ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 388 อนาคต (2)
บทที่ 388 อนาคต (2)
ซั่งหยางเฟยคลานออกมาจากในไข่สีดำด้วยร่างเปล่าเปลือย บนใบหน้าที่งดงามขาวผ่องแสดงความเจ็บปวด การคืนชีพใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้มีไข่ของจักรพรรดิมารช่วยนางสร้างกายเนื้อขึ้นใหม่ แต่ความเสียหายทางจิตวิญญาณก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงด้วยวิธีการที่หยาบกระด้างเช่นนี้
อย่างมากสุดสามครั้ง ถ้าหากคืนชีพอีก นางซั่งหยางเฟยจะกลายเป็นแค่หนอนร่างมนุษย์ที่รู้จักแต่กินกับขับถ่าย ไม่มีชีวิตและสติปัญญาอีก
‘หากนับครั้งนี้ ก็เป็นครั้งที่สองแล้ว…’ ซั่งหยางเฟยฝืนนอนในของเหลว ร่างอ่อนระทวยไม่อยากจะขยับ
ในตอนสุดท้าย ลู่เซิ่งตายหรือไม่นางไม่ทราบ แต่ว่าการระเบิดตัวตายนั้น ต่อให้ไม่ตายก็จะต้องได้รับบาดเจ็บหนัก ซั่งหยางเฟยมั่นใจในตัวเองมาก แม้นางจะไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงของร่างแปลงจักรพรรดิมารออกมาได้ ก็ยังถือไพ่ตายอันเหี้ยมหาญที่เหนือกว่าจ้าวแห่งมารไว้ ทว่าสุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลวกลับมา
กระนั้นครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย ลู่เซิ่งที่ทำลายหุบเหวมารคือจ้าวแห่งมาร! การระเบิดในครั้งนั้นจะต้องสร้างความเสียหายให้กับลู่เซิ่งอย่างรุนแรงแน่
ข้อมูลข่าวสารนี้ได้ส่งไปถึงฝ่าบาทเหวยลาแล้ว
“แหมๆ…น่าสงสารจริงเชียว…แม้แต่กายเนื้อก็รักษาไว้ไม่ได้ ได้แต่เลือกคืนชีพอย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้…นี่มันใต้เท้าเสินหลิงที่ปกติอาศัยความเอ็นดูของฝ่าบาทไม่ใช่หรอกหรือ”
เสียงสตรีทียินดีในคราเคราะห์ดังขึ้นใกล้ๆ ซั่งหยางเฟย
“เสินอิน…” ซั่งหยางเฟยผุดสีหน้าเย็นชา สายตาพลันจับจ้องไปยังทิศทางที่เสียงดังมา “เจ้ามาทำอะไร เยาะเย้ยข้า หรือว่ามาซ้ำเติม”
สตรีงดงามที่ใช้เกราะอ่อนโลหะสีม่วงอมดำปิดแค่จุดสำคัญเอาไว้ค่อยๆ เดินออกมาจากความมืด
นางมีผมยาวสีม่วงที่สวยงาม บนร่างนอกจากหน้าอกและท่อนล่างแล้ว ที่อื่นไม่มีผ้าสักชิ้นเดียว ถึงขั้นไม่ได้สวมแม้แต่รองเท้า
รอบๆ ตัวนางมีกลุ่มไฟสีแดงขนาต่างๆ วนเวียนตลอดเวลา ร่างกายเหมือนกับพร้อมระเบิดตัวเองได้ทุกเมื่อ
“ข้าไม่มีเวลาว่างมากมายขนาดนั้นหรอก เสินหลิง เจ้าสูญเสียร่างแปลงของฝ่าบาท ฝ่าบาทพิโรธโกรธกริ้วมาก จึงให้ข้าจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ถ้าหากเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็มุ่งหน้าไปฝึกฝนที่เขาพันอินทรีเองเถอะ พลังกายเนื้อของเจ้าอ่อนแอเกินไป ถึงขั้นแม้แต่พลังทั้งหมดของฝ่าบาทก็ยังรับไว้ไม่ไหว ทั้งๆ ที่เอาร่างแปลงของฝ่าบาทในระดับสุดยอดจ้าวแห่งมารไปด้วย แต่กลับได้แต่แสงพลังของจ้าวแห่งมารระดับธรรมดาเท่านั้น หากเรื่องแบบนี้ลือกันออกไป คงน่าหัวเราะนัก!” เสินอินหัวเราะเย็นชา “ถ้าไม่ใช่ฝ่าบาทบอกว่าเจ้ามีศักยภาพมากพอที่จะเลื่อนสู่ระดับจ้าวแห่งมาร แค่ความเสียหายในครั้งนี้ก็โยนเจ้าเข้าไปป้อนหนอนในรังหนอนได้แล้ว!”
