ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 404 ไพ่ตาย (2)
บทที่ 404 ไพ่ตาย (2)
ฉยงซังใช้วิธีการพิเศษ ‘ทำลายรูปโฉม’ ตอนนี้จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร เพียงรู้ว่าเป็นเด็กน้อยธรรมดาที่มีท่าร่างไม่เลวคนหนึ่ง นอกจากนี้คล้ายมีสายเลือดสุดหยั่งส่วนหนึ่งด้วย
ฉยงซังเหนื่อยล้าอยู่บ้างขณะเข่นฆ่าไปยังเนินเขาลูกนั้น สู้มาติดต่อกันสามชั่วยามกว่าๆ ล้วนทุ่มเทสุดกำลัง ต่อให้มีกำลังกายที่แข็งแกร่งกว่านี้ เขาก็มีพลังฝึกปรือไม่สูงพอ การที่ทนไม่ได้จึงถือว่าปกติเช่นกัน
“เป็นอย่างไร” เด็กหนุ่มผมสีทองและดูหล่อเหลาคนหนึ่งเข่นฆ่าออกมาจากกลางฝูงมาร ก่อนจะคว้าไหล่ของเขา แล้วกระโดดขึ้นทันที
ทั้งสองหมุนตัวข้ามศีรษะมารกลุ่มใหญ่ แล้วทิ้งตัวลงด้านหน้าเนินเขาแห่งนั้นได้อย่างง่ายดาย
“ไม่เป็นไร แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น” ฉยงซังรีบก้มตัวลงหอบหายใจเพื่อฟื้นฟูกำลังกาย เด็กหนุ่มผมทองผู้นี้คืออันจิ่ว สหายที่เขาคบหาในการสู้รบช่วงนี้
“ระวังหน่อย ทางพวกเรามีคนเหลือไม่มากแล้ว ทัพมารยังมีกำลังสนับสนุนอยู่อีก…” อันจิ่วเตือนอย่างจริงจัง
“อือ” ฉยงซังเงยหน้าขึ้น หมุนตัวไปมองหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปด้านหลัง ด้านในหุบเขาสีแดง ผู้เหี้ยมหาญที่สวมชุดคลุมสีเหลืองกับอาภรณ์สีดำหลายกลุ่มกำลังขวางมารกลองที่คิดจะบุกเข้าหุบเขา
มารที่พวกเขาสู้รบด้วยเป็นมารไม่กี่ตนที่หลงกลุ่มมา กำลังหลักที่แท้จริงกับแม่ทัพมารถูกสามสำนักใหญ่ที่อยู่ตรงปากหุบเขาด้านหน้าสกัดเอาไว้
“นั่นคือยอดฝีมือของสามสำนัก เมื่อกี้ได้ยินเหล่าหลิวบอกว่ามีแม่ทัพมารถูกฆ่าไปไม่น้อยแล้ว แต่ก็มียอดฝีมือสามสำนักหลายคนเสียชีวิตเช่นกัน การสู้รบดุเดือดจริงๆ” อันจิ่วรำพึง
ฉยงซังทอดตามองไกล เห็นกลุ่มคนสีเหลืองกับสีดำกั้นกระแสคลื่นสีดำด้านหน้าไว้อย่างแน่นหนาอยู่ด้านหน้าปากหุบเขาสีแดงเหมือนกับทำนบ เลือดเนื้อและแขนขากองสุมกันเป็นภูเขาเลากา
แสงสีขาวและแสงสีทองหลายสายระเบิดขึ้น ห่อหุ้มหมอกควันสีดำกับเปลวไฟไว้พร้อมกับหายไปด้วยกัน
“แม่ทัพโจวแห่งทัพอักขระมืดเพิ่งถ่ายทอดคำสั่งลงมาว่า ต้องการให้เราป้องกันอีกครึ่งชั่วยาม ครึ่งชั่วยามให้หลังจะต้องมีการสนับสนุนแน่” อันจิ่วกล่าวเสียงแผ่ว
“ครึ่งชั่วยามหรือ” ฉยงซังเป็นพระโอรส จึงได้รับการสั่งสอนศาสตร์การรบพื้นฐาน เวลานี้เขามองสมาชิกกลุ่มที่อยู่รอบๆ ตนเองด้วยรอยยิ้มขื่นขม บวกกับเขาแล้วมีทั้งหมดสิบสองคน สิบสองคนเฝ้าบนที่ราบแบบนี้ ทนได้ถึงครึ่งก้านธูปก็ไม่เลวแล้ว
มารอย่างน้อยหลายร้อยตนลอบโจมตีจากด้านล่างขึ้นด้านบน คิดจะสังหารคนบนเนินเขาให้หมด
