเปลี่ยนกระดูกได้ ทำให้เจ้าหลุดออกจากทุกๆ ชะตากรรมที่ไม่อาจต่อต้าน แต่เจ้าจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มากพอด้วย”
“ข้าเข้าใจค่าตอบแทนแล้ว” ลู่เซิ่งตอบ “ตามกระบวนการที่บอกไว้…ขั้นแรก…พิธีเลือด…” เขาวางกระบี่ธารธาราบนเข่าของตนเองอย่างจริงจัง จากนั้นก็ยื่นนิ้วชี้ออกมา พร้อมกับควบคุมกายเนื้อของตัวเองให้บีบเลือดหยดหนึ่งออกมา
เลือดสีแดงคล้ำหยดแหมะลงตรงกลางกระบี่ธารธารา
“ดูเหมือนเจ้าจะมีความเข้าใจที่ดีอยู่แล้ว ดีเหมือนกัน พลังงานของแม่น้ำธารธาราบกพร่องไปแล้ว ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้ารวบรวมชิ้นส่วนกระบี่ธารธาราทั้งหมด เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าขอแค่เลือดและปราณจริงแท้สักครึ่ง…โอ้! บัดซบ นี่มันเลือดอะไรกัน!”
ลู่เซิ่งมองกระบี่ธารธาราบนเข่าที่มีควันขาวลอยออกมาด้วยใบหน้างุนงง
ซู่…
เลือดนั้นเหมือนกับปลาหมึกที่ยืดหนวดออกมาดูดตัวกระบี่อย่างบ้าคลั่งพร้อมกับส่งเสียงกัดกร่อน ลู่เซิ่งมองผิวที่เรียบเนียนในตอนแรกของกระบี่ ถูกเลือดกัดกร่อนจนยุบลงไปอย่างอึ้งๆ
“ช่วย…ช่วยด้วย! เร็วๆ!…” เสียงของกระบี่ธารธารากำลังอ่อนแรงลงด้วยความเร็วที่เกินจริง แค่ไม่กี่ลมหายใจก็เปลี่ยนจากเส้นเสียงของชายชราที่เต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า กลายเป็นเสียงของชายชราพิการใกล้ตายที่พร้อมขึ้นสวรรค์ตลอดเวลา
ลู่เซิ่งรีบปาดเลือดบนตัวกระบี่ออก แล้วปล่อยให้มันซึมหายเข้าไปในผิวหนังของตนเอง จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วมองหลุมเล็กๆ สีดำตรงกลางกระบี่ธารธาราอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“ฮู่…”
กระบี่ธารธาราสั่นไหวอยู่สองสามที คราบเลือดที่เหลืออยู่ระเหยไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยุดนิ่งไม่ขยับอีก ก่อนจะมีเสียงหอบหายใจเหมือนปลดภาระที่หนักอึ้งของชายชราดังมา
“พิธีเลือดของข้านับว่าสำเร็จแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งถามผ่านจิต
กระบี่ธารธาราเงียบงันไปพักหนึ่ง
“นับ…นับว่าเจ้าทำสำเร็จแล้ว…” น้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความจนปัญญา แต่ว่ามนุษย์จะเทียบกับอาวุธเทพได้อย่างไร อาจะเป็นเพราะกำลังเริ่มต้น มันจึงไม่คุ้นกับสายเลือดในเลือดของคนผู้นี้ รอต่อจากนี้ค่อยๆ ฉายรังสีให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไป อาการน่าจะดีขึ้นมาก
“ต่อจากนี้เป็นพิธีกราบไว้ เจ้าใส่ปราณจริงแท้เข้ามาในตัวกระบี่ก็พอ ปราณจริงแท้สักครึ่งหนึ่งก็พอแล้ว” กระบี่ธารธาราเตือน
“ได้” ลู่เซิ่งคิดว่าอย่างไรก็ต้องใช้อาวุธเทพสักเล่มมาปกปิดอยู่แล้ว อีกทั้งกระบี่ธารธาราเล่มนี้ดูเหมือนจะมีอายุมาก ประสบการณ์สมควรโชกโชน และสามารถช่วยตนได้ไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงคิดจะยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายอย่างจริงจัง
ถึงอย่างไรปัจจุบันเขาก็อยู่ในระดับอริยะเจ้า เป็นระดับเดียวกันกับอาวุธเทพศัสตรามาร ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะยึดร่าง
ลู่เซิ่งจับด้ามกระบี่ไว้ พร้อมกับค่อยๆ ใส่ปราณจริงแท้เข้าไปด้านใน ครั้งนี้เขาระมัดระวังยิ่ง เพราะกลัวว่าจะทำให้กระบี่ธารธาราเล่มนี้พังโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรเขาก็ซื้อมาด้วยเงินสองแสนทองคำมาร หากพังจริงๆ คงสียหายอย่างรุนแรง
……………………………………….