ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 394 สร้างรากฐาน (4)
บทที่ 394 สร้างรากฐาน (4)
ณ นครเขตจันทราสารท คฤหาสน์ลู่
ด้านในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามประตูคฤหาสน์ บุรุษสตรีร่างสูงใหญ่ซึ่งสวมเสื้อคลุมกันฝุ่นสีเทาหลายคนนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่ง สตรีที่นั่งอยู่ตรงกลางสวมผ้าปิดหน้าลายงู เผยให้เห็นเพียงตางามที่บริสุทธิ์กระจ่างใส
ตอนนี้สายตาของสตรีกำลังจ้องมองคฤหาสน์ลู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“นี่คือสถานที่ที่ครอบครัวของลู่เซิ่งผู้นั้นอยู่หรือ”
“เป็นที่นี่ ว่ากันว่าเพิ่งย้ายมาจากต้าซ่ง” บุรุษที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าตอบ
ทั้งสองคุยกันแบบไม่ขยับริมฝีปาก ส่งเสียงเบาๆ เหมือนกับคลื่นที่อ่อนกำลังถึงขีดสุด อย่าว่าแต่คนทั่วไป แม้แต่ยอดฝีมือปราณจริงแท้ที่พลังฝึกปรือสำเร็จก็สัมผัสได้ยากถึงขีดสุด ถึงขั้นต่อให้สัมผัสได้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นวิธีการสื่อสารของพวกเขา
“ก่อนหน้านี้เสินหลิงไปหาลู่เซิ่งนั่นเพื่อลงมือขัดขวางโดยตรง แต่ถูกโต้กลับจนหน้าคลุกฝุ่น ช่างโง่เง่าโดยแท้ นางไม่รู้จักคิดบ้างว่าคนผู้นี้ทำลายผนึกหุบเหวมารได้ จะต้องมีไพ่ตายที่ไม่ธรรมดาเป็นของตัวเองแน่ การต่อสู้กับเขาซึ่งหน้าเทียบกันว่าใครมีไพ่ตายมากกว่า ต่อให้ชนะได้ หรือไม่กลัวว่าจะบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย” สตรีคลุมหน้าส่ายหน้าอดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้
“ใต้เท้าพูดถูกต้อง เสินหลิงเพิ่งได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท รับผิดชอบเรื่องสำคัญ จึงทะนงตนไปบ้าง” บุรุษขานรับเบาๆ
“ข้าชมชอบเหตุผลอย่างหนึ่งของมนุษย์โลกมากที่สุด เวลาจัดการเรื่องราวต่างๆ นั่นก็คือเรื่องที่จัดการได้ด้วยแรงสิบส่วน ถ้าหากใช้แรงหนึ่งส่วนจัดการได้ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี หากจะประหยัดกำลังเอาไว้ นี่เรียกว่า ‘พอดี’ ” สตรีคลุมหน้ากล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
“ดังนั้นความตั้งใจของใต้เท้าคืออะไร…” บุรุษเงยหน้ารอคอยคำสั่ง
“พวกเราจะเข้าไปจับตัวครอบครัวของลู่เซิ่งโดยตรง จากนั้นก็วางหลุมพรางแล้วนัดคนผู้นั้นให้มาหา ต่อให้ไม่สำเร็จ พวกเราก็ไม่มีทางแพ้” สตรีคลุมหน้าหัวเราะคิกคัก
“ใต้เท้าช่างมองการณ์ไกล” บุรุษแสดงสีหน้าชื่นชมเลื่อมใสอย่างเหมาะแก่เวลา
“ไปเถอะ”
สตรีคลุมหน้าลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปยังประตูใหญ่คฤหาสน์ลู่
คนที่ติดตามอยู่ด้านหลังนางเป็นคนสี่ห้าคนที่มาด้วยกัน บนร่างของพวกเขามีหมอกบางสีดำอมเทาลอยขึ้นขณะที่ก้าวเข้าใกล้ คนธรรมดามองไม่เห็น แต่ขอแค่เป็นคนที่มีพลังฝึกปรือ ก็จะสัมผัสได้อย่างง่ายดายว่าหมอกดำนี้เป็นปราณมาร
สตรีคลุมหน้าเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่คฤหาสน์ลู่ แล้วยื่นมือไปผลักประตูใหญ่เบาๆ โดยไม่สนใจสายตาแปลกประหลาดจากยามเฝ้าประตู
โครม!