ซั่งหยางเฟยกัดริมฝีปาก ไม่ได้ส่งเสียง
นางคำนวณผิดพลาด ประเมินความแข็งแกร่งของลู่เซิ่งต่ำเกินไป ขาดการเตรียมตัว สุดท้ายก็ล้มเหลว อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จ ตัวเองได้รับบาดเจ็บ สูญเสียสาหัส ถึงขั้นที่เสียความโปรดปรานไปด้วย
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนางประเมินพลังของลู่เซิ่งผิดไปถนัด
“สรุปว่าอย่างไร” ซั่งหยางเฟยเดาเจตนาที่อีกฝ่ายมาเยาะเย้ยนางออกแล้ว
“สรุปคือภารกิจจับกุมในครั้งนี้ ข้าเสินอินจะลงมือเอง” เสินอินหัวเราะอย่างเย็นชา หางสีดำเรียวยาวด้านหลังส่ายไปมาและบิดม้วน
“เช่นนั้นก็ขอให้เจ้าโชคดี” ซั่งหยางเฟยเอ่ยอย่างราบเรียบ มาถึงตอนนี้ นางกลับเยือกเย็นลงแล้ว พอนึกได้ว่าคนอย่างลู่เซิ่งปกปิดพลังไว้ทั้งตอนอยู่ในต้าซ่งและต้าอินมานานเพื่อเป้าหมายที่ไม่ทราบ อีกฝ่ายคงมีแผนการยิ่งใหญ่จนสุดจินตนาการแน่
ในเมื่อเสินอินยินดีรับช่วงต่อ คนที่ลึกลับเดาทางไม่ถูกเช่นนี้ นางก็ไม่คิดจะลงมือกับอีกฝ่ายอีก
“ข้อมูลที่ข้าครอบครองล้วนเก็บไว้ที่กรมทลายภพ เจ้าไปดูเองก็แล้วกัน” นางอธิบาย “นอกจากนี้ขอเตือนเจ้าอีกประโยค ลู่เซิ่งผู้นั้นไม่ได้รวบรัดอย่างที่เจ้าคิด ทางที่ดีเจ้าควรพาพี่ชายเจ้าไปด้วย…”
“ข้าจะทำอย่างไรเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เสินอินตัดบทซั่งหยางเฟยอย่างไม่เกรงใจ
“ก็ได้ หวังว่าเจ้าจะได้ชัยชนะกลับมา ทำตามคำสั่งของฝ่าบาทสำเร็จ” ซั่งหยางเฟยยิ้มบาง
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามีผลงานตีรัฐซ่งแตกล่ะก็…หึ” เสินอินแค่นเสียง พร้อมกับหมุนตัวไปแล้วระเบิดกลายเป็นเปลวไฟกลุ่มหนึ่ง ก่อนจะหายไปจากที่เดิม
ซั่งหยางเฟยกึ่งนอนอยู่ในของเหลวพลางใช้นิ้วเกี่ยวของเหลวหลายสายด้านหน้าตนจนขาดอย่างไม่รู้สึกตัว นางกลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย
นางสังหรณ์ว่า ต่อให้เสินอินไปด้วยตัวเอง ภารกิจนี้ก็เกรงว่าจะไม่ง่ายอยู่ดี
…
เขตจันทราสารท อารามสำนักพันอาทิตย์
มีคนไม่น้อยมารออยู่บนพื้นว่างด้านล่างอยู่แล้วในตอนที่ลู่เซิ่งค่อยๆ ทิ้งตัวลง เจ้าสำนักเฉินจิ้งจือรออยู่กลางอารามพร้อมกับระดับสูงของสำนักพันอาทิตย์คนอื่นๆ
ลู่เซิ่งลดระดับความสูงอย่ารวดเร็ว ไม่มีการปกปิดเสื้อผ้าที่ขาดกะรุ่งกะริ่งแม้แต่น้อย
พวกเฉินจิ้งจือสีหน้าเปลี่ยนไปในตอนที่เห็นจุดนี้ เกิดเสียงดังสนั่นมาจากป่าของเขตจันทราสารท วันกันว่ามียอดฝีมือสู้กัน นี่เป็นข่าวที่กรมสังข์เขียวส่งมาในตอนจับตามองใต้หล้า ดูจากตอนนี้ เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่ายอดฝีมือที่ต่อสู้คงเป็นลู่เซิ่งหรือผู้อาวุโสลู่ที่ปิดบังสถานะมาโดยตลอด
“ผู้เยาว์เฉินจิ้งจือ”
“ผู้เยาว์ว่านฟัง (เจียวฉวนเจียง) คำนับผู้อาวุโส”
