ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 406 ความชั่วร้าย (2)
บทที่ 406 ความชั่วร้าย (2)
‘เพียงแต่สิ่งที่นึกไม่ถึงก็คือ แม้จะใช้วิธีที่ถูกต้องในการกระตุ้นประตูแห่งความเจ็บปวดแล้ว แต่ขณะที่เล่นงานอีกฝ่ายก็เล่นงานตัวเองเหมือนกัน…’ ลู่เซิ่งมองอาคารหลังใหญ่ที่เหมือนกับตึกเรียนอันมืดครึ้มด้านหน้า พร้อมกับยกมือมองชิ้นส่วนคันฉ่องกลางฝ่ามือ ไม่ได้เลือกเดินเข้าไป
เขาสังหรณ์ว่าถ้าเดินเข้าไป เกรงว่าหากคิดจะออกจากโลกแห่งความเจ็บปวดอย่างปลอดภัยอีก คงยากเย็นแล้ว…
ชิ้นส่วนคันฉ่องกลางฝ่ามือกำลังลุกไหม้ เผาไหม้ตัวเองจนขนาดลดลงอย่างต่อเนื่องเหมือนกับกระดาษที่ถูกเผา
ลู่เซิ่งเกิดความรู้สึกว่า ในตอนที่ชิ้นส่วนคันฉ่องเผาไหม้จนหมด จะเป็นเวลาที่ตนออกจากที่นี่
เซียวจื่อจู๋นึกไม่ถึงโดยเด็ดขาดว่าเขาจะมีวิธีออกจากที่นี่ แม้แต่ตัวลู่เซิ่งก็ยังคิดไม่ถึงเช่นกันว่าชิ้นส่วนของประตูแห่งความเจ็บปวดที่แตกแล้วยังมีความสามารถนี้อยู่อีก
“ไม่เข้าไปหรือ” อยู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงสตรีแหบแห้งดังขึ้นมา
ลู่เซิ่งได้สติ รู้สึกเสียวสันหลัง คล้ายกับเจอการคุกคามที่อันตรายถึงขีดสุด
เขาค่อยๆ รักษาความเยือกเย็นเท่าที่จะทำได้ แล้วหมุนตัวไป ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าชิ้นส่วนคันฉ่องกลางฝ่ามือลุกไหม้เร็วขึ้น
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเป็นสตรีผมสั้นวัยกลางคนที่สีหน้าไร้อารมณ์ และสวมชุดคนธรรมดาสีเทา
ดวงตาไร้ประกายของนางจ้องมองเขาอย่างซึมเซา
“มาถึงที่นี่ทั้งที จะไม่เข้าไปดูหรือ” นางเอ่ยอีกรอบ
แม้ไม่รู้ว่าใช้ภาษาอะไร แต่ลู่เซิ่งก็เข้าใจถ้อยคำของนาง
“ท่านคือใคร” เขาขมวดคิ้วถาม
“ข้าเห็นบาปบนตัวเจ้าแล้ว พวกมันช่างเข้มข้น อัดแน่น ยิ่งใหญ่…” สตรีวัยกลางคนเอ่ยเสียงขรึม “มีแต่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่จะล้างบาปบนตัวเจ้าได้ จงเข้าร่วมกับพวกเราเถอะ เจ้ามีศักยภาพ”
“พวกท่าน? พวกท่านคืออะไร ศักยภาพคือสิ่งใด” ลู่เซิ่งถามกลับเสียงทุ้มอย่างรวดเร็ว
“พวกเรา…คือคนบาป แต่พวกเราตามหาแก่นสาร ตามหาความจริงของทุกสิ่ง…เจ้าเรียกพวกเราว่าพันธมิตรทมิฬก็ได้” สตรีวัยกลางคนตอบกลับอย่างเฉยชา “ลู่เซิ่ง พวกเราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า มารดาแห่งต้นกำเนิดมองเจ้ามาโดยตลอด มาเถอะ มาร่วมกับพวกเรา…”
นางค่อยๆ ยื่นมือไปถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งมองฝ่ามือของนาง กลางฝ่ามือมีบาดแผลที่ถูกแทงทะลุอันชัดเจน แผลเป็นขนาดต่างๆ นับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วผิวมือ ลามไปถึงแขนท่อนปลาย
