ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 403 ไพ่ตาย (1)
บทที่ 403 ไพ่ตาย (1)
เมื่อไม่เคยเห็นมหาสมุทร ก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่ามหาสุมทรกว้างใหญ่ขนาดไหน เมื่อไม่เคยเห็นท้องฟ้า กบที่อยู่ก้นบ่อก็นึกว่าฟ้าใหญ่เพียงแค่ปากบ่อ
ลู่เซิ่งเคยคิดว่าเปลวไฟมีสภาพแค่ไม่กี่อย่างเหมือนที่อยู่ในความรู้และความทรงจำ แต่หลังจากเห็นเงาหลังของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร เขาจึงค่อยเข้าใจว่าเปลวไฟไม่ใช่เป็นแค่วิธีเผาไหม้ที่แร้นแค้นเหล่านั้นเท่านั้น
เปลวไฟแต่ละชนิด วิธีการคงอยู่ของพวกมัน การลุกไหม้ลามเลีย อุณหภูมิที่ปลดปล่อย หมอกควัน ความถี่ของแสง ล้วนสอดประสานกัน มีหนึ่งไม่มีสอง ปรากฏการณ์ทั้งหมดเชื่อมต่อกัน ต่อให้ได้มาเพียงหนึ่งเดียว ก็อนุมานถึงสิ่งที่สอดคล้องกันได้มากมาย
ลู่เซิ่งค่อยๆ บังเกิดความรู้อันล้ำลึกต่อธรรมชาติและแบบแผนของเปลวไฟผ่านการเปรียบเทียบเงื่อนไขและผลลัพธ์จำนวนมาก
เปลวไฟสีทองลุกไหม้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ดับลง
เวลานี้สองตาของลู่เซิ่งมีเลือดไหลออกมา แต่เขาไม่รู้สึกตัว ยังคงจ้องมองเงาร่างมหึมาที่เผาไหม้จักรวาลในเปลวไฟนั้นเขม็ง
จนกระทั่งไฟหยินตรงหน้ามอดดับโดยสมบูรณ์ แล้วรวมตัวเป็นขนสีทองเจิดจรัสเส้นหนึ่ง เขาจึงค่อยๆ หลับตาลง
เนิ่นนานให้หลัง เขายังนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน คล้ายกับกำลังทบทวนความรู้สึกพิเศษในตอนที่เชื่อมต่อกับอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรเมื่อก่อนหน้า
‘สิ่งที่สัมผัสได้เมื่ออยู่เหนือผู้ถืออาวุธขึ้นไปคือกฎเกณฑ์ ธรรมชาติของกฎเกณฑ์แตกต่างจากพลังกำเนิดแต่ละรูปแบบเมื่อก่อนหน้า มันคือการระเหิดของพลังกำเนิดแต่ละรูปแบบ คือแก่นแท้พิเศษที่สกัดออกมาจากพลังกำเนิดจำนวนมาก เมื่อควบคุมกฎเกณฑ์ได้ ก็จะควบคุมพลังกำเนิดชนิดหนึ่งได้’
ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้งแล้ว เขาหยิบเส้นขนเมื่อก่อนหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดตรงหางตาทั้งสองข้าง พลางมองดูไฟหยินตรงหน้าที่สูญเสียการเคลื่อนไหวและดับมอดลงไปแล้ว ก่อนจะเกิดความรู้สึกเสียดายอย่างอธิบายไม่ถูกขึ้นมาในใจ
เขามองดูขอบเขตของวิชาไร้ขอบเขตอีกครั้ง รวบรวมยอดศัสตราระดับที่สองมั่นคงแล้ว รวบรวมยอดศัสตราหกระดับตรงกับสามขอบเขตของอริยะเจ้าต่อจากนั้น ทุกๆ สองระดับเทียบเท่ากับหนึ่งขอบเขต
เมื่อมาถึงระดับที่สองก็หมายความว่าตนได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอริยะเจ้าขอบเขตใบไม้ทองคำแล้ว
เส้นเลือดหลายสายเรืองแสงขึ้นอย่างต่อเนื่องในร่างของลู่เซิ่ง แสงสีทองอ่อนสาดส่องร่างกายของเขาจนกลายเป็นสีทองจางๆ
สายเลือดกำลังเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์ โดยใช้พลังอาวรณ์และดีปบลูเรียนรู้ขั้นตอนต่อไปของวิชาไร้ขอบเขต หลังจากกลืนกินอาวุธเทพธาตุน้ำชิ้นหนึ่ง กายเนื้อของลู่เซิ่งก็ได้รับการยกระดับซึ่งอธิบายไม่ได้อีกครั้ง
การยกระดับนี้สมควรพัฒนาไปยังทิศทางของอริยะเจ้าดาวหยกดั้งเดิมของโลกใบนี้ แต่ว่าระหว่างทางเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น
ภาพเสมือนกับเปลวไฟของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรทำให้การเรียนรู้ในครั้งนี้เกิดการบิดเบือนอย่างรุนแรง นี่เป็นช่องโหว่ที่ปรากฏขึ้นเองในวิชาไร้ขอบเขตที่ลู่เซิ่งออกแบบ
ตัววิชาไร้ขอบเขตได้รับการพัฒนาผ่านระบบมรรคายุทธ์ที่รู้จักบนหลักตรรกะและแบบแผน จึงไม่มีปัญหา
ทว่ากลับมองข้ามปัญหาข้อหนึ่งไป
การเรียนรู้นี้เป็นเพียงแค่การเรียนรู้เท่านั้น เป็นการเรียนรู้โดยมีพื้นฐานจากโลกทัศน์และความรู้ของลู่เซิ่ง ทว่าความรู้และทัศนคติของเขามีจำกัด และโลกภายนอกเป็นสิ่งไร้ที่สิ้นสุด
ดังนั้นจริงๆ แล้ววิชาไร้ขอบเขตที่เรียนรู้ได้จึงมีปัญหา แม้ว่าจะก้าวเดินได้อย่างราบรื่นจริงๆ แต่จะเกิดอะไรขึ้นต่อโลกภายนอก นี่กลับไม่อาจทราบได้แล้ว
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่ ทำความเข้าใจเรื่องเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันในครั้งนี้อย่างละเอียด เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ แล้ว
สภาพผิดปกติของเขาหายไปโดยสิ้นเชิง ทว่ากระดูกในร่างกายยังคงรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงที่แผดเผาอยู่
‘นับว่า…เป็นการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงเลย’ เขายกมือขึ้น กลางฝ่ามือของเขาในตอนนี้ ปรากฏลวดลายสามเหลี่ยมสีดำมีดวงตาสีทองข้างหนึ่งอยู่ข้างใน ในดวงตาคืองูมีปีกสีแดงเข้มซึ่งมีขนของอินทรีปกคลุม
นี่คือแก่นสารลวดลายของเขาในตอนนี้
‘หลังจากได้สัมผัสกับอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร แม้แต่แก่นสารของเราก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงด้วยหรือนี่’
ลู่เซิ่งเหมือนนึกอะไรได้ เดิมทีการเปลี่ยนแปลงนี้สมควรเป็นด้านลบ แต่ว่าภายใต้การใช้พลังอาวรณ์จำนวนมาก และภายใต้การเรียนรู้ส่งเสริมของดีปบลู สิ่งของด้านลบทั้งหมดจึงถูกเขาโยนทิ้งไปในพริบตา เหลือแต่ส่วนที่มีประโยชน์และไม่เกิดความขัดแย้งกับเขา
ส่วนเหล่านี้ก็คือปีกสีทองที่ปกคลุมบนร่างงูมีปีก
‘ขอดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากมาถึงระดับที่สองหน่อยเถอะ’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก ลวดลายสัญลักษณ์กลางฝ่ามือหายไปอย่างฉับพลัน ลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งสาดขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา นี่คือแก่นหยางของวิชาไร้ขอบเขต
