ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 400 การต่อสู้ลับ (2)
บทที่ 400 การต่อสู้ลับ (2)
“วิถีมารสูงสุดของสำนักมารกำเนิดไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าสำนักลู่หลอมรวมแก่นแท้ของวิชามารทั้งหลายของสำนักมารกำเนิดเข้าด้วยกัน แล้วสร้างเส้นทางที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ขึ้นมาได้ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะสะท้านโลกจริงๆ! แข็งแกร่งกว่าจือหลิวจอมอาวุโสสูงสุดมารกำเนิดที่ข้าเคยสังหารไปเมื่อครั้งกระโน้นเสียอีก วิชามารวิถีสูงสุดของเจ้าสำนักไปถึงระดับที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อนแล้ว” บุรุษทอดถอนใจชมเชย
ลู่เซิ่งหยีตา “เจ้าเคยเจอผู้อาวุโสในอดีตของสำนักมารกำเนิดด้วยหรือ”
“เคยเจอมาหลายคน ล้วนเป็นผู้อาวุโสสายร่างมารอัคคีแค้นกับร่างมารรวมบาป แต่ว่าขาดแก่นมารบริสุทธิ์ของจริงไป จึงอ่อนแอเปราะบางยิ่ง” บุรุษเอ่ยอย่างราบเรียบ “ความจริงไม่ว่าเป็นพวกเขาหรือท่าน เส้นทางล้วนผิดพลาด แก่นมารเกิดจากการควบคุมฟ้าดิน ผนึกรวมแก่นสารเก้าปลอดโปร่ง เปลี่ยนแปลงเลือดของสรรพสัตว์ ไหนเลยใช้มั่วๆ เหมือนพวกจับฉ่ายอย่างพวกท่าน”
เขาพลิกมือแล้วกดลง ก้อนสีม่วงกลางฝ่ามือกระจายตัวอย่างฉับพลัน คล้ายหายไปในอากาศโดยสิ้นเชิง
“เจ้านี่เอง! มารโบราณซินโยว!” ลู่เซิ่งพลันนึกอะไรได้ ในช่วงที่สำนักมารกำเนิดรุ่งโรจน์ที่สุดเมื่อครั้งอดีต ในภัยพิบัติมารยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งที่เคยเจอมีตัวตนที่น่ากลัวซึ่งถูกเรียกว่ามารโบราณซินโยว มันได้ทำลายสำนักมารกำเนิดจนเหลือแค่ไม่กี่สาย กล่าวได้ว่ามารโบราณซินโยวตนนี้ได้มอบการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตให้แก่สำนักมารกำเนิด จนสำนักมารกำเนิดเกือบถูกทำลายในภัยพิบัติมารครั้งนั้นโดยสมบูรณ์
พอนึกถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็หน้าเบ้ยิ่งกว่าเดิม
“มารโบราณซินโยวหรือ เป็นชื่อที่ข้าตั้งตามใจชอบเท่านั้น” อีกฝ่ายหัวเราะ “เรียกข้าว่าเซียวจื่อจู๋เถอะ ข้าชอบชื่อนี้” รอบๆ ตัวเขาเริ่มมีหมอกควันสีม่วงหลายสายแผ่กระจายออกมา คล้ายกับเกิดขึ้นจากก้อนสีม่วงที่ปล่อยออกไปเมื่อครู่
“ความจริงตอนนั้นคิดจะทำลายสำนักมารกำเนิดนั่นให้สิ้นซาก แต่ภายหลังยุ่งกับเรื่องอื่น จึงลืมเสียสนิท ผู้ใดทราบว่าผ่านมาหลายปี สำนักมารกำเนิดจะให้กำเนิดตัวประหลาดอย่างท่าน”
“ทำลายสำนักมารกำเนิดของข้า?” ในที่สุดสายตาของลู่เซิ่งก็เปลี่ยนไป “คงจะไม่ใช่ลืม แต่ทำไม่ได้มากกว่ากระมัง”