เสียงประหลาดเหมือนเสียงสุนัขเห่าและเสียงกะทิงคำรามดังสลับกันอยู่ข้างหู ทำให้รู้สึกกระสับกระส่าย สงบจิตใจไม่ได้
ฉยงซังยิ้มฝาดเฝื่อน ยื่นมือไปลูบรอยนูนระหว่างทรวงอกกับช่องท้องของตัวเอง
นั่นเป็นที่ที่อาวุธเทพหมื่นแปรผันอยู่ และเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาถูกขับออกจากราชสำนัก และโดนใส่ร้ายป้ายสี
ก่อนออกเดินทาง เทียนเหอเต้าจ่างได้อธิบายสถานการณ์ในตอนนี้อย่างละเอียด ฉยงซังรู้ว่าใครบ้างที่ไม่ได้วางแผนการเล่นงานเขา ใครบ้างเป็นคนร้ายที่ไล่ตามไม่ยอมลดละ และคอยจับตามองเขาเหมือนสุนัขล่าเนื้อ
“เจ้ายังลังเลอยู่อีกหรือ…กลัวว่าหลี่ซุ่นซีจะหลอกเจ้าใช่หรือไม่” เสียงบุรุษหนุ่มที่สงบราบเรียบดังขึ้นในหัวสมองของเขา “หรือกลัวว่าคนที่เขาแนะนำให้เจ้าจะมีปัญหา”
“ล้วนไม่ใช่ ข้าเพียงกำลังคิดว่า ถ้าตายลงที่นี่ บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ จะได้สลัดหลุดจากทุกสิ่ง แค้นของน้อง แค้นของท่านแม่ และคนที่ทำร้ายข้าเหล่านั้น…ไม่ต้องสนใจอะไรอีกแล้ว” ฉยงซังหลับตา “ข้าเหนื่อยมาก…”
“ในเมื่อยังเชื่ออยู่ อย่างนั้นเจ้าจำคำพูดที่หลี่ซุ่นซีเคยบอกกับเจ้าได้หรือไม่” เสียงนั้นกล่าวอย่างราบเรียบ “คนอ่อนแอกลายเป็นคนแข็งแกร่ง ก่อนจะมีพลังปกป้องตัวเอง จะต้องคิดหาวิธียืมพลังและสภาวะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การที่เจ้ามีข้า เป็นทั้งโชคร้ายและโชคดี ทุกคนมีสิทธิ์บอกว่าเหนื่อยได้ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ไม่มีสิทธิ์”
“ข้ารู้…ข้าเพียงแค่กังวลว่า…คนคนนั้นจะยินดีช่วยพวกเราจริงๆ หรือ” ฉยงซังเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“ผู้ใดทราบเล่า ในเมื่อหลี่ซุ่นซีทำนายแล้ว อย่างนั้นนี่ก็เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าในตอนนี้ เห็นแก่ที่เขาเคยมีความสัมพันธ์เก่าๆ กับมารดาของเจ้า เขาไม่ควรเห็นความตายโดยไม่ช่วยเหลือแน่” เสียงบุรุษกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“ท่านลุงหมื่นแปรผัน…ถ้าหากเขาเกิดความโลภ…”
“อย่างนั้นพวกเราก็ไปตายด้วยกัน” เสียงของบุรุษเอ่ยอย่างไม่นำพา คล้ายกับไม่สนใจความเป็นความตายแม้แต่น้อย มันก็คืออาวุธเทพหมื่นแปรผัน อาวุธเทพระดับสุดยอดที่ก้าวข้ามขอบเขตเทวปัญญาในตำนาน สำหรับผู้ถืออาวุธ มันมีพลังน่ากลัวถึงขีดสุด ใกล้เคียงกับอริยะเจ้า สำหรับอริยะเจ้า พลังของมันมีคุณค่ามหาศาลให้พิจารณาศึกษา
ถึงขั้นที่มีค่าอยู่บ้างสำหรับเจ้าแห่งอาวุธ
แต่สหายที่มันยอมรับกลับเป็นองค์ชายที่ธรรมดาๆ และอ่อนแอเกินบรรยายอย่างฉยงซัง
“พอแล้ว ส่งสัญญาณเถอะ อย่าเสียเวลา” หมื่นแปรผันเร่ง