‘ดูเหมือนไม่ต่างจากแก่นหยางเมื่อก่อนหน้า’ ลู่เซิ่งสำรวจแก่นหยาง หลังจากยกระดับอย่างละเอียด ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติที่พิเศษใดๆ
แต่พอมองแก่นหยางนานเข้า เขาก็ค่อยๆ แยกแยะข้อแตกต่างเล็กน้อยออก
เมื่อเทียบกับก่อนหน้า แก่นหยางในตอนนี้คล้ายมีความร้อนอ่อนๆ เพิ่มขึ้นมา อุณหภูมิของความร้อนนี้คลุมเครือยิ่ง มิหนำซ้ำยังไม่แสดงออกด้านนอก แต่ส่งผลต่อจิตวิญญาณเป็นส่วนใหญ่ คล้ายกับมีผลในการเผาไหม้จิตวิญญาณอ่อนๆ
‘มีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก แต่มองการพัฒนาและทิศทางในอนาคตออกแล้ว’ ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง สัมผัสการใช้พลังอาวรณ์อีกรอบ พลันตื่นตระหนก ไม่เพียงพลังอาวรณ์เกือบห้าพันหน่วยเมื่อก่อนหน้านี้ถูกใช้ไปจนเกลี้ยง พลังอาวรณ์ที่ได้จากการดูดซับอาชาน้ำแข็งต่อจากนั้นก็เหลือแค่สามร้อยหน่วยอย่างอเนจอนาถเช่นกัน ส่งเค้าโครงบางๆ ออกมาจากดีปบลูแบบขาดๆ หายๆ
‘สิ้นเปลืองพลังอาวรณ์ขนาดนี้เชียว ดูท่าต้องรีบหาอาวุธเทพจำนวนมากกว่าเดิมมากินให้เร็วที่สุดแล้ว’ เขาค่อยๆ ลุกขึ้น ‘ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้คือการแก้ไขสภาพจนตรอกในปัจจุบัน’ แม้จะไม่ทราบว่าการเปลี่ยนแปลงในแก่นหยางดีหรือเลว แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาไปสนใจแล้ว
สุดท้ายก็คือเส้นขนสีทองที่ได้มาอย่างไม่ได้ตั้งใจเส้นนั้น
ลู่เซิ่งใช้แก่นหยางบังคับให้เส้นขนเส้นนี้ลอยพลิกไปพลิกมาอยู่ด้านหน้า เพื่อตรวจสอบรอบๆ ในสายตาของเขา เส้นขนเส้นนี้เหมือนกับแท่งระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากการรวมตัวกันของเปลวไฟสีทอง ขอแค่โอกาสเหมาะๆ สักโอกาส ก็อาจระเบิดออกอย่างสมบูรณ์ จนก่อเกิดอานุภาพอันน่ากลัวสุดหยั่งรู้
นี่คือเส้นขนพิเศษที่รวมตัวกันจากไฟสีทองทั้งหมดซึ่งได้มาหลังจากเขาเชื่อมต่อกับอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร หรือก็คือเป็นของเลียนแบบเส้นขนบนตัวอสูรยักษ์น่ากลัวตัวนั้น
ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบไล้ผิวเส้นขนเบาๆ
ซู่…
ผิวบนนิ้วของเขาเกิดควันขาวลอยขึ้นในพริบตา ผิวหนังถูกทำลายไปไม่น้อยในชั่วเสี้ยววินาที
‘เป็นความร้อนที่น่ากลัวจริงๆ…’ ลู่เซิ่งตกใจ การต้านทานต่อความร้อนของเขาในปัจจุบันไปถึงขั้นที่แม้จะอยู่ในเปลวไฟก็ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ อีกแล้ว ถึงขั้นต่อให้เป็นเปลวไฟที่อุณหภูมิสูงกว่าหนึ่งพันองศา ก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย
แต่ไฟในเส้นขนเส้นนี้กลับสร้างความเสียหายต่อเขาได้อย่างง่ายดาย เกิดว่ามันระเบิดขึ้นมา ไม่ทราบว่าจะเกิดปรากฏการณ์ทำลายล้างที่น่ากลัวระดับไหน