“พันธมิตรทมิฬ…” ลู่เซิ่งฉุกใจ “ท่านยังไม่ตอบข้าว่าศักยภาพคืออะไร เหตุใดข้าจึงมีศักยภาพ”
สตรีวัยกลางคนชักมือกลับ
“พวกเราเห็นการติดต่อทั้งสามครั้งของเจ้ากับพวกเรา โลกไม่มีเหตุที่ไร้ที่มาที่ไป และไม่มีผลที่ไร้ที่มาที่ไปเช่นกัน ในการติดต่อทั้งสามครั้ง เจ้าสามารถเอาตัวรอดได้โดยไม่ถูกควันเทากัดกร่อน นี่คือคุณสมบัติ”
ลู่เซิ่งไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร เขาเคยติดต่อกับโลกแห่งความเจ็บปวดสามครั้งจริงๆ แต่ไม่รู้สึกถึงการคุกคามใดๆ ต่อตนเอง
ครั้งหนึ่งมีการล่อลวงให้ตนเดินเข้าไป แต่เขาก็ไม่ได้ทำตาม
ครั้งที่สองเพียงแค่พบเจอโดยบังเอิญเท่านั้น
ครั้งที่สามมีแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาจับเขา เป็นแขนเน่าเฟะที่สักถ้อยคำมุ่งร้าย สุดท้ายถูกเขาหักทิ้งไป
“อย่างนั้นคนแบบไหนจึงนับว่าเป็นคนที่มีคุณสมบัติ แล้วถ้าข้าเข้าร่วมกับพวกท่านจะได้รับอะไร” ลู่เซิ่งถามอีก
ดูท่าทางอีกฝ่ายจะตั้งใจมาหาเขาโดยเฉพาะ อันตรายในโลกแห่งความเจ็บปวดไม่มีสิ่งใดให้สงสัย แม้เขาจะมีพลังกล้าแข็ง แต่ก็ต้องระวังตัวแล้วระวังตัวอีก
“คนที่ไม่พอใจทุกสิ่ง และอยากเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง” นางตอบ
คำตอบนี้ทำให้ลู่เซิ่งตกใจทันที
เขาพลันหวนนึกถึงความคิดที่อยากเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ตอนสมัยยังอยู่ต้าซ่ง แม้นั่นจะเป็นความคิดวู่วามที่เกิดขึ้นเพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเท่านั้น ทว่าความนึกคิดกับความปรารถนาในตอนนั้นกลับถูกโลกแห่งความเจ็บปวดค้นพบ…
นี่ทำให้เขาเคร่งเครียดกว่าเดิม
“โลกใบนี้จำเป็นต้องแก้ไข แก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหมดที่ได้ทำลงไป” สตรีวัยกลางคนพึมพำ เสียงทุ้มต่ำไม่เหมือนกำลังพูดกับเขา แต่เหมือนกำลังพูดกับตัวเอง
ลู่เซิ่งไม่ได้ถามว่าถ้าเขาไม่เข้าร่วมแล้วจะเป็นอย่างไร เขาสังหรณ์ว่าเกิดถามคำถามนี้ จะต้องก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายสุดขีดแน่
“จงเลือกเถอะ” สตรีวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นจ้องเขาอย่างซึมเซาอีกครั้ง
ลู่เซิ่งมองสตรีตรงหน้า อยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอันตรายที่ทำให้ขนพองสยองเกล้า ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย ความคิดทำงานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพิจารณามาตรการรับมือที่อาจปรากฏในภายหลังทุกรูปแบบ
เนิ่นนานให้หลัง ในที่สุดเขาก็พยักหน้าช้าๆ
