ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 392 สร้างรากฐาน (2)
บทที่ 392 สร้างรากฐาน (2)
“จะต้องเป็นเผ่าปีศาจแน่” เซียวฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตั้งแต่ต้าอินถึงต้าซ่ง ระยะทางยาวไกล การเดินทางเสี่ยงอันตราย ในป่าเขาลำเนาไพรล้วนเป็นฟ้าดินของปีศาจ มหาปีศาจอาละวาด ต่อให้เป็นต้าอิน ก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ง่ายๆ เรื่องนี้ข้าว่าเจ้าสำนักลู่คิดเสียว่าตัวเองโชคร้ายเถอะ
“อ้อ? เจ้ากรมเซียวกรุณาอธิบายให้ชัดเจนเถอะ ต้าอินมีพลังยิ่งใหญ่ ยอดฝีมือมากมายดุจหมู่เมฆา หรือกลัวเผ่าปีศาจในป่าเล็กๆ ผืนเดียว” ลู่เซิ่งถามอย่างไม่เข้าใจ
“กลัวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ยุ่งยาก เผ่าปีศาจที่ซ่อนอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้มีสายสัมพันธ์กับขุมกำลังต่างๆ ฮองเฮาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็มีสองคนที่เป็นเผ่าปีศาจกระต่าย กอปรกับเผ่าปีศาจมีความสามารถเร้นลับและมีวิชาปลอมแปลงแข็งแกร่งสุดขีด จึงจับตัวได้ยาก เรื่องนี้เป็นงานยุ่งยาก” เซียวฉิงอธิบาย
ความจริงเผ่าปีศาจในต้าอินไม่ต่างจากชนกลุ่มน้อยนัก ซ่อนตัวในเขาลึก เหี้ยมหาญในท้องที่ ต่อให้ลอบโจมตีท่าน ก็ไม่มีหลักฐาน ท่านจึงทำอะไรพวกเขาไม่ได้จริงๆ
แค่ฆ่าคนในเขาลึก แล้วฝังไว้สักที่ ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าท่านทำอะไร บวกกับเผ่าปีศาจก็ไม่ใช่ไม่มีหลังฉากอยู่ในราชสำนักเช่นกัน เมื่อทุกอย่างเกาะเกี่ยวกัน เผ่าปีศาจในต้าอินกับต้าซ่งจึงไม่มีการควบคุม
นอกจากนี้ ในเทือกเขาแห่งนี้ยังมีสถานที่ต้องห้ามลึกลับแห่งหนึ่งซึ่งสามารถสะกดการโคจรของปราณจริงแท้ได้ ถ้าหากเจ้าสำนักลู่ไม่มีเรื่องอะไร ก็อย่าไปหาเรื่องจะดีกว่า” เซียวฉิงเกรงกลัวว่าลู่เซิ่งจะรายงานเรื่องที่พิภพมารสร้างจุดส่งตัวเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นไป น้ำเสียงจึงเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย
เพียงแต่พอลู่เซิ่งได้ยินว่าครอบครัวของตนเกือบถูกลอบสังหาร ก็บังเกิดเพลิงโทสะขึ้นในใจ เขาได้ตรวจสอบบันทึกเขตของท้องถิ่นในตอนที่กลับสำนักพันอาทิตย์แล้ว จึงเข้าใจสถานการณ์รอบๆ อย่างคร่าวๆ เผ่าปีศาจหลายกลุ่มนั้นขยายอิทธิพลมาถึงในนครเขตเช่นกัน อย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ของดีมากมายที่มีแต่มนุษย์สร้างได้ ได้แต่ซื้อจากเขตในราคาสูง ดังนั้นการที่เผ่าปีศาจจะมีเส้นสายอยู่ในนครเขตจึงถือว่าสมเหตุสมผล
ปัจจุบันการแก้แค้นเป็นสิ่งจำเป็น เพียงแต่จะทำได้อย่างไร เป้าหมายเป็นใคร ยังต้องคัดเลือกอย่างละเอียด
เขาคิดจะใช้เขตจันทราสารทแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นหลักสำหรับพัฒนา สามสำนักก็ดี ราชสำนักก็ดี ล้วนไม่อาจขัดขวางการหยั่งเท้าลงที่นี่ของเขาได้
“ว่ากันกว่า…ใกล้ๆ เขตจันทราสารทมักจะมีกวางสีดำโผล่มา…เผ่ากวางดำนี้มีนิสัยเหี้ยมโหดโอหัง อาศัยว่าเบื้องหลังมีอาวุธเทพศัสตรามารคอยสะกด บนมีที่พึ่ง ล่างมีการอำพราง กระทำความผิดซื้อขายมนุษย์และจับคนต่างถิ่นมาทำเป็นสินค้าจำนวนไม่น้อยในบริเวณนี้…” ลู่เซิ่งประคองจอกชาขึ้นดื่มช้าๆ
ตึง!
