ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 401 ติดต่อ (1)
บทที่ 401 ติดต่อ (1)
“จ้าวแห่งมารควบคุมจิตใจ?” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปากพร้อมกับมองศพของเซียวจื่อจู๋อย่างละโมบเล็กน้อย มารโบราณตนหนึ่งเชียวนะ ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีสองคนนี้อยู่นี่ เขาคงจะกลืนกินศพในคำเดียว ไม่ปล่อยให้แก่นมารมากมายขนาดนี้สิ้นเปลืองไป
แต่ในเมื่อมียอดฝีมือจากหน่วยอาทิตย์โลหิตของสำนักพันอาทิตย์อยู่ด้วย เขาก็ไม่อาจแสดงการกระทำด้านลบอย่างการกินศพเช่นกัน
ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นผู้ถืออาวุธระดับสูงสุดอย่างแท้จริง เป็นขุมกำลังแข็งแกร่งที่สุดในละแวกนี้ที่เขาใช้คำสั่งเร่งด่วนเรียกตัวมา
ทั้งสองคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ฝึกฝนวิชาฝ่ามือสองวิชาที่แตกต่างกัน แต่เนื่องจากอาวุธเทพมีเป็นคู่ กลับสามารถชดเชยหยินหยางให้กันจนมีอานุภาพยิ่งใหญ่ได้
“ในเมื่อจ้าวแห่งมารควบคุมจิตใจปรากฏตัวแล้วเช่นกัน ดูเหมือนสถานการณ์ทางด้านสหายลู่จะไม่ค่อยดีนัก มิสู้ไปหาอริยะเจ้าในเขตถ่ายทอดความลับโดยตรงดีหรือไม่ การปรากฏตัวของจ้าวแห่งมารจะต้องสร้างความตื่นตัวให้กับเบื้องบนแน่ อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้เช่นกัน” บุรุษที่ลู่เซิ่งเรียกว่าสหายกุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้ามีความคิดนี้อยู่พอดี แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ไกลเกินไป…” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างลำบากใจ
“ในความเป็นจริง แม้ระยะทางจะถือว่าไกลมาก แต่หากไปจากเขตถ่ายทอดความลับจะสะดวกสบายยิ่งกว่า ขอแค่โดยสารเรือไป จะไปถึงน้ำตกทองคำในเขตถ่ายทอดความลับภายในหนึ่งวัน ถ้าหากสหายลู่ไม่มีเรื่องราวใด วันนี้ให้พวกเราพี่น้องพาท่านไปหาประมุขตระกูลของเราเป็นอย่างไร”
ความจริงนับตั้งแต่ลู่เซิ่งแสดงพรสวรรค์ในนครจังหวัด บวกกับร่างจันทราทมิฬ และการเป็นศิษย์ของเชียนตู้ซูหนิงเฟย เหล่าอริยะเจ้าของสำนักพันอาทิตย์ก็ให้ความสนใจแต่แรกแล้ว เพียงแต่ติดที่ซูหนิงเฟยจึงไม่ได้ลงมือเท่านั้น
เวลานี้ค้นพบว่าลู่เซิ่งมีพลังเหี้ยมหาญอย่างกะทันหัน อริยะเจ้ามากมายจึงเริ่มมีความคิดในใจแล้วเช่นกัน
“อย่างนั้น…ต้องขอขอบคุณสหายทั้งสองท่านที่แนะนำแล้ว!” ลู่เซิ่งโค้งตัวน้อยๆ แสดงการขอบคุณ ตอนนี้อาการบาดเจ็บบนตัวเขาสมานตัวด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองเห็นได้ แม้จะเป็นแค่การสมานบาดแผลภายนอก และบาดแผลภายในยังไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าความเร็วในการฟื้นตัวแบบนี้ก็ทำให้ทั้งสองคนที่เห็นเข้าถึงกับอุทานในใจเช่นกัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายลู่ก็ไปเตรียมตัวก่อนเถอะ อีกสองชั่วยาม หลังจากพวกเราพี่น้องจัดการอะไรๆ เสร็จแล้วจะมารับท่าน” สหายกุ่ยวางแผน