“ได้ ข้าจะเข้าร่วม”
สตรีวัยกลางคนพลันยิ้ม
รอยยิ้มของนางเจิดจรัสยิ่ง ทั้งๆ ที่เป็นแค่ใบหน้าซึ่งธรรมดาถึงขั้นเฉยชาอยู่บ้าง ทว่าพอมีรอยยิ้มนี้ประดับ พริบตาเดียวก็งดงามขึ้นเหลือประมาณ ถึงขั้นมอบความรู้สึกแปลกๆ ให้
“จงจดจำชื่อของข้าเอาไว้ ข้าชื่อสือจื้อซิง (ดาวกางเขน)”
พริบตาที่เสียงมุดเข้าหูลู่เซิ่ง ชิ้นส่วนคันฉ่องกลางฝ่ามือของเขาพลันลุกไหม้เร็วกว่าเดิม แล้วหายสาบสูญไปแทบจะในชั่วเสี้ยววินาที
ตรงหน้าพร่ามัว ครั้นลู่เซิ่งได้สติกลับมาอีกครั้ง ตัวเองก็กลับมาอยู่บนสมรภูมิรบเหนือหุบเขาธารแดงแล้ว
เซียวจื่อจู๋ตรงหน้าเขาก็กลับมาแล้วเหมือนกัน แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ เซียวจื่อจู๋ลืมตาโตมาก ม่านตาแตกซ่านเล็กน้อย มุมปากยังหลงเหลือรอยยิ้มปรารถนาที่พึงพอใจ ร่างลอยค้างอยู่กลางอากาศ คล้ายกับตอนนี้ไม่ได้กำลังต่อสู้อยู่ หากกำลังชื่นชมทัศนียภาพงดงามอันน่าอัศจรรย์
พอเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ตอนที่ลู่เซิ่งกำลังจะระบายลมหายใจอย่างโล่งอก และกำลังจะเอ่ยปากนั่นเอง
จู่ๆ เซียวจื่อจู๋ก็เอ่ยปากก่อน
“ร่างกายนี้ไม่คุ้นชินอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไร ใช้ได้ในช่วงเวลานี้พอดี ลู่เซิ่งข้าขอกลับไปก่อน จงจำไว้ด้วยว่าจะต้องมาร่วมพิธีรวมตัวที่จัดปีละครั้ง หากไม่มา ผลลัพธ์จะร้ายแรงยิ่ง”
เขายิ้มด้วยสีหน้าแปลกประหลาด หมุนตัวอย่างติดๆ ขัดๆ เล็กน้อย ก่อนจะบินไปยังทิศทางของทัพมาร
ลู่เซิ่งมองเงาร่างของเขาที่ผละจากไป จิตใจพลันเย็นเยียบอยู่บ้าง เป็นเพราะเสียงของเซียวจื่อจู๋เมื่อครู่กลับเหมือนเสียงของสตรีประหลาดชื่อสือจื้อซิงผู้นั้นทุกประการ…
เขารู้สึกทันทีว่าตนเองวู่วามเกินไปหรือไม่ที่ไปเปิดประตูแห่งความเจ็บปวดเข้า เซียวจื่อจู๋จะต้องไม่ใช่เซียวจื่อจู๋คนเดิมอย่างเด็ดขาด เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะถูกวิญญาณอีกดวงหนึ่งเข้าแทนที่
‘ผู้เข้มแข็งระดับจ้าวแห่งมารคนหนึ่งถูกแทนที่อย่างไร้สุ้มเสียงแบบนี้เลยหรือนี่’ ลู่เซิ่งพลันเข้าใจว่าเหตุใดสามสำนัก ต้าอิน หรือแม้กระทั่งพิภพมารจึงกริ่งเกรงโลกแห่งความเจ็บปวดขนาดนี้
นี่ไม่ใช่พลังระดับเดียวกันแล้ว
เขาลอยอยู่กลางอากาศ ก้มมองฝ่ามือตัวเอง ชิ้นส่วนคันฉ่องหายไปแล้ว แต่มีตัวหนังสือคำว่าชั่วร้ายที่ชัดเจนเพิ่มขึ้นมา
เขาทดลองใช้แก่นหยางลบตัวหนังสือสีดำตัวนี้ ทว่าคำว่าชั่วร้ายก็ยังคงประทับอยู่บนผิวฝ่ามืออย่างแจ่มชัด เขารู้สึกได้ว่าคำคำนี้มีแรงฉุดซึ่งพร้อมจะฉุดเขาไปยังโลกแห่งความเจ็บปวดได้ในทุกเวลาแฝงอยู่
ขอแค่หาสถานที่ที่มีคันฉ่องเจอ
