ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 383 โศกนาฏกรรม (3)
บทที่ 383 โศกนาฏกรรม (3)
ตุบ ตุบ ตุบ…
เกิดเสียงฝีเท้าดังกังวาน สตรีสวมผ้าคลุมหน้าสีดำและรัดพันร่างด้วยรากไม้เล็กละเอียดนับไม่ถ้วนเดินออกมาจากในเงามืดอย่างเชื่องช้า
ใบหน้าของนางถูกผ้าคลุมหน้าปิดไว้เป็นส่วนใหญ่ มีแต่ดวงตาที่โผล่มาด้านนอก ดวงตาคู่นั้นว่างเปล่าไร้สิ่งใดเหมือนกับถ้ำสีดำสนิท ไม่มีม่านตา ไม่มีลูกตา มีแต่สีดำบริสุทธิ์
“อาจารย์” ลู่เซิ่งโค้งตัวให้สตรีนางนั้นเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ เขาให้ความเคารพผู้เข้มแข็ง ไม่ว่าจะในด้านพลังหรือด้านสติปัญญา
ซูหนิงเฟยพยักหน้า สายตาจับอยู่บนร่างหญิงสาวผู้อ่อนแอที่อยู่ในกลุ่มคนอย่างสงบนิ่ง
“เที่ยวเล่นพอหรือยัง”
หญิงสาวนางนั้นตัวสั่น น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาตามแก้ม
“ท่านแม่…ข้า…”
ซูหนิงเฟยไม่กล่าววาจาไร้สาระ ค่อยๆ ยกมือขึ้น “มนุษย์เหล่านี้ทำให้เจ้าอยู่ด้านนอกมานาน ถึงขั้นที่ไม่สนใจมารดาอย่างข้า สมควรตาย!”
ดวงจันทร์สีทองเข้มค่อยๆ ปรากฏบนหน้าผากนาง
“อย่านะ!” หญิงสาวพุ่งออกมากางแขนบังอยู่ด้านหน้าทุกคนในฉับพลัน “อย่านะ! ท่านแม่ พวกเขาไม่เกี่ยว!”
“ย่วนย่วน…” ฉยงซังก้มหน้าอย่างละอาย เขาอยากจะพุ่งออกไปเช่นกัน ทว่ากลับถูกหลี่ซุ่นซีจับไหล่ไว้แน่น
“อย่าไป ตอนนี้ไม่ว่าท่านทำอะไรก็รังแต่จะกระตุ้นความโกรธของมารดาย่วนย่วน” หลี่ซุ่นซีเข้าใจดีว่าสตรีปิดผ้าคลุมหน้าสีดำที่เป็นอาจารย์ให้กับสัตว์ประหลาดอย่างลู่เซิ่งได้ จะต้องไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายแน่ บวกกับคำพูดที่นางกล่าวออกมาเมื่อครู่ พอฟังก็รู้ทันทีว่าเป็นคนที่ฆ่าคนเป็นผักปลา
“ประเสริฐมาก…ย่วนย่วน…เดี๋ยวนี้รู้จักโต้เถียงข้าแล้ว…เพื่อขยะที่ไม่คู่ควรเหล่านี้…” ซูหนิงเฟยทรวงอกสะท้อนขึ้นลง คล้ายกับเกิดอารมณ์รุนแรง “เจ้านึกว่าพอนังพี่สาวนั่นหลุดจากการคุมขังออกมา จึงเห็นความหวังแล้ว ก็เลยคิดตามหาบิดาเจ้าใช่หรือไม่!? บอกมา! ใช่หรือไม่!”
“ไม่…ไม่ใช่…” หญิงสาวส่ายหน้า ส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต
“เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม ถึงไปหานังชั่วของบิดาเจ้า! ข้ารู้จักเจ้า ข้ารู้จักเจ้าดี! นังชั่วผู้นั้น…ลูกสาวของนางลงมือแล้ว นางไม่มีทางปล่อยข้าไป ไม่มีทาง! เป็นเพราะข้าฆ่าเขา ฆ่าสามีของข้า บอกมาเสียดีๆ ว่าเจ้ากำลังไปหานาง!”