ประตูฤหาสน์กระเด็นออกไปด้านใน เผยให้เห็นใบหน้างามของลู่ชิงชิงที่กำลังเล่นสนุกในตัวลานด้านหลัง
ในตัวลานมีลู่หงอิงยืนอยู่ด้วย กำลังถือหอกยาวร่ายระบำ คล้ายกับฝึกหอกอยู่
นอกจากนี้ยังมีข้ารับใช้และหญิงรับใช้ที่เดินผ่านไปมาอีกหลายคน ต่างมองประตูคฤหาสน์อย่างค่อนข้างสับสน คล้ายไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ๆ ประตูคฤหาสน์ถึงเปิดออก
“สวัสดียามบ่าย ข้าน้อยเสินอิน ได้รับคำไหว้วานจากประมุขตระกูลให้มารับทุกท่านไปยังสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่ง” สตรีน้ำเสียงอ่อนแอ ฟังดูโหวงหวิวเหมือนกับไม่มีแรง แต่ว่าเนื้อหากลับทำให้ทุกคนในคฤหาสน์ลู่ตื่นตระหนก
“เอาล่ะ ขอเชิญทุกท่านออกเดินทาง” เสินอินยื่นฝ่ามือขวาออกมาโบกใส่พวกลู่ชิงชิงทันที
พรึ่บ!
แสงสีแดงกะพริบวาบ เสินอิงกับทุกคนที่อยู่ด้านหลังหายไปจากที่เดิมทั้งหมดในชั่วพริบตา เหมือนกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
พวกลู่หงอิงพลันงงงวย ไม่ทราบโดยสิ้นเชิงว่าเกิดอะไรขึ้น
บนพื้นดินของคฤหาสน์ลู่ปรากฏแสงสีทองหลายสาย เส้นสีทองเล็กๆ นับไม่ถ้วนเกาะเกี่ยวกันกลายเป็นสัญลักษณ์ประหลาดลึกลับจำนวนมาก ผลึกหินสีม่วงเข้มสามก้อนปรากฏออกมา พวกมันเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเล็กๆ สีดำสนิท เส้นเล็กๆ กลายเป็นสัญลักษณ์สามเหลี่ยมมาตรฐาน
ชายชราผอมแห้งร่างต่ำเตี้ยคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสัญลักษณ์สามเหลี่ยม
ด้านนอกประตูคฤหาสน์ลู่ คนสวมชุดคลุมสีขาวขลิบแดงที่มีสภาวะเหี้ยมหาญสามคนลอยตัวลงมา แล้วเร่งฝีเท้าเข้ามา
“หัวหน้าผิง” ทั้งสามคนประสานมือคารวะชายชราอย่างนอบน้อม
“ลำบากพวกเจ้าแล้ว เจ้าสำนักลู่ขอให้ใช้ค่ายกลชุดนี้ เดิมทีเป็นแค่การเตรียมป้องกันไว้ นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้จริงๆ” ชายชราส่ายหน้าพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ค่ายกลแลกวิญญาณย้ายตำแหน่งนี้จัดวางไม่ง่ายทีเดียว”
“ถูกต้องแล้ว พวกเราก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้ใช้จริงๆ” บุรุษสวมชุดคลุมขาวขอบแดงคนหนึ่งในนี้ตอบด้วยรอยยิ้ม