‘แต่ก็เข้าใจได้ ตอนที่เราเรียนรู้ไฟหยินไปถึงระดับไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรในตอนนั้น ได้ใช้พลังอาวรณ์กระตุ้นเปลวไฟและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ผลพิเศษเพื่อพัฒนาไฟหยินไปทีละระดับ จากนั้นจึงค่อยได้ไฟหยินระดับไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรมาหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติ ตอนนี้ก็แค่พัฒนาต่อจากพื้นฐานเดิมจนได้เปลวไฟในตอนนี้มาเท่านั้น’
เขาคีบเส้นขนสีทองเข้มพลางนึกย้อนถึงสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่ได้เห็นเมื่อครู่
‘ต่อให้เป็นร่างกายของเราในตอนนี้ก็รับความร้อนของเปลวไฟชนิดนี้ไม่ไหว บวกกับมาจากอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร ทั้งยังเป็นสีทอง อย่างนั้นก็เรียกว่าอัคคีสีทองแปดเศียรก็แล้วกัน ใช้เป็นหนึ่งในไพ่ตายเวลาจวนตัวได้’ เขาเก็บเส้นขน แล้วใช้แก่นหยางห่อหุ้มมันไว้เป็นชั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันสัมผัสโดนตัวเขา จากนั้นก็ฉีกผ้าผืนหนึ่งมามัดพันมันไว้
หลังจากทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปหน้าประตู ยื่นมือไปแตะเบาๆ ประตูหินเลื่อนไปทางด้านขวาโดยอัติโนมัติ
ศิษย์สตรีที่กำลังงีบอยู่ด้านนอกประตู ได้ยินเสียงเปิดประตูอย่างกะทันหัน จึงตื่นขึ้นมาทันที
“ประมุขคฤหาสน์ตื่นแล้ว!”
“อือ ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร จิ้งจือเล่า” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
“เจ้าสำนักเฉินรีบเร่งไปช่วยเหลือทางหุบเขาพันอุบายทางด้านใต้แล้ว ที่นั่นมีทัพมารจำนวนมากโผล่มาอย่างกะทันหัน รวมตัวกันโจมตีตำบลที่อยู่ใกล้ๆ” ศิษย์สตรีรีบตอบ “เจ้าสำนักเฉินสั่งไว้ว่า ถ้าหากท่านออกจากการกักตนมา ขอให้ไปยังหุบเขาธารแดงให้ได้ ที่นั่นมีทัพมารกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่เช่นกัน ทั้งหมดล้วนมาจากทางเขตตะวันฉาย”
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งรู้ว่าเวลานี้สถานการณ์มาอยู่ในจุดที่อันตรายถึงขีดสุดแล้ว แม้แต่เฉินจิ้งจือที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ยังต้องออกโรงทำศึกด้วยตัวเอง เห็นได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์รบ
เขาบอกลาศิษย์สตรี แล้วสะกิดเท้ากระโดดขึ้นเบาๆ จากนั้นก็ลอยตัวอยู่เหนืออารามพร้อมกับก้มมองด้านล่าง
ศิษย์จำนวนไม่น้อยรวมตัวกันรอบอาราม บนเส้นทางหลักแต่ละเส้นทางมีขบวนศิษย์ที่กำลังวิ่งอย่างรีบเร่ง
เขาพุ่งลงไปหากลุ่มกลุ่มหนึ่ง
“ข้าคือลู่เซิ่ง มาหาคนนำทาง หุบเขาธารแดงไปทางไหน”
ทั้งกลุ่มปั่นป่วน เหล่าศิษย์ในนี้ถูกกระแสอากาศกดดันจนถอยหลังติดต่อกัน พากันแสดงสีหน้าระมัดระวัง เห็นได้ว่าเสียงที่ดังมาอย่างกะทันหันทำให้พวกเขาตกใจ