“ลู่เซิ่ง! เจ้าอย่าล้ำเส้นเกินไปนัก!”
เซียวฉิงโมโหเดือดดาล ตบโต๊ะด้านหน้าอย่างแรงจนจอกชาด้านบนกระเด็นขึ้น แล้วเอียงล้มไปแตกบนพื้น ชาสีเขียวอ่อนด้านในกระจายลงพื้น กลิ่นหอมพุ่งปะทะจมูก
ในเขตจันทราสารทมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าสามีของนางคือหัวหน้าเผ่ากวางดำ ตอนนี้ลู่เซิ่งคิดแตะต้องเผ่ากวางดำต่อหน้านาง นี่หมายความว่าอย่างไร
น่าเสียดายที่นางเป็นแค่เจ้ากรมสังข์เขียวของนครเขต จึงไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของลู่เซิ่ง เพียงนึกว่าเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์ระดับนครจังหวัดสักคนต้องอยู่ในระดับสูงสุดของสามขั้นบนระดับปฐมปฐพี ส่วนหัวหน้าเผ่ากวางดำซึ่งเป็นสามีของนางก็อยู่ในระดับปฐมปฐพีสามขั้นบนอย่างแท้จริง และเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ตัวจริงที่การกระทำมีน้ำหนักในนครเขตเช่นกัน
ข้อมูลข่าวสารของระดับอริยะเจ้า ล้วนมีกรมสังข์เขียวกับกรมหยินหยางในระดับนครจังหวัดเป็นอย่างน้อยร่วมมือกันจัดเก็บ ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ ดังนั้นเซียวฉิงจึงไม่รู้
ด้านหนึ่งเพื่อคุ้มครองอริยะเจ้าและครอบครัว ด้านหนึ่งเพื่อแบ่งอำนาจของกรมสังข์เขียวและกรมหยินหยางในแต่ละท้องที่ ไม่อย่างนั้นหากบนล่างรวมใจกัน กรมสังข์เขียวจับตามองใต้หล้า เกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สั่งการไม่ได้
“ใกล้ๆ นครเขตมีแค่เผ่ากวางดำที่น่าสงสัยที่สุด ว่องไว แข็งแกร่ง มีขนสีดำ ร่างกายสาบเหมือนกลิ่นชะมด…” ลู่เซิ่งยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเซียวฉิงตัดบท
“ลู่เซิ่ง ข้าวกินอย่างไรก็ได้ แต่วาจาไม่อาจกล่าวอย่างไรก็ได้! ก่อนจะพูดอะไร ต้องทราบผลที่ตามมา ตระกูลเจ้า บริวารของเจ้าล้วนอยู่ในเขตจันทราสารท” แม้คนต่างถิ่นคนหนึ่งในสามสำนักจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้กลับกล้าสอดมือเข้ามาในภารกิจของราชสำนัก คุกคามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสังข์เขียว!