ชายชราหัวเราะ “ข้าจะไปดื่มชาก่อน สักพักค่อยกลับเขตลับ จริงสิจุดส่งตัวที่พวกเจ้าวางไว้เอามาจากไหนกัน”
“เรียนใต้เท้า นี่ขึ้นอยู่กับพลังของผู้บุกรุกแล้วว่าเป็นอย่างไร ปกติพวกเราจะวางไว้ที่เขาองุ่นทองในเขตถ่ายทอดความลับ แน่นอนว่าถ้าหากปราณมารของอีกฝ่ายเข้มข้นบริสุทธิ์ถึงขีดสุด จะต้องไปด้านหน้าเล็กน้อย อย่างไรค่ายกลนี้ก็สร้างขึ้นเอาไว้ใช้กับพิภพมารอยู่แล้ว” บุรุษชุดคลุมขาวขอบแดงอธิบาย
“เป็นเขาองุ่นทองจริงๆ หรือ” ชายชราได้ยินก็งุนงง
…
เขตถ่ายทอดความลับสำนักพันอาทิตย์
เทือกเขาบนทุ่งน้ำแข็งที่มีหิมะโปรยปรายแห่งหนึ่ง
มังกรยักษ์สีขาวซึ่งร่างใหญ่มากกว่าพันหมี่ขดคอยาวที่เหมือนงูไว้รอบๆ ร่างกายที่อยู่บนยอดเขาหิมะเล็กๆ ลูกหนึ่งอย่างแน่นหนาด้วยความเกียจคร้าน
จากนั้นมันก็มองท้องฟ้า โดยยังรักษาอิริยาบถเมื่อก่อนหน้า คืออ้าปากใหญ่เพื่อรอกินอาหารที่ตกจากฟ้า
“นานเหลือเกินที่ไม่มีอาหารส่งเข้ามา…” มังกรขาวอยู่ในสถานที่บัดซบนี้มานานมากแล้ว ถ้าไม่ใช่สองพันปี ก็เป็นพันปี ที่นี่คือเขาองุ่นทอง แดนมรณะที่สำนักพันอาทิตย์ใช้จัดการนักโทษประหารที่ทำผิดร้ายแรงทุกประเภท
มันจัดการนักโทษมามากมาย วิธีการจัดการคือกลืนกินในคำเดียว ถึงอย่างไรคนที่ถูกส่งมาที่นี่ล้วนเป็นคนที่ได้รับการตัดสินโทษประหาร และส่วนใหญ่จะเป็นเผ่ามาร
มันชอบรสชาติของเผ่ามาร แม่ทัพมารมีเนื้อหนาที่สุด แต่ว่านุ่มไปบ้าง ราชามารมีรสชาติพอดี หากเป็นสตรีจะเยี่ยมที่สุด
จ้าวแห่งมารเวลากินจะลำบากมาก เพราะย่อยยากอยู่บ้าง ต่อให้มีค่ายกลน้ำแข็งเย็นสุดขั้วคอยชั่วเหลือ เวลากินก็ยังน่าหงุดหงิดมากอยู่ดี จนถึงตอนนี้มันเพิ่งกินไปสองตน
มังกรขาวนึกถึงรสชาติโอชะในอดีตไปพลาง อ้าปากใหญ่ไปพลาง เพื่อจะได้ไม่พลาดของที่ตกลงมา
มันคำนวณไว้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้เป็นตำแหน่งมาตรฐานที่ค่ายกลจะส่งเข้ามา ขอแค่ส่งของกินมา ก็จะต้องตกลงมาจากตรงนี้แน่นอน
มันอ้าปากอยู่ตรงนี้พอดี เมื่อเป็นแบบนี้จะประหยัดเวลาได้ไม่น้อย
ไม่นานค่ายกลบนท้องฟ้าก็คล้ายมีการเคลื่อนไหว
พรึ่บ!