ทุกคนพากันก้มหน้าคำนับ ในสามสำนัก พลังฝึกปรือเป็นปัจจัยสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในการตัดสินตำแหน่งและวาจาสิทธิ์ เฉินจิ้งจืออยู่แค่ในระดับขอบเขตปฐมปฐพี เมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์ของเชียนตู้ ไม่อาจไม่แสดงความเคารพเช่นกัน
“ไม่ต้องมากมารยาท” ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงด้านหน้ารูปสลักตรงกลางอารามอย่างมั่นคง จากนั้นก็มีผู้อาวุโสเข้ามาส่งมอบเสื้อคลุมให้
ลู่เซิ่งรับเสื้อคลุมมาสวมบนร่าง ปกปิดชุดที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง
“คนของตระกูลลู่และคนใต้อาณัติของข้าได้มาถึงเขตจันทราสารทแล้ว อยากจะขอให้พวกท่านช่วยกันดูแลให้มาก” เขากำชับด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ข้าได้เจอไส้ศึกของพิภพมารระหว่างทาง หลังจากต่อสู้กันก็ได้ฆ่ามันตายแล้ว พวกท่านแจ้งกรมสังข์เขียวหรือยัง”
“แจ้งแล้วขอรับ” เฉินจิ้งจือพูดพลางพยักหน้า
“เจ้าสำนักเฉินไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอก ท่านช่วยดูแลข้าในตอนที่ข้ายังไม่ได้เผยสถานะ พวกเราเรียกขานชื่อแซ่กันตรงๆ เถอะ” ลู่เซิ่งเรียกเฉินจิ้งจือมาตามลำพังก่อนจะเสนอ
“ผู้เยาว์มิกล้า” เฉินจิ้งจือยิ้มอย่างฝืดเฝือ พอนึกถึงว่าก่อนหน้านี้ไม่นานยังคุยโวโอ้อวดต่อหน้าบุคคลยิ่งใหญ่ท่านนี้ แถมยังโม้ว่าสำนักระดับจังหวัดมีสวัสดิการมากมาย ในใจก็รู้สึกขบขัน
“เจ้าสำนักเฉินไม่จำเป็นต้องพูดมากความ” ลู่เซิ่งชูมือ “นอกจากนี้ข้าต้องการห้องสงบใจเพื่อรักษาตัวสักพัก รบกวนท่านเตรียมของกินบางส่วนให้ข้าด้วย”
“ผู้อาวุโสโปรดตามข้ามา” รองเจ้าสำนักว่านที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ
เฉินจิ้งจือคุยเล่นกับท่านผู้นี้ได้ ทว่าพวกเขาไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่เฉินจิ้งจือมีเบื้องหลังล้ำลึก จึงมีความมั่นใจ อีกทั้งระดับการให้ความสำคัญที่เขามีต่อลู่เซิ่งเมื่อก่อนหน้านี้ก็ไม่มีจุดบกพร่องแม้แต่น้อยเช่นกัน
คนอื่นๆ ไม่มีทางได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ถึงอย่างไรลู่เซิ่งก็เป็นศิษย์ของคนผู้นั้น เกิดว่าไม่ได้ร่ำเรียนแค่พลังของคนผู้นั้น แต่ยังเลียนแบบนิสัยของคนผู้นั้นมาด้วยเล่า
อย่างนั้นระดับสูงที่ถือโอกาสออกหน้าอย่างพวกเขาคงอนาถแล้ว เจ้าสำนักสาขาใหญ่ที่รับตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันเป็นพี่ชายของท่านผู้นั้น ล้วนมาจากโลกด้านนอก
ลู่เซิ่งตามรองเจ้าสำนักไปยังส่วนลึกของอาราม แล้วเริ่มพักฟื้นรักษาตัวในห้องศิลาที่สงบเงียบลับตาคนแห่งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้แม้เขาจะยกระดับขอบเขตของวิถีแปดมารสูงสุดไปแล้ว แต่นั่นเป็นการฝืนดึงรั้งให้สูงขึ้นในพริบตาที่บรรลุอย่างกะทันหัน