“หา?” เซียวจื่อจู๋งุนงง สายตาที่อ่อนโยนเมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปด้วย จ้องมองลู่เซิ่งครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ส่งเสียงอีกครั้ง
“ช่างเถอะ เรื่องที่ครั้งกระโน้นไม่ได้ทำจนเสร็จ ชดเชยตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
“เช่นนั้นก็มาลองดู” ลู่เซิ่งเพิ่งพูดจบ ก็พุ่งตัวไปด้านหน้า ร่างดุจสายฟ้า กระบี่ธารธาราที่อยู่ด้านหลังบินออกมาดังเช้ง แล้วตกลงในมือเขา
“อาทิตย์อัสดง ถวิลหาจันทรา!” ลู่เซิ่งสะบัดมือ กระบี่ธารธาราหลุดจากมือ แล้วส่องแสงสีฟ้าแยงตากลางอากาศอย่างฉับพลัน ตัวกระบี่ระบิดกลายเป็นจุดแสงสีฟ้านับไม่ถ้วน
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งกับเซียวจื่อจู๋ปะทะหมัดกับฝ่ามือ ไอสีขาวอมเทากลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง โดยมีคนทั้งสองเป็นศูนย์กลาง ก่อนจะกระจายไปรอบๆ
ไม่ทราบว่ารอบๆ คนทั้งสองกลายเป็นสถานที่อีกแห่งโดยสิ้นเชิงตั้งแต่ตอนไหน ด้านล่างเป็นทะเลสาบที่กระเพื่อมไหวท่ามกลางราตรี จันทร์เพ็ญขาวนวลใหญ่โตดวงหนึ่งแขวนลอยอยู่กลางท้องฟ้า
“อ้อ? ภูมิทัศน์อาวุธเทพหรือ อาวุธเทพของท่านกลับมีเบื้องหลังอยู่บ้าง” เซียวจื่อจู๋ถอยหลังอย่างผ่อนคลาย ร่างเร็วสุดขีดเช่นกัน สองฝ่ามือดุจผีเสื้อบินผ่านดอกไม้ พริบตานั้นมีมุทราสองมือนับร้อยสายปรากฏตรงหน้าคล้ายเจ้าแม่กวนอิมพันมือในวัด
ครืน!!
มุทราหลายร้อยแบบแตกต่างกัน ไม่มีซ้ำกันแม้สักท่าเดียว เซียวจื่อจู๋ยิ้มแย้ม ดวงตาเวทนา มุทราทั้งหมดกดทับใส่ลู่เซิ่ง
เปรี้ยงๆๆๆ!
การโจมตีที่ไร้รูปร่างกระแทกใส่ตัวลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง ทุกๆ การโจมตีล้วนมีแก่นมารของจ้าวแห่งมารซึ่งประกอบด้วยฤทธิ์กัดกร่อนอันรุนแรงแฝงอยู่ด้วย
ลู่เซิ่งตัวสั่นทุกครั้งที่โดนใส่มุทรา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอคนที่มีพลังพอจะสู้กับตัวเอง
พลังที่มุทราทุกท่าของเซียวจื่อจู๋ระเบิดออกมา ล้วนเป็นหลายเท่าตัวของกระบวนท่าแรกที่ทั้งสองปะทะกันเมื่อก่อนหน้า ถึงขั้นที่พลังงานนี้ยังไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการปล่อยมุทราอีกด้วย
ทุกๆ มุทราเชื่อมต่อกัน พร้อมทั้งตกใส่สองแขนที่ลู่เซิ่งยกขึ้นป้องกันดุจพายุห่าฝนอย่างแท้จริง พร้อมกระแทกให้เขาถอยหลังติดต่อกัน
ทะเลสาบใต้เท้าพวกเขา ถูกพลังอันยิ่งใหญ่กระแทกจนเกิดคลื่นน้ำระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เซียวจื่อจู๋เดินไปด้านหน้าเหมือนเดินเล่นในลานบ้าน “จงใจปล่อยภูมิทัศน์อาวุธเทพออกมาอำพรางการเคลื่อนไหว หากผู้ปล่อยไม่ตาย ภูมิทัศน์ก็ไม่สลาย ท่านคิดซ่อนอะไร”
เปรี้ยง!