ฉยงซังได้แต่หาข้ออ้างกับอันจิ่วอย่างจนปัญญา แล้วพุ่งลงไปเข่นฆ่าต่อ กลับไม่ทราบว่าในมือของเขามีหยกสีดำชิ้นหนึ่งโผล่มาตอนไหน
หยกชิ้นนั้นกะพริบแสงสีดำอ่อนๆ มีอีกาที่เหมือนมีปากงอกตรงหน้าอกตัวหนึ่งอยู่ด้านบน ดวงตาสีแดงฉานเรืองแสงสีแดงจางๆ
ฉยงซังยิ่งฆ่ายิ่งออกห่าง ค่อยๆ ผละจากเนินเขาแห่งนั้น จนกระทั่งทะลวงทัพมารกลุ่มนี้เข้าไปซ่อนตัวในป่าเล็กที่อยู่ท่ามกลางความมืด
เขาหยิบหยกขึ้นมา กัดนิ้วชี้และหยดเลือดหยดหนึ่งลงใส่ผิวของมัน
ฉ่า…
เลือดพลันกลายเป็นควันดำลอยขึ้น ก่อนจะสลายไปกลางอากาศ
ไม่นานนักก็มีเงาดำพร่ามัวพุ่งมาจากที่ไกล
พรึ่บ
เงาดำพลันทิ้งตัวลงด้านหน้าฉยงซัง กลายเป็นหญิงสาวงดงามที่ผิวราวกับสลักเสลาจากหยก
นางสวมกระโปรงรัดเอวสีดำที่แขวนไข่มุกไว้เต็มไปหมด ผมยาวถึงไหล่ ดวงตาดุจดวงดาว ผิวขาวผ่องดูบริสุทธิ์หมดจดกว่าเดิมภายใต้การขับเน้นของกระโปรงสีดำ
“อะไรน่ะ เป็นเพียงสุกรตัวหนึ่งหรือนี่!” หลังจากเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นมนุษย์ ดวงตางดงามที่ตอนแรกมีความคาดหวังอยู่บ้างของหญิงสาวพลันเปลี่ยนเป็นผิดหวังอย่างมาก
“ข้านึกว่าคนที่ท่านพ่อให้มารับตัวเป็นบุคคลสำคัญใด นึกไม่ถึงว่าจะเป็นมนุษย์สุกรคนหนึ่ง น่าเบื่อ!”
ฉยงซังค่อยสังเกตเห็นเขาสีน้ำตาลที่โค้งงอเหมือนกับแพะภูเขาบนศีรษะของหญิงสาว แสดงว่านางไม่ใช่มนุษย์ หากเป็นเผ่ามาร
“ข้า…ข้า…” เขาพูดอึกอัก เดิมภาษาพิภพมารก็ไม่ดีเท่าไหร่ กอปรกับตอนนี้ถูกดูถูก จึงรู้สึกคับข้อง เป็นเหตุให้ติดอ่าง
“เป็นคนติดอ่างอีก! ล้อเล่นหรืออย่างไร เพื่อสุกรติดอ่างตัวหนึ่ง ท่านพ่อถึงกับให้ข้ามารับด้วยตัวเอง จะไม่ทำลายแผนการใหญ่ของท่านตาหรอกหรือ!?” หญิงสาวตบหน้าฉยงซังอย่างแรง
เพี๊ยะ!
แก้มขาวผ่องของฉยงซังพลันบวมขึ้นมา เขาโซเซถอยหลังหลายก้าว แสดงสีหน้าอัปยศอดสู
“น่ารำคาญๆๆ! น่ารำคาญจริงๆ! ไปแล้ว!” หญิงสาวหมุนตัวเดินไป โบกมือเล็กทีหนึ่ง พลันปล่อยหมอกสีดำออกมาห่อหุ้มฉยงซังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งไปยังที่ไกล
แต่บินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่
ตุบๆ!
เสียงหัวใจขนาดยักษ์ที่เต้นอย่างรุนแรงเหมือนใกล้แค่คืบก็ดังขึ้นข้างหูทั้งสองพร้อมกัน
“แย่แล้ว! พวกระดับสุดยอดกำลังสู้กัน รีบใช้วิชาด้ายทองผนึกหทัยเร็ว!” อาวุธเทพหมื่นแปรผันหน้าเปลี่ยนสี รีบกล่าวเร่ง
ฉยงซังไม่กล้าประมาท หลับตาทำสมาธิ ปิดกั้นจิตใจ ปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งห้า ปิดกั้นวิญญาณทันที พร้อมกับนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่เหมือนคนตาย
หญิงสาวกระโปรงดำก็ทราบถึงอันตรายเช่นกัน ใบหน้าเล็กซีดขาว นั่งขัดสมาธิตามอย่างรวดเร็ว หมอกสีดำรอบๆ ตัวห่อหุ้มนางไว้
ตุบๆ!