“ตกลง อย่างนั้นเดี๋ยวค่อยเจอกัน”
“เดี๋ยวค่อยเจอกัน”
ลู่เซิ่งมองคนทั้งสองที่แบกศพของจ้าวแห่งมารควบคุมจิตใจหายไปจากที่เดิมอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นว่ากลับเขตถ่ายทอดความลับไปแล้ว ในใจบังเกิดความเสียดายเล็กน้อย
ทว่าเขาก็แปลกใจกับการเข่นฆ่าเมื่อก่อนหน้าเล็กน้อยเช่นกัน ต่อให้จะเป็นการลอบโจมตี เขาก็รู้สึกว่าจ้าวแห่งมารควบคุมจิตใจตนนี้อ่อนแอไปบ้าง
พลังและไพ่ตายที่แสดงออกมาตั้งแต่ต้นจนจบไม่สมกับเป็นระดับอริยะมารเลย
ลู่เซิ่งยืนมองรอบๆ อยู่ที่เดิมสักพัก อาการบาดเจ็บบนร่างฟื้นฟูด้วยความเร็วสูงจนตอนนี้แทบไม่เห็นปากแผลแล้ว
“เซียวจื่อจู๋…” ลู่เซิ่งทวนชื่อของคนผู้นั้น จนถึงตอนสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ใช้สภาพแข็งแกร่งที่สุดของหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง เพื่อเก็บไพ่ตายใบหนึ่งไว้ให้ตัวเอง และป้องกันไม่ให้คนอื่นมองตื้นลึกหนาบางออก
‘หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ กลับไปก่อนค่อยว่ากันว สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ พลังของเราถึงกับไม่พอใช้บ้างแล้ว’
เมื่อไม่มีเซียวจื่อจู๋ขวางทาง ลู่เซิ่งก็เดินขึ้นบันไดหินที่พังทลายไปจนถึงวัดขนาดใหญ่ที่มีหลังคาสีแดงทั้งสี่มุมแห่งหนึ่ง
ธูปกำลังลุกไหม้อยู่ด้านหน้าวัด ควันธูปลอยอ้อยอิ่ง ป้ายไม้จำนวนไม่น้อยกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปหยิบป้ายไม้ชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู
มีคำคำหนึ่งไว้เขียนไว้บนป้ายไม้สีเหลืองอ่อนอย่างชัดเจน… ‘โชคร้าย’
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ก่อนจะทิ้งป้ายไม้ แล้วเดินเข้าไปในลานด้านในวัด มีพระสงฆ์ห่มจีวรเหลืองกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของตัวลาน ดูลนลานเล็กน้อย แต่พระชราคิ้วยาวที่เป็นผู้นำกลับสงบนิ่งดั่งภูผา ก้มหน้าท่องคำสวดมนต์อย่างเงียบๆ
คนจากสำนักพันอาทิตย์และคนจากสำนักมารกำเนิดเฝ้าอยู่ใกล้ๆ พอเห็นลู่เซิ่งเดินเข้ามา หัวหน้ากลุ่มย่อยก็รีบลุกขึ้นและเข้ามาใกล้ทันที
“ศิษย์คำนับเจ้าสำนัก” หัวหน้ากลุ่มย่อยผู้นี้มีหว่างคิ้วที่ดูฉลาดปราดเปรื่อง อายุยังไม่มาก อย่างมากสุดก็ยี่สิบต้นๆ
“คนอื่นๆ เล่า” ลู่เซิ่งถาม
“เรียนเจ้าสำนัก พบวังใต้ดินแห่งหนึ่งอยู่ใต้วัดแห่งนี้ ผู้นำกลุ่มสองคนพาคนลงไปตรวจสอบแล้วขอรับ” หัวหน้ากลุ่มย่อยรีบตอบ
“วังใต้ดินหรือ” ลู่เซิ่งสนใจมากกว่าเดิม มองพระสงฆ์ชราที่ถูกห้อมล้อมไว้ใกล้ๆ สายตาสาดความเย็นเยียบออกมา