ตอนนั้นเป็นการใช้เวลาเพียงกะพริบตาเลื่อนสู่ระดับจ้าวแห่งมาร ยกระดับวิถีแปดมารสูงสุด จากนั้นคุณสมบัติของกายเนื้อก็เปลี่ยนแปลงและพัฒนาโดยสมบูรณ์
การเปลี่ยนแปลงต่อคุณสมบัติชนิดนี้แทบไม่มีจุดสิ้นสุด กายเนื้อของเขาอยู่ในสภาพที่ยกระดับได้ทุกที่ทุกเวลาในทุกๆ วินาที ภายใต้การเร่งเร้าโดยจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของจ้าวแห่งมาร
แต่เป็นเพราะไม่มีพลังงานที่แข็งแกร่งเพียงพอ การวิวัฒนาการกายเนื้อจึงเชื่องช้าลงเหมือนกับน้ำที่ไม่มีแหล่งน้ำ ซึ่งไม่นานก็จะหมดลง อาศัยแค่พลังงานเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนและดูดซับสารกายทุกวัน ค่อยพอยกระดับขึ้นได้
จนกระทั่งตอนที่ได้พบกับซั่งหยางเฟย
แก่นมารที่บริสุทธิ์จำนวนมากซึ่งระเบิดออกมาในพริบตาที่ร่างแปลงจักรพรรดิมารซื่งนางนำมาด้วยระเบิดตัวเอง ทำให้ลู่เซิ่งเติมพลังงานสำหรับเลื่อนระดับจำนวนไม่น้อยได้ในพริบตา วิถีแปดมารสูงสุดยกระดับต่ออย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นเขายังได้เติมพลังอาวรณ์เพื่อเร่งความเร็วผ่านเครื่องมือปรับเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงของกายเนื้อจึงรวดเร็วกว่าเดิม
หลังเข้าไปในห้องลับ อาการบาดเจ็บบนร่างลู่เซิ่งก็ดีขึ้นมากกว่าครึ่ง เหลือแค่ชิ้นส่วนของป้ายอาญาครึ่งส่วนเท่านั้นที่ฝังอยู่ในอกข้างขวาของเขา
“เอาล่ะ ผู้อาวุโสอวิ๋นท่านไปเถอะ รบกวนส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ตระกูลข้าด้วยว่าอีกไม่นานข้าจะกลับไป” ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิในห้องลับ แล้วหลับตาเริ่มการฝึกฝน
“รับทราบ!” คนที่รับผิดชอบนำทางก็คืออวิ๋นว่านเฟยแห่งตระกูลอวิ๋น คนรู้จักเก่าในเขตจันทราสารท
ตอนนั้นสตรีนางนี้ได้มอบตวนมู่หว่านให้ลู่เซิ่งเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กัน ปัจจุบันจึงได้ใกล้ชิดกับลู่เซิ่ง
ตอนนี้อวิ๋นว่านเฟยตอบสนองไม่ทันโดยสิ้นเชิงว่า ศิษย์จริงแท้คนหนึ่งไปนครจังหวัด พอกลับมาก็กลายเป็นผู้อาวุโสระดับสุดยอดที่แม้แต่เจ้าสำนักยังต้องพาคนไปต้อนรับได้อย่างไร
หลังจากคนออกจากห้องลับไป ลู่เซิ่งก็โบกมือเรียกปราณมารไร้รูปร่างจำนวนมากออกมาผนึกผนังทั้งหมดของห้องลับเอาไว้
จากนั้นเขาค่อยระบายลมหายใจ
‘ครั้งนี้รวยเละแล้วจริงๆ!’ ลู่เซิ่งตาแดงก่ำเล็กน้อย พลังอาวรณ์หลายพันหน่วยเชียวนะ! เขาสามารถเรียนรู้วิชาจริงแท้ได้ถึงขั้นไหนกัน
ตอนนั้นเรียนรู้วิชาดาบย้ายดวงดาว ใช้ไปแค่สองสามร้อยกว่าหน่วย ก็ทำให้จิตใจเลื่อนสู่ขอบเขตจ้าวแห่งมารแล้ว แม้ว่าสองสามร้อยกว่าหน่วยนี้จะเป็นแค่ความบังเอิญก็ตาม