สิ่งของที่เล็กมากๆ กลุ่มหนึ่งตกเข้าไปในปากมังกรขาว มันรีบปิดปากแล้วใช้ฟันเขี้ยวทันที
“บ๊ะ! ดินอีกแล้ว! ตอนที่ส่งเข้ามาทุกครั้งอย่าเอาขยะมาด้วยได้หรือไม่!” มังกรขาวพ่นของในปากออกมาอย่างหัวเสียเล็กน้อย
ตอนนี้มันกลับไม่สังเกตเห็นเลยว่า บุรุษสตรีสามคนที่สีหน้าซีดขาวกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ ตรงตำแหน่งที่ดินโคลนตกลงมา และมองมันด้วยสายตาสิ้นหวัง
“ที่นี่คือ…เขตถ่ายทอดความลับของสำนักพันอาทิตย์…!” มือของเสินอิงยังอยู่ในอิริยาบถที่โบกออกไปเมื่อครู่ แต่ตอนนี้ตัวนางแทบจะเกร็งค้างแล้ว
สำหรับโลกมนุษย์ เขตถ่ายทอดความลับเป็นโถงสวรรค์ เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าสำหรับเผ่ามาร กลับเป็นแดนมรณะที่อาบด้วยพิษร้าย
มังกรที่อยู่ที่นี่โด่งดังมากในหกแดนมรณะของสามตระกูลใหญ่และสามสำนัก ในนี้มีเขาองุ่นทองของสำนักพันอาทิตย์อยู่ด้วย
โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตน่ากลัวจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีพลังฝึกปรือน่าสะพรึง และไม่ทราบว่าอยู่มานานขนาดไหน
เสินอินค่อยรู้ว่าเหตุใดเสินหลิงจึงแสดงสีหน้าสงบนิ่งอย่างนั้นในตอนสุดท้าย ที่แท้นางแน่ใจแต่แรกแล้วว่าครั้งนี้ตนจะต้องล้มเหลวแน่
“ฉวยโอกาสที่มันยังไม่พบพวกเรา รีบคิดหาวิธีออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!” เสินอินข่มความกระวนกระวายพร้อมกับส่งกระแสเสียงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ออกจากที่นี่ไปที่ไหนเล่า”
“เขตถ่ายทอดความลับ…พวกเรา…พวกเรา…จะไปไหนได้”
“ใช่แล้ว พวกเราจะไปไหนได้”
“ไปสถานที่อื่นของเขตถ่ายทอดความลับ ในเมื่อเข้ามาได้ ก็ต้องมีทางออกไปแน่! เขาองุ่นทองเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในเขตถ่ายทอดความลับ พวกเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้!”
ถึงอย่างไรเสินอินก็เคยเป็นราชามารที่แท้จริงซึ่งเคยให้คำปรึกษาจักรพรรดิมารมาก่อน ต่อให้เผชิญกับแดนมรณะก็ไม่หวาดหวั่น
“ที่แท้ที่นี่เป็นที่ที่อันตรายที่สุดนี่เอง…”
มีเสียงที่แปลกหูดังแทรกเสียงของแม่ทัพมารทั้งหลายที่ผุดสีหน้าตกใจกลัว
เสินอิงตัวแข็งทื่อทันที พร้อมกับค่อยๆ หันไปมองด้านล่าง
น่าเสียดายที่สิ่งเดียวที่นางเห็นมีแต่ตามังกรสีฟ้าขนาดยักษ์ที่ถมเต็มคลองจักษุ
…
หุบเขาราชากวาง
ควันดำหลายสายไหลไปทั่วทิศราวกับลำธาร ไต่เลื้อยไปทั่วด้านในหุบเขาเหมือนกับงู พร้อมกับตรวจสอบผู้รอดชีวิตที่อาจซ่อนตัวอยู่