วัดจินถั่วแห่งนี้มีลับลมคมในเช่นกัน ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะตีผิดชนพลาดจนเจอเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เจอตัวคนของคฤหาสน์ลู่แล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งซักไซ้อย่างละเอียด ความสำคัญในตอนนี้คือการตามหาตำแหน่งของมารดารองก่อน มารดารองหลิวชุ่ยอวี้เป็นแค่คนธรรมดา ถูกมารดาสามพาไปไหนก็ไม่ทราบ เกรงว่าจะมีอันตราย
“เรื่องนี้…” หัวหน้ากลุ่มย่อยพลันลำบากใจ แสดงว่ายังหาไม่เจอ
ลู่เซิ่งไม่ว่าอะไร อย่างไรก็ยืนยันได้แล้วว่าคนอยู่ที่นี่ เขาเงยหน้ามองประตูวิหารวัด ด้านในมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาพอดี ผู้นำกลุ่มคือหวงเจินเสี่ยนหรือนักพรตหยวนซา เจ้าหน้าที่หน่วยอาทิตย์โลหิตที่สำนักพันอาทิตย์ส่งมา ทั้งยังเป็นหัวหน้ากลุ่มที่เขาส่งไปเพื่อลอบขึ้นเขามาจากอีกด้านหนึ่งด้วย
หวงเจินสี่เป็นบุรุษหนุ่มร่างกำยำล่ำสัน แต่ความจริงอายุมากกว่าลักษณะภายนอก เขาประคองสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งอย่างระมัดระวัง เป็นมารดารองหลิวชุ่ยอวี้ พวกเขาเดินออกมาจากวิหารใหญ่ช้าๆ หวงเจินสี่เห็นลู่เซิ่งเข้าพอดี จึงรีบแสดงสีหน้าโล่งอก
“เจ้าสำนักลู่! โชคดีที่ทำสำเร็จ!” เขารีบกล่าวเสียงดัง
ลู่เซิ่งมองไป เห็นมารดารองนอกจากสลบไสล อย่างอื่นก็เรียบร้อยดี ด้านหลังมีคนอีกคนประคองหญิงงามนางหนึ่ง กลับเป็นหวังเหยียนอวี่มารดาสามที่พามารดารองหลบหนี
เวลานี้สตรีนางนี้หน้าตาแดงก่ำ เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ก้มหน้าไม่กล้ามองลู่เซิ่ง
“เหอะ เจ้าสำนักไม่ทราบ หลังจากพวกเราเข้าไป สตรีนางนี้ก็กำลังเล่นสนุกกับบุรุษหลายคนอย่างคลุ้มคลั่งทีเดียว” หวงเจินสี่หัวเราะเหอะๆ พลางถ่ายทอดกระแสเสียง “ข้าน้อยล้วนฟันบุรุษที่เล่นกับนางด้วยความโมโห ท่านไม่ต้องห่วง นอกจากข้าน้อยแล้ว ก็ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้อีก ข้าน้อยไม่มีทางแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
เขากำลังแสดงความซื่อสัตย์อยู่
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปก้าวหนึ่งแล้ววางมือลงบนบ่ามารดารอง หลังจากตรวจสอบแล้วว่าร่างกายของนางไม่มีตรงไหนติดขัด จึงค่อยถอนใจโล่งอก
“ทำได้ไม่เลว” เขาพยักหน้าให้หวงเจินสี่ “นอกจากนี้วังใต้ดินคืออะไร”
“เป็นสถานที่ซ่อนสิ่งสกปรกโสมม วังใต้ดินแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก ด้านในเป็นแท่นพิธีที่ใช้ซากศพและเลือดมนุษย์สร้างขึ้นมา ไม่ทราบว่าเซ่นไหว้อะไร ไม่เหมือนกับจักรพรรดิมารของพิภพมาร แต่เป็นเหมือนพิธีป่าเถื่อนที่อาวุธเทพคลั่งซึ่งไร้สติส่วนหนึ่งจัดตั้งขึ้นมากกว่า เรื่องนี้จะรายงานเบื้องบนหรือว่า…” หวงเจินสี่เป็นคนที่เฉินจิ้งจือแนะนำให้ลู่เซิ่ง แม้จะเป็นสมาชิกหน่วยอาทิตย์โลหิตเช่นกัน แต่คนผู้นี้มีนิสัยแตกต่างออกไป ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรื่องบางประการ จึงกลายเป็นหญ้าบนกำแพง ถูกแต่ละฝ่ายในสำนักพันอาทิตย์รังเกียจเดียดฉันท์ ว่ากันว่าไปล่วงเกินบุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่งเข้า