เสียงหัวใจขนาดยักษ์ดังขึ้นอีกครั้ง ดังไปทั่วเนินเขาหลายสิบลูกที่อยู่ใกล้ๆ ดังไปทั่วสนามรบรัศมีหลายสิบลี้
“ข้ามาถึงแล้ว เซียวจื่อจู๋ ไสหัวออกมา!” เสียงบุรุษทุ้มต่ำที่ทั้งยิ่งใหญ่และสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงดังไปถึงที่ซึ่งอยู่ห่างไปหลายร้อยลี้ราวกับอัสนีบาต
ท้องฟ้ายามราตรีเหมือนกับมีไฟเผาไหม้เมฆ นภามากกว่าครึ่งถูกแสงสีแดงทองอาบย้อมจนกลายเป็นสีแดง
อุณหภูมิในอากาศสูงขึ้นจนร้อนลวก หากแต่อากาศชื้นขึ้นเร็วกว่า
ต่อให้ฉยงซังกับหญิงสาวกระโปรงดำจะปิดกั้นประสาทสัมผัสแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงถูกความรู้สึกกดดันอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวนั้นบีบอัดส่วนลึกของสายเลือดอย่างต่อเนื่อง จนเหงื่อกาฬไหลซึมออกมาจากบนใบหน้าและร่างกายอยู่ดี
ทว่าสิ่งที่แตกต่างก็คือ ความกดดันนี้ส่งผลไปที่เผ่ามารมากกว่า ในเหงื่อบนร่างหญิงสาวถึงขั้นเริ่มมีกลิ่นคาวเลือดแทรกอยู่
“ดูเถอะ นี่ก็คือเจ้าในอนาคต เป็นขอบเขตที่เจ้าต้องไปให้ถึง…” เสียงทุ้มต่ำของหมื่นแปรผันดังสะท้อนในใจฉยงซังเช่นกัน
แม้เขาจะปิดกั้นการรับรู้ แต่ก็ยังมีภาพและเสียงที่ถูกหมื่นแปรผันส่งเข้ามา จึงเห็นภาพด้านนอกได้อย่างชัดเจน
“ถ้าหากเจ้าสำเร็จขอบเขตนี้ ต่อให้เป็นทั่วทั้งต้าอิน ก็ไม่มีที่ใดที่ไปไม่ได้ แม้แต่การครอบครองร่างหลักของข้า ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ยุ่งยากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จัดการนิดเดียวก็สำเร็จได้แล้ว…” หมื่นแปรผันรำพึง นี่คือการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติที่พลังนำมา
ความกดดันในท้องฟ้าสีแดงก่ำหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ มารที่อยู่บนเนินเขาด้านล่างเกิดตุ่มพุพองจากความร้อนผุดขึ้นทั่วทั้งตัว เกลือกกลิ้งพลางส่งเสียงร้องโหยหวนบนพื้น มนุษย์ดีกว่าเล็กน้อย ขอแค่นั่งขัดสมาธินิ่งๆ ก็จะไม่ได้รับอันตราย
หลังสัมผัสได้ว่าไม่เป็นไร ฉยงซังจึงค่อยๆ ปลดผนึก แล้วใช้ประสาทสัมผัสของตัวเองมองดูเหตุการณ์ด้านนอก
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าสีแดง ไอหมอกยักษ์สีทองผสมสีแดงกลุ่มหนึ่งพลิกม้วนอยู่กลางอากาศ กลายเป็นรูปงูมีปีกขนาดหลายร้อยหมี่ พร้อมกับคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวไปยังที่ไกล
มีเงาคนเล็กๆ ยืนอยู่บนหัวงูมีปีก ทอดตามองไปไกลเช่นกัน
พายุโหมกระหน่ำ ไม่ทราบว่าในอากาศมีกลีบดอกไม้สีดำเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ตั้งแต่เมื่อใด
กลีบดอกไม้พลิกตัวบินฉวัดเฉวียน ลอยผ่านศีรษะของพวกฉยงซัง ข้ามผืนป่า ข้ามร่องน้ำ ข้ามทัพมารสนับสนุนกลุ่มใหญ่ที่เร่งรุดมาถึง แล้วตกลงไปในมือบุรุษผมยาวคนหนึ่งอย่างแผ่วเบา