ผู้นำกลุ่มเป็นบัณฑิตใบหน้าซื่อๆ คนหนึ่ง ตอนแรกเขาสะดุ้งโหยง แต่หลังจากเห็นผู้มาชัดเจนแล้ว ก็รีบคุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อคารวะ แต่ถูกลู่เซิ่งใช้พลังยันไว้ จึงคุกเข่าไม่ได้ พอได้ยินคำถามเขาก็สั่งการอย่างรวดเร็วว่า
“เซี่ยวเมิ่งหรัน เจ้าคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศที่สุด จงไปพร้อมกับใต้เท้าประมุขคฤหาสน์”
“ขอรับ! ใต้เท้าประมุขคฤหาสน์ หุบเขาธารแดงอยู่ทางตะวันตก เยื้องไปทางทิศเหนือขอรับ”
คนรูปร่างอ้วนคนหนึ่งในกลุ่มก้าวออกมากล่าวเสียงดัง
ลู่เซิ่งไม่ลังเล วูบไหวร่างพุ่งไปจับคนร่างอ้วนผู้นี้ แล้วกระโจนสู่ฟากฟ้า อารามด้านล่างหดเล็กลงด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็บินไปยังทิศตะวันตก
…
ฉยงซังผ่ามารสีดำที่มีแขนสามข้างตรงหน้าออกเป็นสามส่วน
เลือดมารสีดำกระเด็นใส่ใบหน้าเขา ส่งเสียงกัดกร่อนดังฉ่าๆ
ทว่าเขาไม่สนใจ เรื่องราวแบบนี้มีมากเกินไป มากจนเขาคร้านจะสนใจ ใบหน้าของฉยงซังเละเทะเพราะโดนเลือดมารกระเซ็นใส่มานานแล้ว
นับตั้งแต่แอบออกจากสำนักพันอาทิตย์ในนครจังหวัด เขาก็ได้แยกตัวกับสหายทั้งหลาย แล้วซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนเพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ล่า
เขาไม่อยากจะไปคิดถึงวังวนแผนร้ายในราชสำนักต้าอินอีกแล้ว ราชสำนักในตอนนี้เหลือแค่ชื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะมีสามตระกูลใหญ่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เกรงว่าตอนนี้ต้าอินที่ราชสำนักล่มสลายลงคงจะกลายเป็นสมรภูมิแห่งความตายไปแล้ว แต่ว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ สามตระกูลใหญ่ก็ถูกพิภพมารลอบสังหารขุนพลมากมายจนเสียหายอย่างหนักอยู่ดี
‘ช่างเถอะ สถานการณ์ใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับข้า จะดีหรือจะแย่ก็ช่าง ตอนนี้ข้าเป็นแค่ประชาชนต้าอินธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องแบบนั้น…’ ฉยงซังย้ายความสนใจไปเข่นฆ่ามารที่อยู่ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง แต่เผชิญหน้ากับมารธรรมดาระดับพื้นฐานเหล่านี้ยังคงไม่มีอะไรยาก
ฆ่าไปฆ่ามา กองทัพมารมากมายตรงหน้าของเขาก็ถูกทะลวงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“คนกลุ่มที่สามยังรอดอยู่ไหม” บนเนินเขาที่อยู่ไม่ไกลมีเสียงตะโกนดังมา
ฉยงซังหันไปมอง แล้วพยายามเข่นฆ่าไปยังเนินเขาลูกนั้น
ภัยพิบัติมารอุบัติขึ้นอย่างกะทันหัน ทัพอาทิตย์เจิดจ้าของราชสำนักรับมือไม่ทัน ถูกลอบโจมตีบดขยี้จนเสียคนไปเกือบครึ่งในเวลาสั้นๆ คนที่เหลืออยู่ใกล้จะแตกพ่ายแล้ว
ทัพอักขระมืดที่มาทีหลังรวบรวมทัพที่หลงเหลือ และส่งคนไปเรียกตัวยอดฝีมือในหมู่ผู้คนเพื่อรับมือกับภัยพิบัติมารด้วยความจนปัญญา
ฉยงซังเข้าร่วมสงครามในสถานการณ์เช่นนี้
……………………………………….