ตอนนี้ลู่เซิ่งกลับมาอย่างกะทันหัน จู่ๆ ก็มีขุมกำลังใหญ่เพิ่มขึ้นมา คนผู้นี้จึงรีบติดต่อเข้าหาเป็นคนแรกทันที ถ้าหากได้รับการยอมรับจากลู่เซิ่ง หวงเจินสี่ผู้นี้จึงนับว่าปลอดภัย
เป็นเพราะภารกิจนี้มีความอันตราย เฉินจิ้งจือจึงแนะนำคนผู้นี้มา
ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่าจะมีแผนสำรองอะไร นึกไม่ถึงว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้กลับไม่เจอสิ่งใด จ้าวแห่งมารควบคุมจิตใจเซียวจื่อจู๋คล้ายกับเจอจุดจบง่ายๆ แบบนี้จริงๆ
เขาเดินขึ้นหน้าออกไปก้าวหนึ่ง แล้วยื่นมือไปวางลงบนบ่าหวังเหยีนอวี่มารดาสาม แบ่งแก่นหยางของวิชาไร้ขอบเขตในร่างออกมาสายหนึ่ง ก่อนจะให้มันมุดเข้าไปตรวจสอบในร่างของนาง
ไม่มีความผิดปกติใดๆ
ลู่เซิ่งก้าวถอยหลังก้าวหนึ่งโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“คุณชายใหญ่…” หวังเหยียนอวี่มีสีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง เงยหน้าอ้าปากคล้ายคิดจะขอความเมตตา
“พาตัวไป ส่งไปขังไว้ที่คฤหาสน์ลู่ก่อน” ลู่เซิ่งสั่ง
“ขอรับ”
ศิษย์สำนักพันอาทิตย์คนหนึ่งก้าวเข้ามาจับตัวหวังเหยียนอวี่เอาไว้ แล้วเร่งฝีเท้าจากไป
ลู่เซิ่งทบทวนการต่อสู้กับเซียวจื่อจู๋เมื่อก่อนหน้า เขาทราบความหมายของร่างหยินคร่าวๆ แล้ว ปกติร่างหยินจะเป็นการดำรงอยู่ที่อ่อนแอกว่าร่างหลักหนึ่งระดับ คล้ายกับร่างแยก ทว่าแข็งแกร่งกว่าร่างแยก เหมือนกับการดำรงอยู่ของมารหยินในวิถีแปดมารสูงสุด มีความคิดเป็นของตัวเอง มีความข้องเกี่ยวเป็นนายบ่าวกับร่างหลัก
‘เป็นจ้าวแห่งมารเหมือนกัน ต่อให้เซียวจื่อจู๋จะอยู่ในระดับสูงสุด ร่างหยินของเขาก็อ่อนแอกว่าหนึ่งระดับ แค่ระดับดาวหยก ไม่ถึงกับแข็งแกร่งกว่าเราขนาดนั้นมั้ง’ ลู่เซิ่งเกิดความสงสัย เขาพลันนึกได้ว่าหลังจากเลื่อนสู่ระดับอริยะเจ้า เขาก็ไม่เคยได้รับวิธีการฝึกฝนในระดับอริยะเจ้ามาก่อน
ซูหนิงเฟยไม่เคยบอกว่าจะถ่ายทอดให้เขา เพียงแต่มอบภารกิจให้อย่างเดียว นอกจากวิชาไร้ขอบเขตที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ก็ไม่มีวิชาจริงแท้อย่างอื่นที่อริยะเจ้าฝึกฝนได้อีก
ลู่เซิ่งกำชับพร้อมกับส่งมารดารองกลับคฤหาสน์ลู่ จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านในของวัด ก่อนจะเข้าไปในทางเข้าของทางเดินใต้ดินที่อยู่ข้างใต้เบาะกลม ซึ่งอยู่ใต้พระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมพันมืออีกที แล้วเริ่มตรวจสอบวังใต้ดิน
หวงเจินสี่ที่นำทางชูคบเพลิงให้และแนะนำเบาๆ
“กล่าวไป พิธีของวังใต้ดินแห่งนี้ไม่มีประสิทธิผลโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนจะเป็นแค่คนบ้ากลุ่มหนึ่งทำพิธีสังเวยโลหิตอย่างมั่วๆ อย่าว่าแต่จะทำให้พิธีบังเกิดผล ทั้งยังไม่ได้กลิ่นอายลี้ลับแม้แต่น้อย…”
เอ๋?