บุรุษผมยาวเงยหน้ามองงูมีปีกสีแดงทองที่อยู่ไกลออกไป เขาสวมชุดคลุมสีดำซึ่งด้านหลังปักลวดลายตะขาบสีขาวตัวใหญ่
“ก็มาแล้วไม่ใช่หรือ” เงามืดบนใบหน้าบุรุษค่อยๆ ถูกแสงสีแดงสาดส่อง เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาหมดจดจนสง่างามอยู่บ้าง
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะแตกต่างจากร่างหยินของเซียวจื่อจู๋ซึ่งลู่เซิ่งเคยเห็น ทว่าทั้งสองฝ่ายที่หันหน้าเข้าหากันโดยอยู่ห่างกันหลายสิบลี้ กลับจดจำออกทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ตนต้องการตามหา
“ดาบจงมา!” เขาพลันตวาด
ด้านหลังมีแม่ทัพมารเดินประคองดาบฟันม้าขนาดยักษ์ที่ยาวถึงสี่หมี่กว่าๆ เล่มหนึ่งเข้ามาให้
นางสนมเผ่ามารสองนางถอดเสื้อคลุมบนร่างเขาลงอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นเกราะดำน่ากลัวที่สวมใส่อย่างเรียบร้อยกับผ้าคลุมยาวตัวหนาข้างใน
พอเซียวจื่อจู๋กำดาบฟันม้า ร่างกายก็สั่นไหวทีหนึ่ง
ครืน!
กรวดหินดินทรายทั่วฟ้าพลันกระจัดกระจาย ไอดำพลิกม้วน ตะขาบยักษ์สีดำสนิทที่สวมเกราะศิลามุดดินออกมา แบกเขาพุ่งสู่ฟากฟ้า แล้วพุ่งไปยังทิศทางของลู่เซิ่ง
“ตาย!”
เซียวจื่อจู๋ฟันดาบออกไป ปราณมารอันบ้าคลั่งพลิกม้วนออกมารวมตัวเป็นดาบยักษ์ยาวหลายร้อยหมี่ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกัน ก่อนจะฟันใส่ลู่เซิ่งอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
“คนที่ควรตายคือเจ้า!” ลู่เซิ่งหัวเราะลั่น ร่างขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลัน เปลวไฟสีแดงทองนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากบนร่าง ไฟสีทองจำนวนมากหดตัวกลายเป็นยักษ์เพลิงที่สูงมากกว่าร้อยหมี่ตนหนึ่ง
ยักษ์เพลิงคว้าแขนสี่ข้างเข้าหาดาบยักษ์จากสี่ทิศทาง
เปรี้ยง!
สองฝ่ายปะทะกัน ดอกบัวขนาดมหึมากึ่งโปร่งแสงพลันระเบิดออกมา ค่อยๆ บานออกรอบๆ คนทั้งสอง
ท้องฟ้าสั่นสะเทือน เมฆโลหิตระเบิดเป็นรูกลมขนาดต่างๆ นับไม่ถ้วน
“ท้องฟ้า ผืนดิน ฝนเลือด เสียงโหยหวน! จงร้องไห้ จงร้องไห้ จงร้องไห้เถอะ!” แขนสี่ข้างของลู่เซิ่งจับดาบฟันม้าไว้ ร่างถูกฟันแยกเป็นรอยเลือดขนาดใหญ่ แต่เขาไม่สะทกสะท้าน เพียงหัวเราะลั่นพลางท่องบทสวดที่ไม่ทราบเอามาจากไหนเสียงดัง
แกร๊ก
อยู่ๆ ก็เกิดเสียงแตกร้าวดังขึ้นเบาๆ
เซียวจื่อจู๋สีหน้าเปลี่ยนไป ในที่สุดก็เกิดสังหรณ์ร้าย เขากวาดตามองรอบๆ กลับพบฝ่ามือสี่ข้างของคนร่างยักษ์จับคันฉ่องแตกหลายชิ้นไว้แน่น
“เจ้าถึงกับกล้า!”
แกร๊ก
เกิดเสียงแตกร้าวดังมาอีกรอบ
ตูม!
แสงสีเทาแยงตากลุ่มหนึ่งพลันขยายตัว พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มคนทั้งสองไว้พร้อมกัน ก่อนจะหายไปในอากาศ
……………………………………….