สำหรับหัวหน้าเผ่ากวางดำที่อยู่แค่ในขอบเขตปฐมปฐพี ลู่เซิ่งไม่ได้ลงมือเอง เพียงให้จิตแยกของราชาเงามืดลงมือ ก็จัดการการขัดขืนของเผ่ากวางดำทั้งหมดได้อย่างง่ายดายแล้ว ควันดำเงามืดที่ไหลไปทั่วหุบเขาเหล่านี้ล้วนเป็นความสามารถของราชาเงามืด
เขาที่เป็นราชามารได้หลอมสร้างจิตแยกที่ไม่มีปราณมารโดยสิ้นเชิงขึ้นตัวหนึ่ง เพื่อซ่อนสถานะและเพื่อป้องกันไม่ให้ต้าอินพบ มิหนำซ้ำจิตแยกนี้ยังไปถึงระดับราชามารเหมือนกันด้วย แม้จะทำให้ร่างหลักของเขาอ่อนแอลงครึ่งหนึ่ง แต่ก็ทำให้มีอัตรารอดชีวิตมากขึ้นไม่น้อย
“จะว่าไป จิตแยกของข้าน้อยร่างนี้ เดิมทีเป็นวิธีการที่คิดใคร่ครวญอย่างยากลำบากเพื่อหาโอกาสหนีออกจากช่องว่าง เนื่องจากว่าค่ายกลผนึกแท่นบูชาว่องไวต่อปราณมารถึงขีดสุด ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงค่อยคิดกระบวนท่าแยกตัวแบบนี้ขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าจะไม่ได้ใช้ที่แท่นบูชา หากแต่มาใช้ที่นี่แทน” ราชาเงามืดที่ยืนอยู่ด้านข้างลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เทียบกับผู้เฒ่าสือแล้ว เจ้ามีอิสระกว่ามาก”
“กล่าวถูกต้องแล้ว แต่ข้าน้อยเห็นว่าเผ่ากวางดำเผ่านี้ คล้ายเพียงแค่พึ่งพิงอาวุธเทพคุ้มครองเผ่าชิ้นนั้นเท่านั้น ไม่ได้ยืนยันความสัมพันธ์นายบ่าวกับมันจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราลงมือมาตั้งนาน แต่ยังไม่เห็นอาวุธเทพชิ้นนั้นลงมือ รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง” ราชาเงามืดโบกมือสั่งให้ควันเงามืดในหุบเขารวบรวมศพบนพื้นจากพื้นที่รอบๆ
“มีเหตุผล สุนัขพึ่งพาเจ้าของ เผ่ากวางดำนี้สมควรเพียงแค่พึ่งพารังสีที่ส่งออกมาโดยอัตโนมัติของอาวุธเทพเพื่อเปลี่ยนแปลงสายเลือดเท่านั้น ไม่ได้ยืนยันความสัมพันธ์กับอาวุธเทพจริงๆ” ลู่เซิ่งพยักหน้า เห็นด้วยกับแนวคิดของราชาเงามืดสวี่เฝ่ยลา
“เจอแล้ว!” อยู่ๆ สวี่เฝ่ยลาก็ร้องเบาๆ อย่างกระตือรือร้น
“เจ้าสำนักโปรดตามข้ามา” ครั้งนี้เขาสร้างผลงานอีกครั้ง เขาเป็นคนที่เข้าใจจิตใจของลู่เซิ่งดีที่สุด เป้าหมายหลักที่ออกมาในครั้งนี้ไม่ใช่การค้นหามือสังหารที่ลอบจู่โจม หากเป็นการกลืนกินอาวุธเทพของเผ่ากวางดำ การทำลายเผ่ากวางดำเป็นเรื่องง่ายเพียงโบกมือ สิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงคืออาวุธเทพต่างหาก
คนหลายคนเร่งฝีเท้าติดตามราชาเงามืดพุ่งไปยังส่วนลึกของหุบเหขา สองฟากข้างของหุบเขาเป็นโพรงที่เหมือนกับรังผึ้ง ได้ยินเสียงต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ของศิษย์สำนักพันอาทิตย์และเผ่ากวางดำดังมารำไร แสดงให้เห็นว่ายังมีซากเดนส่วนหนึ่งขัดขืน ทว่าทั้งสามไม่สนใจ และตรงดิ่งไปยังส่วนพื้นที่ที่อยู่ชั้นในสุดของชั้นใต้ดิน
……………………………………….