หวงเจินสี่ส่งเสียงร้องเอ๋ เขาพบความผิดปกติแล้วเช่นกัน
ลู่เซิ่งหยีตา
ฆ่าคนไปตั้งมากมาย กลับไม่มีวิญญาณสักดวง นี่ยังนับว่าปกติหรือ
คนทั้งสองเดินลงไปตามทางเดินใต้ดินที่มืดสนิท แล้วตัดทะลุอุโมงค์ตรงกลางที่ทรุดโทรมหลายแห่ง หลังจากเดินไปสิบกว่าอึดใจ ไม่นานก็ไปถึงวังใต้ดินทรงรีที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง
วังใต้ดินมีขนาดใหญ่เท่ากับสนามบาสเก็ตบอลขนาดเล็ก ตรงกลางมีแท่นทำจากโครงกระดูกสีขาวตั้งอยู่ หม้อใบใหญ่วางอยู่บนแท่นอย่างหยาบๆ ด้านในหม้อคือเลือดที่กำลังเดือดปุดๆ ในเลือดมีกระดูกกับศีรษะมนุษย์พลิกตัวไปมาตลอดเวลา ก้นหม้อยังมีควันจางๆ ลอยขึ้น คล้ายกับเป็นถ่านไฟธรรมดาๆ
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วกวาดตามองภาพวาดผีสางหยาบๆ ที่อยู่รอบๆ ยังมีอักขระบิดเบี้ยวไม่เป็นระเบียบมากมายข้างใต้เท้าด้วย
“ทำลายที่นี่ทิ้งเสีย สัมผัสถึงปัญหาใดๆ ไม่ได้จริงๆ” ลู่เซิ่งเดินวนรอบหนึ่งอย่างละเอียด ไม่พบอะไรเหมือนเดิม จึงสั่งหวงเจินสี่อย่างเรียบง่าย
“รับทราบขอรับ!” หวงเจินสี่รีบขานตอบ
ลู่เซิ่งเดินกลับทางเดิม ก่อนจะออกไปก็เห็นอักขระสีขาวตัวใหญ่บนกำแพงโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือควรบอกว่าเป็นคำว่า ‘กำเนิด’ ที่คล้ายกับอักขระ
คำคำนี้ไม่มีความผิดปกติใดๆ ลู่เซิ่งเพียงเหลือบมองแวบเดียวก็หมุนตัวเดินจากไป สิ่งที่เหลือมอบให้หวงเจินสี่จัดการ
พอจัดการเรื่องนี้เสร็จ เขาก็ลงจากเขาด้วยความเร็วสูง หลังสั่งให้คนที่อยู่ตีนเขาจัดการปัญหาที่จะตามมาให้เรียบร้อย ก็รีบกลับอารามสำนักพันอาทิตย์ ให้เฉินจิ้งจือเปิดห้องลับกักตนห้องหนึ่ง แล้วเดินเข้าไป
“รอเดี๋ยว!” ตอนที่ลู่เซิ่งกำลังจะปิดประตูกักตน เฉินจิ้งจือก็เรียกเขาอย่างกะทันหัน “ผู้อาวุโสลู่โปรดรอประเดี๋ยว มีรายงานขอความช่วยเหลือเร่งด่วนที่ส่งมาจากเขตตะวันฉายใกล้ๆ นี้ ขอให้ท่านไปดูด้วย”
“รายงานขอความช่วยเหลือเร่งด่วนหรือ” ลู่เซิ่งหันไปมองเฉินจิ้งจือ เห็นเขาถือกระดาษจดหมายสีแดงชาดฉบับหนึ่งไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เรื่องนี้รายงานนครจังหวัดหรือไม่ก็สาขาใหญ่เถอะ จิ้งจือให้ข้าดูทำไม” ลู่เซิ่งงุนงงอยู่บ้าง ตอนนี้เขาถูกจ้าวแห่งมารในพิภพมารหมายหัว ยังต้องคิดหาวิธีแก้ไข ไม่มีเวลาไปจัดการภัยพิบัติมารใกล้ๆ นี้หรอก
……………………………………….