“ลู่เซิ่ง…บอกข้าได้หรือไม่ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่” อยู่ๆ เสียงชราก็ดังมาจากในกระบี่ธารธารา “เหตุใดสตรีนางนั้นจึงอยากฆ่าเจ้า ยังมีหุบเหวมารอีก เจ้าทำลายผนึกในหุบเหวมารแล้วปล่อยคนผู้นั้นออกมาแล้วจริงๆ หรือ”
“เจ้าควรรู้สึกโชคดีที่ข้าไม่ใช่คนโลภมากเกินไป ไม่อย่างนั้นเจ้ากับดาบแสงจรัสคงไม่พอให้ข้ากิน” ลู่เซิ่งกล่าวเบาๆ ตามตรง
“ข้าไม่เคยเห็น…สภาพนั้นของเจ้ามาก่อน…” กระบี่ธารธารามองลู่เซิ่งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทั้งยังอมยิ้มเล็กน้อย รู้ว่าสภาพเมื่อก่อนหน้าเป็นไพ่ตายที่เขาครอบครองมานานแล้ว
“เช่นนั้นเจ้าก็ถือว่านั่นเป็นไพ่ตายอย่างหนึ่งของข้าก็แล้วกัน ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น” ลู่เซิ่งกล่าว
เขายังไม่ได้สนิทกับกระบี่ธารธาราล้ำลึกขนาดนั้น
‘ระดับที่แม้แต่อาวุธชั่วร้ายก็ต้านทานไม่ได้…’ กระบี่ธารธาราเกิดความมั่นใจแล้ว เพียงแต่มันไม่กล้าคาดเดาไปทางทิศทางนั้น
ลู่เซิ่งกลับไม่สนใจว่ามันจะคิดอย่างไร ภารกิจเร่งด่วนคือการรักษาอาการบาดเจ็บบนร่าง พร้อมกับพยายามย่อยสลายพลังอาวรณ์เป็นพลังที่แท้จริงให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ครั้งนี้จักรพรรดิมารเหวยลาหมายหัวเขา แถมยังรู้เรื่องที่เขาทำลายหุบเหวมารด้วย เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่านี่จะเกี่ยวข้องกับข่าเฟยมารโบราณที่หลบหนีไปในครั้งนั้น ตอนนั้นเขาเกือบจะกินมารโบราณตนนั้นได้แล้ว ระหว่างทั้งสองมีความแค้นล้ำลึกต่อกัน
สำหรับข่าเฟย ลู่เซิ่งทำลายอาณาเขตของเขา ลงมือสังหารเขา ทั้งยังทำลายผนึกที่จักรพรรดิมารเหวยลาสั่งให้เขาเฝ้าคุ้มครอง บุญคุณความแค้นมากมายแสดงให้เห็นว่าเขากับลู่เซิ่งไม่มีทางอยู่ร่วมโลกกันได้
‘มีความเป็นไปได้ไม่มากนักที่จักรพรรดิมารเหวยลาจะลงมือด้วยตัวเอง เจ้าแห่งอาวุธในโลกมนุษย์ไม่มีทางอนุญาต ถ้าหากว่าพลังระดับสูงสุดในโลกมนุษย์ถูกแก้ไขได้ง่ายขนาดนั้น ทั้งสองโลกคงไม่เกิดศึกใหญ่ พิภพมารแค่ส่งคนมาลอบสังหารก็พอ’ ลู่เซิ่งปรับลมหายใจพลางควบคุมสภาพร่างกายให้ค่อยๆ เข้าสู่สภาพสงบนิ่งโดยสมบูรณ์
ระดับพื้นฐานมากเท่าไหร่ ทิศทางที่เรียนรู้ได้ก็ยิ่งกว้างขวางเท่านั้น ตอนนี้เรามีความรอบรู้ในด้านมรรคายุทธ์ ทั้งยังรู้ลึก การเรียนรู้วิชาจริงแท้ในมรรคายุทธ์ขั้นพื้นฐานถือว่าเหมาะสมพอดี’ ลู่เซิ่งเรียกดีปบลูออกมา แล้วใช้สายตาคัดเลือกวิชาจริงแท้ทางมรรคายุทธ์ที่ตนเคยฝึกฝนอย่างละเอียด
‘ยิ่งอยู่ในระดับพื้นฐานเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น…’ เขามองตรงไปยังวิชาแข็งกร้าวพื้นฐานที่ใช้ยกระดับกายเนื้อ