“ข้าไม่ได้…ท่านแม่…” หญิงสาวร่ำไห้
“เจ้านั่นแหละ!”
เปรี้ยง!
ซูหนิงเฟยสูญเสียการควบคุมอารมณ์ กระแทกฝ่ามือใส่ทุกคนที่อยู่ด้านหลังหญิงสาว
“เจ้าพวกชั่วจงไปตายเสียเถอะ!”
คลื่นไร้รูปร่างขนาดมหึมากลายเป็นรากไม้ที่เหมือนกับสายน้ำนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะข้ามผ่านหญิงสาวแล้วพุ่งแทงใส่ทุกคนอย่างมืดฟ้ามัวดิน
สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็คือ ทุกคนซึ่งรวมถึงหลี่ซุ่นซีได้แต่มองดูรากไม้แหลมคมพุ่งเข้าหาศีรษะของตัวเองอยู่เฉยๆ โดยไม่มีการขัดขืนอะไรทั้งสิ้น เหมือนกับร่างกายถูกพลังงานบางอย่างพันธนาการไว้
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นมีมือใหญ่ข้างหนึ่งพุ่งไปจับข้อมือของซูหนิงเฟยจากด้านข้าง รากไม้ทั้งหมดสลายไป เหมือนกับไม่เคยปรากฏมาก่อน
“อาจารย์ ใจเย็นก่อนขอรับ” ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านข้างซูหนิงเฟยตั้งแต่ตอนไหน ถ้าเขาไม่ลงมือ เกรงว่านอกจากหญิงสาวคนนั้นแล้ว พวกหลี่ซุ่นซีจะตายกันหมด
“เจ้าก็อยู่ฝั่งนังชั่วนั่นหรือ?!” ซูหนิงเฟยสีหน้าเหยเก รากไม้ทั่วร่างแผ่ออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็วเหมือนกับไม่มีขอบเขต จนทำให้เทียนเหอจินหยินถอยห่างออกไปหลายร้อยหมี่ด้วยความตกใจ
ทว่าพวกเอ้อร์หยวนชินอ๋องกับบุรุษตุ้งติ้งผู้นั้นกลับทำอะไรไม่ได้แล้ว ถูกรากไม้รัดพันไว้อย่างง่ายดาย ไม่นานก็โดนห่อหุ้มไว้เป็นชั้นๆ แม้แต่ใบหน้าก็มองไม่เห็นแม้แต่น้อย
“ใจเย็นก่อนขอรับอาจารย์” พละกำลังที่มือขวาของลู่เซิ่งเหมือนกับคีมเหล็ก จับข้อมือของซูหนิงเฟยไว้อย่างมั่นคง ทำให้นางสลัดไม่หลุด
“คนที่อยู่ด้านหน้าท่านเป็นลูกสาวของท่าน ไม่ใช่ใครอื่น ท่านฆ่าสหายของนางแบบนี้ ท่านคิดจะทำให้นางเกลียดท่านไปชั่วชีวิตหรือ” ลู่เซิ่งปะติดปะต่อสถานะของหญิงสาวผู้นี้ออกจากคำพูดเมื่อก่อนหน้า
ดูเหมือนซูหนิงเฟยใกล้จะเสียการควบคุมแล้ว แม้จะเป็นแค่ร่างแยก แต่เขาก็ไม่อยากสู้กับสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ไม่ทราบอยู่มานานเท่าไหร่ตนนี้เช่นกัน
ตอนนี้เขาเพิ่งกลายเป็นอริยะเจ้าและเพิ่งได้อาวุธเทพมาชิ้นเดียว หากยึดตามคำพูดมาตรฐานยังเป็นแค่ระดับใบไม้ทองคำ อยู่ในระดับต่ำสุดของอริยะเจ้า มิหนำซ้ำยังไม่ได้ควบคุมใบไม้ทองคำอันเป็นอาวุธเทพโดยสมบูรณ์อีกด้วย
ถึงแม้สถานการณ์ของเขาจะมีความประหลาดอยู่บ้าง อริยะเจ้าคนอื่นไม่มีอาวุธเทพก็ไม่อาจแสดงพลังมากเกินไป ดังนั้นมีแต่ต้องครอบครองอาวุธเทพก่อนเท่านั้น จึงจะก้าวขึ้นมาจากระดับล่างทีละขั้นๆ และไปถึงขั้นอริยะเจ้าได้
แต่เขาไปถึงระดับอริยะเจ้าก่อน ค่อยไปหาอาวุธเทพ