มุทราฝ่ามือยักษ์ท่าสุดท้ายกระแทกใส่ศีรษะลู่เซิ่งอย่างรุนแรง จนตัวเขาปลิวกระเด็นออกไปด้านหลัง ก่อนจะร่วงตกไปในทะเลสาบอย่างหนักหน่วง เสาน้ำที่พุ่งขึ้นมาสูงถึงสิบกว่าหมี่
น้ำในทะเลสาบกระเซ็นซ่านเหมือนกับน้ำตกสีขาวสี่ผืน หมอกน้ำระเหยขึ้นมาเพราะการระเบิด
“ตายแล้วหรือ” เซียวจื่อจู๋แปลกใจเล็กน้อย ตอนนี้ผิวทะลสาบเงียบเชียบ ถึงกับไม่มีการเคลื่อนไหว
“เจ้ายังไม่ตาย! ข้าจะตายได้อย่างไร!?”
ฟู่ม!
คลื่นน้ำผืนใหญ่ระเบิดออกมา เงาดำสายหนึ่งที่อยู่กลางน้ำพุ่งสู่ท้องฟ้า เป็นแขนสีดำสนิทข้างหนึ่งที่ยาวสิบกว่าหมี่
แขนกระแทกใส่อาณาเขตที่เซียวจื่อจู๋ยืนอยู่อย่างสะเทือนเลื่อนลั่น เหมือนกับเทพเจ้าร่างยักษ์ ผิวทะเลสาบทั้งหมดถูกกระแทกจนแยกเป็นร่องยาวหลายสิบหมี่
ตูม!
“มุทราไร้ประมาณ” ด้านล่างแขน เซียวจื่อจู๋คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ยกมือขึ้นประสานอีกหนึ่งมุทรา
ครั้งนี้เงาหลงเหลือมากมายของมุทรากลายสภาพเป็นมุทรานี้ เงาลวงของแขนจำนวนมากพากันรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
เซียวจื่อจู๋กดไปด้านหน้า มุทรากระแทกใส่แขนสีดำอย่างหนักหน่วงโดยอยู่ห่างหลายหมี่
เสียงกร๊อบดังขึ้น แขนยักษ์หักสะบั้น แล้วกระเด็นกลับไปในทะเลสาบ
ทว่าเงาร่างที่มหึมาถึงสามสี่สิบหมี่ซึ่งอยู่ในน้ำพุ่งขึ้นท้องฟ้าทันที พร้อมทั้งเก็บแขนกลับไป แล้วฟาดลงใส่เซียวจื่อจู๋
เป็นลู่เซิ่งที่ปลดปล่อยสภาพหยางโชติช่วงออกมา สภาพของเขาในตอนนี้เหมือนเผ่ามารยิ่งกว่าเผ่ามารจริงๆ เสียอีก แขนสี่ข้าง ไฟสีดำกับควันสีดำปกคลุมทั่วร่าง ด้านหลังมีปีกเนื้อขนาดยักษ์คู่หนึ่ง สองขาเหมือนกับขาช้าง ร่างกายที่ใหญ่โตจนไม่อาจบรรยายได้ มีหางแข็งแกร่งทรงพลังอยู่ด้านหลัง
ตอนนี้แขนสี่ข้างหักไปข้างหนึ่ง แต่ไม่ได้ร้ายแรงสำหรับเขา
ลู่เซิ่งกระโดดขึ้นสูง สีหน้าเคร่งขรึม ทราบว่าเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ดังนั้นพอลงมือจึงใช้สภาพหยางโชติช่วงที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดเพื่อกดทับเซียวจื่อจู๋ทันที
“อานุภาพเทพ!” ขณะเดียวกันฝ่ามือสามข้างก็กระแทกใส่อาณาเขตที่เซียวจื่อจู๋อยู่จากสามมุม
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
เสียงกึกก้องน่ากลัวดังขึ้นสามครั้ง ผิวทะเลสาบถูกกระแทกจนยุบตัวลงไปเป็นช่องขนาดใหญ่