วิถีแปดมารสูงสุดเข้าใกล้จุดสูงสุดแล้ว ไม่อาจเรียนรู้ได้อีกต่อไป หลังระดับชั้นนี้ได้รับการเลื่อนขั้น เขาก็รู้สึกได้ว่ากายเนื้อเกิดความรู้สึกสมบูรณ์ พลังงานในร่างมีอย่างเต็มเปี่ยมจนเหมือนกับลูกโป่งที่กำลังจะระเบิด
‘ความตั้งใจในการสร้างวิถีแปดมารสูงสุดคือการใช้วิชามารของสำนักมารกำเนิดแปดวิชาเป็นพื้นฐาน แต่ความตั้งใจสูงสุดในการสร้างวิชามารทั้งแปดก็แค่คิดจะหลอมร่างมารให้ไปถึงขั้นอาวุธเทพที่อยู่ยงคงกระพันและแข็งแรงทนทานเท่านั้น นี่เป็นขีดจำกัดของคนในสำนักมารกำเนิด เป็นขีดจำกัดทางความคิด ตอนนี้เรามาถึงขอบเขตที่พวกเขาฝันว่าอยากจะมาให้ถึงแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าเป็นมารกำเนิด ซึ่งเป็นคำเรียกด้วยความเคารพสูงสุดต่อมารในคัมภีร์ของสำนักมารเนิด แต่ระดับชั้นนี้ เมื่ออยู่ในต้าอิน อยู่ในโลกมนุษย์และพิภพมาร ก็ยังคงอยู่ต่ำกว่าเจ้าแห่งมารอยู่ดี ถึงขั้นที่ไปไม่ถึงจุดสูงสุดของระดับอริยะเจ้าด้วยซ้ำ’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
‘โลกใบนี้ยังมีสิ่งใดที่แข็งแกร่งกว่าอาวุธเทพอีก’ สำหรับคนในโลกมนุษย์แล้ว อาวุธเทพสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ย้ายภูผาเผาทะเล และแทบมีอานุภาพไร้ขีดจำกัด อาวุธเทพศัสตรามารแต่ละชิ้นมีอานุภาพแตกต่างกัน สำหรับคนที่นี่ อาวุธเทพศัสตรามารเป็นพลังและเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด
ทว่าลู่เซิ่งที่มาจากโลกเก่ากลับทราบว่า อาวุธเทพศัสตรามารเป็นแค่อาวุธพิเศษที่มีสติปัญญาเท่านั้น
ในเมื่อเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูสามารเรียนรู้วิชาผ่านความตั้งใจในการสร้างวิชา หนำซ้ำยังพัฒนาวิชาที่เรียบง่ายให้ไปถึงระดับที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้
‘อย่างนั้น…ทำไมเราจะสร้างวิชาจริงแท้สุดแข็งแกร่งที่รวบรวมทุกอย่างไว้ด้วยกันขึ้นมาไม่ได้ล่ะ ความตั้งใจในการสร้างก็คือพลังในการจินตนาการไม่ใช่หรือ’ ลู่เซิ่งฉุกใจได้ พลันเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งดุจดั่งทะลวงไม้ไผ่
“ใช้ความตั้งใจในการสร้างเป็นกรอบ ใช้ความชำนาญ ความรู้ และประสบการณ์ในด้านการฝึกฝนมรรคายุทธ์เป็นเนื้อหา ใช้พลังอาวรณ์เป็นเชื้อเพลิง หรือเป็นแรงผลักดันในการยกระดับและเรียนรู้ แบบนี้…คือวิธีใช้ดีปบลูของจริง…” ลู่เซิ่งเพิ่งสัมผัสได้เป็นครั้งแรกว่าส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริงของเครื่องมือปรับเปลี่ยนคืออะไร
ไม่ใช่สิ่งใดอื่น หากเป็นพลังการเรียนรู้ที่น่าสะพรึงซึ่งแทบมีความเป็นไปได้ไร้สิ้นสุด
วินาทีนี้ เขานึกถึงอานุภาพอันน่ากลัวมากมายที่มีอยู่แค่ในทฤษฎีบนโลกในชาติก่อน ภัยพิบัติฟ้าอันน่ากลัว
‘มหานวดารา การชนกันของดาราจักร หลุมดำจักรวาล การฉีกขาดของพลังงานมืด การพังทลายของปริภูมิ…’
……………………………………….