กระนั้นนี่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาลำพองตนจนนึกว่าตัวเองสู้ซูหนิงเฟยได้แล้ว
พอกล่าวคำพูดนี้ไป ซูหนิงเฟยก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เงียบงันสักพัก จึงค่อยใจเย็นลงเล็กน้อย
“ปล่อย” นางมองลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งค่อยๆ ปล่อยมือ แล้วเดินห่างออกมาสองสามก้าว
“อาจารย์ เห็นแก่หน้าข้าสักครั้ง ไว้ชีวิตสองคนนี้เถอะ” เขากล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ซูหนิงเฟยหยีตาจ้องมองลู่เซิ่งเขม็ง
ลู่เซิ่งมองอีกฝ่ายกลับเช่นกัน ทั้งสองไม่มีใครกล่าววาจาชั่วขณะ เพียงแต่อากาศรอบๆ ตัวลู่เซิ่งค่อยๆ ร้อนขึ้นมา พื้นที่รอบๆ ตัวซูหนิงเฟยก็มีเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ปกคลุมเช่นกัน
หนึ่งเย็นหนึ่งร้อน พลังงานที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงสองชนิด แม้จะยังไม่ได้ขยับ แต่ก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ตามธรรมชาติในโลกภายนอกแล้ว
เนิ่นนานให้หลัง ซูหนิงเฟยค่อยแค่นเสียง ก่อนจะวูบไหวร่างไปจับตัวลูกสาว แล้วกระโดดขึ้นไปในอากาศ จากนั้นพริบตาเดียวก็หายไป ดูจากคลื่นแปรปรวน สมควรกลับเขตถ่ายทอดความลับไปแล้ว
ลู่เซิ่งยืนอยู่กับที่ สัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อยืนยันได้ว่านางจากไปแล้วจริงๆ จึงค่อยหมุนตัวมามองสายตาตกตะลึงของพวกหลี่ซุ่นซี
“ยังไม่รีบไปอีก” เขาเร่ง
ทั้งสองค่อยเหมือนตื่นจากฝัน รีบหมุนตัววิ่งหนีไปทันที
เทียนเหอจินหยินค่อยๆ ลอยลงมาบนพื้น แล้วประสานมือให้ลู่เซิ่งน้อยๆ
“ผู้เยาว์เทียนเหอ คารวะผู้อาวุโส”
“สายเลือดของเจ้าหลอมรวมจนถึงจุดสูงสุดแล้ว สามารถก้าวเข้าสู่ระดับผู้ถืออาวุธได้ตลอดเวลา เหตุใดยังไม่…” ลู่เซิ่งมองเทียนเหอจินหยินพร้อมกับถามอย่างสงสัยเล็กนอย
“เพราะชิ้นส่วนอาวุธเทพของตระกูล…ผู้เยาว์มาถึงระดับนี้ได้ โดยอาศัยชิ้นส่วนอาวุธเทพที่ดูดซับเข้าไปในร่าง หากจะไปไกลกว่านี้ เนื่องจากลักษณะเฉพาะของสัญญาในอาวุธเทพ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะครอบครองอาวุธเทพชิ้นที่สอง…ผู้เยาว์ตัดใจมานานแล้วขอรับ” เทียนเหอจินหยินตอบอย่างเคารพ
“ไปเถอะ หาที่อยู่ให้พวกเขา ต้องเป็นที่ลับด้วย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “เทียนเหอเจ้าจัดการ จริงสิเรื่องราวในวันนี้จดจำไว้ด้วยว่าต้องรักษาเป็นความลับ”
“ผู้อาวุโสไม่ต้องห่วง ผู้เยาว์ต้องรักษาเป็นความลับแน่…” เทียนเหอกวาดตามองตำแหน่งของซ่งหยวนชินอ๋องโดยไม่รู้ตัว ไม่เหลือแม้แต่เศษเสื้อผ้าแล้ว