‘ลำบากแล้ว…’ ลู่เซิ่งจิตใจหนักอึ้ง แม้จะแก้ไขสภาพจนตรอกได้แล้ว แต่ว่าการเข้าร่วมกับพันธมิตรทมิฬที่ลึกลับพิสดารก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน
‘จริงสิ ทุกคนในพันธมิตรทมิฬสามารถทำการติดต่อลับๆ ในระยะห่างสั้นๆ ได้ผ่านคำคำนี้ ทว่าเงื่อนไขก็คือห้ามเปิดเผยความลับต่อหน้าเจ้าแห่งอาวุธ อย่าลืมเล่า’ เสียงของสือจื้อซิงดังมาไกลๆ ก่อนจะมุดเข้าไปในสมองลู่เซิ่งโดยตรงอีกครั้ง
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าเคร่งขรึมขณะลอยอยู่กลางอากาศ พอก้มหน้าลงเห็นทัพพันธมิตรสามสำนักที่เริ่มโห่ร้องอยู่เบื้องล่าง เขาก็ชูมือขึ้น
“ถอนทัพ!” เมื่อสั่งเสร็จแล้ว ศิษย์สามสำนักทั้งหมดก็พากันถอนกำลังกลับไปยังค่ายของตัวเองเหมือนกับกระแสน้ำ ทิ้งหุบเขาซึ่งเป็นสมรภูมิที่เต็มไปด้วยซากศพเอาไว้
“และจงอย่าลืมว่า แม้พลังของกฎเกณฑ์จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังสู้ต้นกำเนิดไม่ได้ เจ้าแห่งอาวุธเป็นการดำรงอยู่ที่สัมผัสถึงต้นกำเนิด อย่าได้พูดคำนี้ต่อหน้าพวกเขาเชียว…” เสียงของสือจื้อซิงดังมาจากคำว่าชั่วร้ายเข้ามาในห้วงสมองอีกครั้ง
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ไม่สนใจเสียงโห่ร้องชมเชยของเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสสำนักเดียวกันที่อยู่รอบๆ หากแต่หลังจากตีหน้ารับมือสักพัก เขาก็ผละจากหุบเขาธารแดงและบินไปยังเขตจันทราสารทอย่างรวดเร็ว
แก้ไขสภาพจนตรอกแล้ว ทว่าพันธมิตรทมิฬที่โผล่มาอย่างกะทันหันทำให้เขารับมือไม่ทัน
เขาต้องตรวจสอบข้อมูลมากกว่านี้เพื่อดูว่าจะหาวิธีจัดการได้หรือไม่ สถานการณ์ที่ตอนแรกเรียบง่าย ลึกลับซับซ้อนขึ้นในทันทีหลังจากพันธมิตรทมิฬโผล่มา
พลัง…
พลังของเขาในตอนนี้ไม่พอใช้อีกต่อไป จักรพรรดิมารเหวยลา เซียวจื่อจู๋ พันธมิตรทมิฬ ปัญหาที่ปรากฏล้วนเหนือกว่าขอบเขตความสามารถในการรับมือของเขาไปแล้ว
ถ้าหากยังคงรักษาระดับในตอนนี้ไว้อยู่ ภายหลังจะเกิดอะไรขึ้น ได้แต่ฝากให้โชคชะตาจัดการจริงๆ แล้ว
…
หลายวันต่อมา
ในสมรภูมิหุบเขาธารแดง ลู่เซิ่งกับผู้เข้มแข็งระดับสูงสุดของเผ่ามารต่างบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ลู่เซิ่งเอาชนะมาได้อย่างฉิวเฉียด กดดันทัพมารถอยหลัง ข้อมูลนี้กระจายไปทั่วนครเขตทุกแห่ง ถึงขั้นที่นครจังหวัดเกิดความตื่นตัวและส่งคนมาถามไถ่สถานการณ์การต่อสู้
ลู่เซิ่งรับมือการซักถามของเฉินจิ้งจืออย่างขอไปที จากนั้นพอกลับไปถึงอารามก็เข้าสถานที่เก็บหนังสือ แล้วพลิกอ่านบันทึกของโลกแห่งความเจ็บปวดและพันธมิตรทมิฬอย่างบ้าคลั่งทันที