“มุทราโลกา” เสียงผ่อนคลายสบายๆ ดังขึ้นอีกครั้ง มุทราไร้รูปร่างกึ่งโปร่งแสงกระแทกใส่จุดว่างเปล่ากลางฝ่ามือสามข้างของลู่เซิ่งอย่างแรง
มุทราที่กว้างสิบกว่าหมี่ ยาวยี่สิบกว่าหมี่ระเบิดออก เสียงดังสนั่นปานสายฟ้าฟาดระเบิดขึ้นกลางอากาศ
ร่างกายขนาดมหึมาของลู่เซิ่งถูกกระแทกหงายหลัง แขนสามข้างกลายเป็นเลือดเนื้อพร่ามัวพร้อมกัน
เขาตื่นตระหนก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้สภาพหยางโชติช่วงแล้วยังถูกคนโจมตีถอยหลัง อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บ…
‘คนผู้นี้ต้องไม่ใช่จ้าวแห่งมารทั่วไปแน่!’ ลู่เซิ่งใช้ความคิดด้วยความเร็วสูงเพื่อหาแผนการหลบหนี
ถ้าหากระยะห่างน้อยหน่อยยังพอว่า ยังสามารถสู้สุดกำลังได้ แต่ตอนนี้ทั้งสองมีระยะห่างต่างกันมากเกินไป การฝืนต่อไปไม่มีความหมายแม้แต่น้อย
หลังจากถอยหลังติดต่อกันไปสิบกว่าก้าว ลู่เซิ่งจ้องมองเซียวจื่อจู๋อย่างจริงจัง อยู่ๆ ก็ตวาดเสียงดัง
“ทั้งสองท่าน! รับมือกับวิถีมารนอกรีตไม่ต้องใส่ใจกับกฎในยุทธภพขนาดนั้นก็ได้ ถ้าตอนนี้ยังไม่ลงมืออีก จะรอถึงตอนไหน!?”
เซียวจื่อจู๋ลืมตาโต ยังไม่ทันตอบสนอง ก็รู้สึกว่ามีกลิ่นอายแหลมคมและแปลกประหลาดสองสายเข้าใกล้มาจากด้านหลังด้วยความเร็วสูง
เขาไม่ทันหมุนตัว พลิกสองมืดกดมุทราสองท่าไปทางด้านหลัง
ตูมๆ!
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน เงาคนสีเลือดสองสายออกหมัดใส่หลังเซียวจื่อจู๋อย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด แม้จะถูกมุทราหยุดไว้พริบตาหนึ่ง แต่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บได้
เซียวจื่อจู๋ไม่ทันระวัง ถูกกระแทกจนเสียสมดุล เอนไปด้านหน้า
“โอกาส!” ลู่เซิ่งเห็นโอกาส จึงพุ่งไปด้านหน้าทันที ประกบสองมือเป็นดาบ ดาบยาวสีดำสนิทเล่มหนึ่งปรากฏกลางฝ่ามืออย่างฉับพลัน แสงดาวสีฟ้านับไม่ถ้วนกระพริบบนตัวดาบ
“ทำลายดวงดาว!”
ตูม!
คมดาบฟันลง ระลอกคลื่นสีขาวอมเทากลุ่มหนึ่งค่อยๆ กระจายออกไป เปลวไฟสีม่วงนับไม่ถ้วนลุกไหม้ขึ้นรอบๆ เซียวจื่อจู๋อย่างฉับพลัน พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มเขาไว้ และเผาไหม้อย่างรุนแรง
เงาร่างสีเลือดอีกสองสายที่เหลือตามหลังมาติดๆ พร้อมทั้งออกฝ่ามือพร้อมกันทั้งซ้ายทั้งขวา กลางฝ่ามือส่งเสียงวิหคกู่ร้อง คล้ายกับมีดวงตาสีเลือดเปิดขึ้นตรงกลางด้วยความเร็วสูง
เปรี้ยงๆ!