พี่ชายของซูหนิงเฟยเป็นผู้ถืออาวุธเพียงหนึ่งเดียวของสำนักพันอาทิตย์ เรื่องราวของนางก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ลู่เซิ่งสืบทราบมาอย่างง่ายดาย และรู้ถึงความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนนั้นเช่นกัน
เทียนเหอจินหยินใช้ท่าร่างพาเขากับอีกสองคนออกจากลานกว้าง ไม่นานก็มาถึงถนนลับตาคนที่อยู่ด้านในสุดของเรือนด้านใน
บนถนนเข้าสู่ช่วงประกาศกฎอัยการศึก ผ้าปิดล้อมทำพิเศษของสำนักพันอาทิตย์แขวนอยู่สองฟากข้าง ปิดล้อมเขตนี้เอาไว้โดยสมบูรณ์
เทียนเหอคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี เหมือนเจอเหตุการณ์นี้จนชิน
เดินเข้าไปในเรือนเล็กหลังหนึ่ง จากนั้นก็โบกมือเลื่อนภูเขาจำลองด้านหน้าเรือนออก เผยให้เห็นประตูใหญ่สีเงินด้านล่าง เปิดประตู แล้วทั้งสามก็เข้าไปในโถงหินใต้ดิน
บนผนังรอบๆ โถงหินมีอัญมณีทรงรีสีแดงอมม่วงฝังอยู่ไม่น้อย พวกมันกำลังปล่อยแสงสีม่วงอ่อนออกมา
“ทั้งสองท่านพักอยู่ตรงนี้ไปก่อน” เทียนเหอกล่าวอย่างระวังตัว “ที่นี่เป็นสถานที่ที่เร้นลับที่สุดในสำนักพันอาทิตย์ ก่อนหน้านี้มอบให้ผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปแล้วเร้นกาย ตอนนี้กำลังว่างอยู่ และไม่มีใครใช้ ปล่อยไว้นานเดี๋ยวคงถูกลืม จะมีบางครั้งเท่านั้นที่ข้านึกถึงการดำรงอยู่ของห้องลับห้องนี้”
“ใช้ได้” ลู่เซิ่งพยักหน้าก่อนจะมองพวกหลี่ซุ่นซี
“พี่เซิ่ง นี่คงไม่ลากท่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกระมัง” หลี่ซุ่นซีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์ชายฉยงซังถูกคนใส่ร้ายป้ายสี เป็นเพราะว่าบนตัวเขามีอาวุธเทพศัสตรามารในตำนานชิ้นหนึ่ง ที่ก้าวข้ามระดับเทวปัญญาได้ เพราะอาวุธเทพชิ้นนี้ พระโอรสของต้าอินที่ยิ่งใหญ่อย่างเขาจึงตกต่ำมาถึงขั้นนี้”
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งส่ายหน้าพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “มีอาจารย์ข้าอยู่ ล้วนป้องกันความวุ่นวายมากมายด้านนอกได้ แต่พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ อาวุธเทพที่ก้าวข้ามระดับเทวปัญญา…เกรงว่าจะดึงดูดขุมกำลังระดับอริยะเจ้ามาสอดส่อง”
“พวกเราขอหลบมรสุมแล้วจะไปทันที!” ฉยงซังเอ่ย “ผู้อาวุโสท่านนี้ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ท่านลงมือช่วยเหลือ เกรงว่าข้าน้อยคง…”
เขาเว้นเล็กน้อย
“แต่ท่านวางใจเถอะ อีกไม่นาน อีกไม่นานจะมีคนมารับข้า พวกเราจะไม่รบกวนท่านนานเกินไป”
“พระอนุชาของเขาพาคนมาหาตัวเขาแล้ว พระอนุชาของเขาเป็นคนที่ฝากอาวุธเทพชิ้นนี้ให้เขาเก็บซ่อน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า…จะถูกคนเปิดเผยจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงขนาดนี้” หลี่ซุ่นซีถอนใจและส่งกระแสเสียงพูดกับลู่เซิ่งโดยตรง