เซียวฉิงสำนึกตัวว่าขอแค่มีรายงานถึงเบื้องบน พวกขุนนางระดับสูงที่กริ่งเกรงสำนักพันอาทิตย์เหล่านั้นจะต้องไม่ยอมเลิกราแน่
“ผลที่ตามมา?” ลู่เซิ่งพลันหัวเราะ “เจ้ากล้าข่มขู่ข้าหรือ”
“นี่ไม่ใช่การข่มขู่ แต่เป็นเรื่องจริง!” เซียวฉิงแค่นเสียง ต่อให้เขามีพลังแข็งแกร่งแล้วอย่างไร กล้าลงมือหรือ
นางเป็นเจ้ากรมสังข์เขียว ขอบเขตที่รับผิดชอบจับตาดูแล มีระดับสูงของสามสำนักอยู่ด้วย หากยั่วโมโหนาง การรายงานเท็จเพื่อเล่นงานก็ไม่ใช่ว่านางไม่เคยทำมาก่อน
“เรื่องจริงหรือ” ลู่เซิ่งคร้านจะกล่าววาจาไร้สาระกับนางแล้ว เด็กน้อยนางนี้ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ กล้ากล่าววาจาโอหังต่อหน้าเขา
“ผู้เฒ่าสือ พาเจ้ากรมเซียวออกไป สอนนางว่าควรพูดจาดีๆ อย่างไร” เขาโบกมือ จากนั้นก็พิงที่นั่ง ไม่พูดอะไรอีก
ผู้เฒ่าสือเดินออกมาจากประตูเล็กของโถงข้าง เขากับราชาเงามืดตัดสินใจติดตามลู่เซิ่งแล้ว พิภพมารไม่มีที่ให้พวกเขาดำรงชีวิตที่เหลืออยู่อีกต่อไป เวลาเปลี่ยน สถานที่เปลี่ยน คนจากไปน้ำชาเย็นชืด ยิ่งอย่าว่าแต่สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันที่เหี้ยมโหดอย่างพิภพมาร
ดังนั้นการติดตามลู่เซิ่งที่มีความเร็วในการยกระดับพลังที่น่าสะพรึงจึงเป็นทางออกที่พวกเขาปรึกษากันไว้แล้ว
“เจ้า!” เซียวฉิงถลึงตามองลู่เซิ่ง “บังอาจ! วันนี้ถ้าเจ้ากล้าแตะข้าแม้แต่เส้นขนเส้นเดียว พรุ่งนี้เช้ากรมสังข์เขียวระดับจังหวัดจะต้องมีคำสั่งไล่ล่าเจ้าแน่!”
ผู้เฒ่าสือวูบไหวร่างปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าเซียวฉิงอย่างกะทันหัน ก่อนจะจิกผมนางแล้วดึงทึ้งอย่างแรง
แคว่ก! เส้นผมพร้อมกับหนังศีรษะที่โชกเลือดถูกฉีกลงมา เซียวฉิงกรีดร้องเสียงดัง ใบหน้าตกใจหวาดกลัว
“แตะเส้นขนเส้นเดียวจะพอได้อย่างไร จะแตะทั้งทีก็ต้องเอาเส้นขนทั้งหมด” ผู้เฒ่าสือยิ้มแฉ่ง
“ปัญญาอ่อน…” ลู่เซิ่งส่ายหน้า คนผู้นี้เป็นเจ้ากรมสังข์เขียวได้อย่างไร อาศัยเส้นสายหรือว่าอาศัยการยัดเงินหรือ
เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าการคาดเดานี้ใกล้เคียงความจริงเป็นอย่างยิ่ง
ปัจจุบันภายนอกของต้าอินยิ่งใหญ่เกรียงไกร แสนยานุภาพขจรขจาย แต่ความจริงราชสำนักเกิดการแก่งแย่งภายใน แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังเอาตัวเองไม่รอด ยิ่งอย่าว่าแต่สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า
กรมสังข์เขียวกับกรมหยินหยางกำหนดระบบได้ดีสุดขีด แต่เป็นเพราะระบบราชการเหลวแหลก สิ่งที่เกิดขึ้นแพร่หลายในไม่กี่ปีมานี้ คือปรากฏการรับคนเพราะเป็นญาติหรือเพราะเงิน
ผู้เฒ่าสือบังคับพวกเซียวฉิงออกไป โดยไม่ได้เปลืองแรงมากนัก ส่วนจะสั่งสอนอย่างไร ล้วนขึ้นอยู่กับตัวผู้เฒ่าสือเอง ลู่เซิ่งไม่เป็นห่วง ขอแค่คนไม่ตายก็พอ
เรื่องรายงาน เขาอยากจะเห็นอยู่พอดีว่า ราชสำนักอดทนต่อสามสำนักได้ถึงขนาดไหน
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งจัดการให้สำนักมารกำเนิดและสำนักอาทิตย์ชาดสร้างฐานทัพขึ้นสองที่ในเขตจันทราสารท เพื่อเป็นรากฐานของลู่เซิ่งในต้าอิน
ต่อจากนั้นก็เป็นการเตรียมตัวสำหรับเริ่มยกระดับวิชาไร้ขอบเขตให้แก่เขา
คิดจะฝึกฝนรวบรวมยอดศัสตราระดับที่หนึ่งของวิชาไร้ขอบเขตให้สำเร็จ จำเป็นต้องกลืนกินอาวุธเทพศัสตรามารธาตุน้ำ ทว่าอาวุธเทพศัสตรามารไม่ได้หาง่ายอย่างนั้น ลู่เซิ่งไม่ต้องการจ่ายเงินผิดที่ กลัวว่าถ้าซื้อมากเข้าอาจจะได้รับการจับตามองทุกรูปแบบ
จึงถือโอกาสตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ เพื่อสร้างระเบียบข้อบังคับใหม่
นอกจากซื้อ ยังมีอีกหนึ่งวิธีการที่หาอาวุธเทพศัสตรามารมาได้อย่างง่ายดาย
ได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านนอกรำไร ไม่นานก็กลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้น ลู่เซิ่งดื่มน้ำชา “นั่นก็คือการแย่งชิง!”