สองฝ่ามืออาศัยพริบตาที่ลู่เซิ่งลงมือ กระแทกใส่กลางหลังเซียวจื่อจู๋พร้อมกัน
“น่าสนใจ…” ร่างของเซียวจื่อจู๋หยุดชะงักอยู่กับที่ หู จมูก ปากมีเลือดไหลออกมาช้าๆ ร่างเขาสั่นสะท้านทีหนึ่ง คลื่นอากาศสายหนึ่งผลักทั้งสามออกไป
“มุทราบัวขาว” แขนสามคู่ปรากฏขึ้นรอบตัวเขาในเวลาเดียวกัน แล้วประสานมุทราเป็นชั้นๆ มีกลีบดอกบัวบานไปหาคนทั้งสามอย่างช้าๆ เหมือนกับดอกไม้สด กลีบดอกก็คือมุทรา
ทิศทางที่มุทราเล็งอยู่ก็คือที่ที่พวกลู่เซิ่งอยู่
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
ทั้งสามอกยุบลงไปพร้อมกัน เงยหน้าพ่นหมอกเลือดออกมา ก่อนจะกระเด็นออกไปชนใส่พื้นดินอย่างหนักหน่วง
ในที่สุดน้ำในทะเลสาบรอบๆ ก็ระเบิด ภาพเสมือนค่อยๆ สลายไป สิ่งที่มาแทนที่คือเนินป่าที่ถูกทำลายเป็นผุยผง
ร่างกายขนาดมโหฬารของลู่เซิ่งกระแทกเข้ากับพื้นดังตูมหนึ่ง โค่นต้นไม้ไปสิบกว่าต้น สุดท้ายก็ไปติดอยู่ในร่องแยก ร่างอาบเลือด กลิ่นอายอ่อนแอ สลบไสลไป
“โดนมุทราบัวขาวของข้าไป ต่อให้ท่านมีพลังชีวิตแข็งแกร่งปานใดก็สูญเปล่า” เซียวจื่อจู๋ยิ้มบางพร้อมกับก้าวเท้า ข้ามระยะห่างหลายสิบหมี่ไปปรากฏตัวด้านหน้าลู่เซิ่งในพริบตา
“เชื่อฟังคำแต่แรกก็จบแล้ว ไปเถอะ ตามข้าไปพบใต้เท้าเหวยลากัน” เขายื่นมือไปจับศีรษะใหญ่โตของลู่เซิ่ง
ในตอนนั้นเอง เซียวจื่อจูประสานมุทราอย่างฉับพลัน แล้วฟาดใส่ขมับของลู่เซิ่งทันที
เลือดสาดกระเซ็น ลู่เซิ่งไม่ส่งเสียงด้วยซ้ำ เพียงแต่ร่างกายสั่นไหวตามพลัง ขมับถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่ เลือดไหลออกมาด้านนอกตลอดเวลา
“สลบไปแล้วจริงๆ หรือ” เซียวจื่อจู๋งงงัน ตอนแรกเขานึกว่าแค่แกล้งสลบ
เห็นร่างกายขนาดยักษ์ของลู่เซิ่งที่อยู่ตรงหน้าหดเล็กลงด้วยความเร็วสูง รอบๆ ร่างกายมีควันไฟสีดำลอยขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เขายื่นนิ้วไป แทงใส่ส่วนท้องของลู่เซิ่งอย่างแรงอีกรอบ
สวบ!