ไม่นานผนึกในเขตถ่ายทอดความลับก็ถูกปลดออก เมื่อมาถึงเวลานี้ ผู้ถืออาวุธของหน่วยอาทิตย์โลหิตสองคนจึงค่อยมาหาด้วยตัวเอง และบอกว่าจะพาเขาไปพบอริยะเจ้าอย่างกระอักกระอ่วน ทว่าถูกลู่เซิ่งปฏิเสธ สถานที่ที่พวกเขาจะไปพบอริยะเจ้ามีชื่อว่าน้ำตกทองคำ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่อยู่ติดกับเจ้าแห่งอาวุธในเขตถ่ายทอดความลับ
ถ้าหากสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ถูกเจ้าแห่งอาวุธค้นพบโดยความบังเอิญ เช่นนั้นจะอเนจอนาถอย่างแท้จริงแล้ว
กล่าวได้ว่าผู้คนในต้าอินล้วนเป็นศัตรูกับพันธมิตรทมิฬ แม้จะลึกลับแข็งแกร่ง แต่ปกติกลับเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทางการไล่ล่า
ข้อมูลที่ลู่เซิ่งเจอในอารามบอกไว้ว่า ตอนที่พันธมิตรทมิฬปรากฏตัวเป็นครั้งแรกสุด สมาชิกที่อยู่ในพันธมิตรทมิฬบอกว่าโลกสกปรกโสมม ชีวิตทุกชีวิตแบกรับบาปนับไม่ถ้วน มีแค่ความเจ็บปวดเท่านั้นจึงจะชำระล้างบาปได้ ดังนั้นพันธมิตรทมิฬจึงได้สร้างองค์กรที่เรียกว่าลัทธิสุรเสียงทมิฬ แล้วเริ่มประกาศหลักคำสอนอันแปลกประหลาดอย่างบ้าคลั่ง
ตอนแรกต้าอินเพียงมองพวกเขาเป็นลัทธิธรรมดาๆ อย่างมากสุดก็แค่หลักคำสอนที่ประกาศมีความแปลกอยู่บ้างเท่านั้น
ทว่าคดีหนึ่งที่เกิดขึ้นในภายหลังทำให้โลกมนุษย์และพิภพมารล้วนเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพันธมิตรทมิฬ
นั่นคือในฤดูหนาวปีหนึ่งที่ไม่ได้มีการบันทึกเวลาอย่างเป็นรูปธรรม
ลัทธิสุรเสียงทมิฬรวบรวมคนหนึ่งหมื่นห้าพันกว่าคน พวกเขาต่างถอดเสื้อผ้า เชื่อมต่อกายเนื้อ เบียดอัดกัน และเกี่ยวแขนขาเข้าด้วยกันในหุบเขาแห่งหนึ่ง
คนเกือบหนึ่งหมื่นห้าพันคน ทั้งบุรุษ สตรี คนแก่ เด็ก ทั้งหมดใช้ร่างกายของตัวเองก่อเป็นเรือร่างเนื้อลำหนึ่งเหมือนกับตัวต่อไม้
เจ้าลัทธิคนหนึ่งของลัทธิสุรเสียงทมิฬใช้เปลวไฟสีดำที่มีชื่อว่าเจียเผาตัวเรือ คนมากกว่าหมื่นคนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟโดยไม่ส่งเสียง ก่อนจะหายตัวไปอย่างลึกลับ
พิธีที่ชั่วร้ายนี้ถูกเรียกว่านาวาเนื้อ หลังจากนั้นมาก็เกิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง ถึงขั้นคนที่เข้าร่วมไม่ได้มีแค่คนธรรมดา แต่ยังมียอดฝีมือระดับพันธนาการที่มีสายเลือด หรือแม้กระทั่งผู้เข้มแข็งระดับปฐมปฐพีด้วย
นี่สร้างความตื่นตัวและความหวาดกลัวให้แก่ต้าอินและสามสำนัก
คนจำนวนมากหายตัวไปอย่างลึกลับ ในนี้ถึงขั้นมียอดฝีมือจากขุมกำลังใหญ่ๆ นี่ส่งผลคุกคามต่อการปกครองของต้าอินอย่างร้ายแรงแล้ว
ดังนั้นการกวาดล้างพันธมิตรทมิฬครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้น
……………………………………….