หลังจากผู้เฒ่าสือสั่งสอนเซียวฉิงเสร็จ ก็ควักตาซ้ายข้างหนึ่งของนางมาเป็นค่าตอบแทน ก่อนจะส่งคนกลับไป
ด้วยพลังของลู่เซิ่ง การล่วงเกินกรมสังข์เขียวระดับเขตไม่นับเป็นอะไร เขาเพียงแค่อยากจะดูว่าราชสำนักอดกลั้นต่อสามสำนักได้ถึงขั้นไหนเท่านั้น
การควักตาซ้ายมาข้างหนึ่งดูเหมือนโหดเหี้ยม แต่ว่าสำหรับระดับพันธนาการที่มีความสามารถในการคืนชีพแข็งแกร่งแล้ว อย่างมากสุดรักษาตัวสักสองสามเดือนก็หายดีแล้ว
หลังปล่อยเซียวฉิงไป ลู่เซิ่งก็นั่งอยู่ในอารามสักพัก ไม่นานก็ได้รับข่าวว่าเซียวฉิงคิดอาละวาด แต่ถูกคนของกรมหยินหยางสะกดไว้ ภายหลังก็หายเงียบไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เกิดอะไรขึ้นอีก
ลู่เซิ่งดื่มชาหมดในรวดเดียว พร้อมกับมองเฉินจิ้งจือที่ผลุนผลันมานั่งลงด้านข้างพลางถอนใจด้วยรอยยิ้มขื่นขม ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“เดิมทีข้าอยากจะเห็นว่านางทำได้ถึงระดับไหน ผลสุดท้ายกลับมีแค่นี้หรือ” เขากล่าวอย่างหมดคำพูด
เฉินจิ้งจือยิ้มฝาดเฝื่อน “เจ้าสำนักลู่ดูถูกตนเองเกินไปและประเมินค่าเซียวฉิงนั่นมากเกินไป คดีใหญ่สะเทือนฟ้าที่อาจารย์ท่านก่อขึ้นในตอนนั้น ปัจจุบันยังมีการบันทึกในตำรา เซียวฉิงไม่ทราบเบื้องหลังของท่าน จึงกล่าววาจาโอหังส่งเดช ซึ่งไม่สมควรอยู่แล้ว เจ้ากรมหยินหยางเป็นสหายสนิทของข้า ขอให้ข้าส่งคำพูดแทนว่า ขอให้เจ้าสำนักลู่เมตตาปรานีด้วย”
เขาดูออกแล้วว่าลู่เซิ่งคิดจะปรับปรุงเขตจันทราสารทเป็นแนวหลัง ดังนั้นพอลงมือ จึงเล่นงานกรมสังข์เขียวซึ่งครอบครองข้อมูลและมีความสำคัญที่สุดทันที
“พวกเราก็แค่คนในยุทธจักร จะทำอะไรขุนนางราชสำนักได้เล่า” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฉินจิ้งจือส่ายหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อ แม้สิ่งที่ลู่เซิ่งพูดจะเป็นความจริง แต่โลกใบนี้อย่างไรพลังก็เป็นจ้าว ลู่เซิ่งกับเซียวฉิงแค่คนเดียว ผู้ใดมีน้ำหนักมากกว่ากัน ขนาดคนโง่ก็ยังรู้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ราชสำนักต้าอินยังวุ่นวาย ไม่มีความสามารถดูแลพื้นที่ภายนอก พื้นที่แต่ละแห่งดูเหมือนติดต่อสัมพันธ์กัน แต่ความจริงกลับตัดขาดจากกัน ทำให้ค่อยๆ กลายเป็นการปกครองของจวนขุนนางของแต่ละท้องที่กับสามสำนักไป
“ข้าเตรียมจะกวาดล้างปัจจัยที่ไม่ปลอดภัยทั้งหมดรอบๆ เขตจันทราสารท เรื่องนี้ขอให้เจ้าสำนักเฉินช่วยข้าด้วย” ลู่เซิ่งเอ่ยเบาๆ
“กวาดล้างหรือ?!” เฉินจิ้งจืองุนงง จากนั้นก็ตื่นตระหนก “ทัพอาทิตย์เจิดจ้าและทัพอักขระมืดจะต้องไม่ยินยอมแน่! เจ้าสำนักลู่ใคร่ครวญให้ดีเถอะ!”