รูเลือดระเบิดอีกรู ลู่เซิ่งไม่ขยับเขยื้อน หมดสติโดยสิ้นเชิง
หลังยืนยันได้แล้วว่าอีกฝ่ายสิ้นสติ เซียวจื่อจู่ค่อยไอเบาๆ เมื่อครู่ลู่เซิ่งร่วมมือกับพันมิตรสองคนลงมือพร้อมกัน การโจมตีที่เขาได้รับไม่ใช่ไม่มีความเสียหาย เพียงแต่ว่าเขาฝืนสะกดไว้ อย่างไรระดับของเขาก็เหนือกว่าคนทั้งสามเกือบสองเท่า
“ป้องกันเผื่อไว้ก่อน ทำให้ท่านพิการจะปลอดภัยกว่า” เซียวจื่อจู๋ลงมืออย่างอำมหิต ชั่วพริบตานั้นปล่อยมุทราหลายสิบสายออกมาพร้อมกัน ทั้งหมดล้วนพุ่งใส่ร่างยักษ์ของลู่เซิ่ง
เปรี้ยงๆๆๆ!
ในหนึ่งลมหายใจ มุทราหลายสิบสายกระแทกใส่จนร่างลู่เซิ่งชักกระตุก เลือดเนื้อปลิวว่อน กระดูกแตกละเอียด
“พอประมาณแล้ว” จากนั้นเขาค่อยก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง พร้อมยื่นมือไปจับคอของลู่เซิ่งแล้วลุกขึ้น
สวบ!
เสียงกระจ่างใสเหมือนเสียงเสียบทะลุกระดาษดังขึ้นพร้อมกันสองครั้ง
ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งใช้สองแขนดุจดาบ ฟันใส่คอกับข้างเอวของเซียวจื่อจู๋ตั้งแต่ตอนไหน แทบจะฟันเซียวจื่อจู๋ออกเป็นสามท่อนจากทางซ้ายและขวา
เขาสีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง แต่แสยะยิ้มอย่างดุร้าย
“แผนการยอดเยี่ยม…” เซียวจื่อจู๋ผุดสีหน้างงงวย ก้มหน้ามองอาการบาดเจ็บบนร่างตนเอง “ครั้งนี้นับว่าท่านชนะแล้ว ลู่เซิ่งแห่งสำนักมารกำเนิด ข้าจดจำท่านไว้แล้ว…”
“ไม่มีครั้งหน้าแล้ว” ลู่เซิ่งพลันคว้ามือด้วยแรงทั้งหมด
เกิดเสียงแคว่กดังลั่น ร่างของเซียวจื่อจู๋ถูกฉีกออกเป็นสามส่วนก่อนจะตกลงบนพื้นเหมือนกับเศษผ้า
“ฮ่าๆๆ! ความสามารถยอดเยี่ยม! แผนการยอดเยี่ยม!” ไม่ไกลออกไปมีเงาคนสีแดงสายหนึ่งฝืนลุกขึ้น เป็นหนึ่งในสองยอดฝีมือที่ลู่เซิ่งเชิญมาก่อนหน้านี้
“สหายกุ่ยชมเกินไปแล้ว” ลู่เซิ่งกระอักเลือด ใช้มือข้างหนึ่งจับศพของเซียวจื่อจู๋ พร้อมกับเริ่มดูดซับแก่นมารด้านในด้วยความเร็วสูงเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
“ตอนที่สหายลู่มาเชิญพวกเราพี่น้อง พวกเรานึกว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ พิภพมารไม่น่าส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งเกินไปมา น่าเสียดายนึกไม่ถึงว่า…” เงาคนสีแดงอีกสายค่อยๆ ลุกขึ้น พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน นี่คือบุรุษสูงใหญ่เปลือยอก บนศีรษะมีก้อนขนาดใหญ่นูนออกไปทางซ้าย ใบหน้าแปลกประหลาด ได้เห็นแล้วยากลืมเลือน
เขามองศพของเซียวจื่อจู๋ที่อยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง
“จ้าวแห่งมารควบคุมจิตใจนับว่าเป็นมารที่มีชื่อเสียงทั้งในโลกมนุษย์และพิภพมาร นึกไม่ถึงว่าร่างหยินของมันจะถูกสหายลู่ฆ่าตายที่นี่”
……………………………………….