เขาเว้นเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ในเมื่อได้เจอพี่เซิ่งที่นี่ ข้าก็ขอเตือนท่านสักประโยค ต้าอินไม่ใช่สถานที่สงบสุขเช่นกัน พิภพมารลงมือสุดกำลังแล้ว เนื่องจากมีทรัพยากรที่ใช้ดำรงชีวิตอยู่น้อยเกินไป พวกมันเลยจำเป็นต้องกำจัดมารจำนวนมากเป็นการเร่งด่วน ทางโลกมนุษย์ก็เหมือนกัน ตระกูลขุนนางและราชสำนักต้องผลาญทรัพยากรจำนวนมากเพื่ออาวุธเทพศัสตรามาร ถึงแม้จะบุกเบิกโลกด้านนอกอย่างต่อเนื่อง แต่ความเร็วในการผลาญทรัพยากรมีมากกว่า ดังนั้นโลกมนุษย์จำเป็นต้องทำศึกใหญ่สักครั้ง เพื่อใช้พลังของระดับกลางถึงสูงซึ่งสั่งสมมากเกินไป…ศึกสองโลกที่เหมือนการล้างไพ่นี้แทบเป็นสิ่งจำเป็นแล้ว”
ลู่เซิ่งเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เพื่อแย่งชิงทรัพยากรในการใช้ชีวิต เพื่อใช้พลังที่แข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นจึงต้องเปิดศึก
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะจัดการภารกิจก่อน อีกเดี๋ยวค่อยคุยกัน” เขามองเทียนเหอจินหยิน คนผู้นี้ลงมือช่วยเหลือฉยงซังด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่เชื่อถือได้
“ไปเถอะ ไปรับมือสามสำนักจังหวัดไร้เหมันต์กัน” ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่าพลังที่เขาเปิดเผยออกมาในครั้งนี้เหนือกว่าระดับปฐมปฐพีแล้ว มิหนำซ้ำยังไม่ใช่ปฐมปฐพีทั่วไป
ดังนั้นเขาจึงต้องมอบคำอธิบายให้สำนักพันอาทิตย์ มอบคำอธิบายให้หยวนเจิ้งซั่งเหริน โดยที่ไม่สามารถใช้หอคอยวิญญาณจริงแท้มาเป็นข้ออ้างได้ หอคอยวิญญาณจริงแท้ที่ดีที่สุดของจังหวัดไร้เหมันต์อยู่ที่เรือนด้านในสำนักพันอาทิตย์ และอย่างมากสุดหอคอยวิญญาณจริงแท้นั้นก็ใช้ได้ถึงหนึ่งวันหรือเท่ากับแปดวัน คิดจะเลื่อนสู่ระดับปฐมปฐพีในเวลาแค่แปดวันหรือ เป็นไปไม่ได้เลย
“ผู้อาวุโส…ข้าไม่จำเป็นต้องไปแล้ว…ข้าพักในสำนักพันอาทิตย์ชั่วคราว มีหลายเรื่องที่ไม่สะดวก อีกทั้งยังลงมือโดยพลการจนเกิดปัญหาอีก…” เทียนเหอจินหยินจนปัญญาอยู่บ้าง
“ก็ได้” ลู่เซิ่งไม่สร้างความลำบากให้เขา เขาไม่รู้ว่าเทียนเหอจินหยินมีสถานะอะไรในสำนักพันอาทิตย์ ทว่าก็ไม่สำคัญ เขาได้ลอบทิ้งตราประทับจิตที่มีเฉพาะระดับอริยะเจ้าไว้บนร่างคนผู้นี้แล้ว
หรือก็คือตราประทับงูมีปีกทรงสามเหลี่ยมที่เล็กจนแทบมองไม่เห็น เกิดว่าถูกฝากตราประทับนี้ไว้ จะขจัดได้ยากถึงขีดสุด เหมือนอาวุธเทพฉายรังสีไปยังที่อื่น นับว่ารับประกันความปลอดภัยให้แก่หลี่ซุ่นซี
ลู่เซิ่งไม่มีทางช่วยคนไปทั่วเหมือนคนดีอย่างหลี่ซุ่นซี แต่เขาชื่นชมคนแบบนี้ และยินดีคบหา ถ้าหากให้คนแบบนี้เป็นหนี้บุญคุณตนเอง ภายหลังเวลาต้องใช้อีกฝ่าย ก็จะได้รับการตอบแทน
……………………………………….