“กวาดล้างโจรร้ายยังต้องให้ใครอนุญาตอีก ใครไม่อนุญาตก็ให้มันมาหาข้า” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่นำพา
หลังจากทำร้ายเจ้ากรมสังข์เขียว เจ้านครจากราชสำนักในท้องที่ยังไม่มีปฏิกิริยาใด ลู่เซิ่งจึงเข้าใจน้ำหนักของเซียวฉิงคร่าวๆ และเข้าใจพลังของสถานะกับตำแหน่งของตนที่ควรมีคร่าวๆ แล้ว
“แต่ว่า…!” เฉินจิ้งจือยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้ว
“ข้าคิดว่าวันนี้ควรเริ่มได้แล้ว เผ่ากวางดำสร้างความทุกข์เข็ญให้แก่นครเขตมานาน วันนี้เป็นเวลากวาดล้างภัยร้ายพอดี”
ขณะเฉินจิ้งจืออ้าปากตาค้าง ลู่เซิ่งก็พาพวกผู้เฒ่าสือเดินออกไปจากโถงหลัก มุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ของอารามอย่างผ่าเผย
ราชสำนักจะคิดอย่างไร เขาคร้านจะสนใจ ในฐานะระดับอริยะเจ้า คงไม่มีใครกล้ามาก้าวก่ายการยึดที่ดินเพื่อสร้างฐานทัพแน่
ราชสำนักกำลังปั่นป่วน นี่เป็นจังหวะที่เหมาะที่สุดพอดี เบื้องบนไม่อาจส่งยอดฝีมือมา เบื้องล่างแม้ส่งกำลังรบที่สูงส่งที่สุดในเขตจันทราสารทออกมาก็สะกดเขาไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่า ขอแค่เขาไม่รนหาที่ตายโดยการจงใจกระทำเรื่องต้องห้าม เขาจะทำอะไรในเขตจันทราสารทก็ได้ นี่คือสิทธิพิเศษ
…
เขาทองอร่าม
วิหคขับขานบุปผาหอมกรุ่น ด้านในหุบเขาเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เจิงเสี่ยนหัวหน้าเผ่ากวางดำคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้านอบน้อม พร้อมกับรายงานสถานการณ์ให้กับเงาคนสูงใหญ่ที่ทั่วร่างถูกปกคลุมอยู่ในหมอกสีดำด้านหน้าฟัง
“ปัจจุบันบนเขามีพืชผลแปดส่วนสุกงอม ข้าน้อยให้มือดีเริ่มเก็บรวบรวมแล้ว เพียงแต่ว่าคดีเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ได้ดึงดูดความสนใจมามากเกินไป…ข้าน้อยเป็นห่วงว่า…” เจิงเสี่ยนหน้านิ่วคิ้วขมวด เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ยังมีลู่เซิ่งที่กลับมายังเขตจันทราสารทผู้นั้น…”
“ไม่เป็นไร ครั้งก่อนมันทำลายแผนการของข้า ครั้งนี้ย่อมไม่ละเว้นมัน แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราลงมือด้วยตัวเอง ย่อมมีคนของฝั่งนั้นลงมือ” ในหมอกดำมีเสียงแหลมแต่นุ่มนวลดังมา
“ฝั่งพิภพมาร…จะยอมลงมือหรือขอรับ” เจิงเสี่ยนกล่าวอย่างสงสัย
“ในที่ลับย่อมไม่ได้ แต่ว่า…ยังหาโอกาสรุมสังหารได้ ลู่เซิ่งผู้นั้นสร้างปัญหาใหญ่หลวง พวกเราคอยดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ก็พอ นี่ไม่ใช่ระดับที่พวกเราจะเข้าร่วมได้อีกแล้ว” คนในหมอกสีดำกล่าวพลางส่ายหน้า
……………………………………….