ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 419 ออกแบบ (1)
บทที่ 419 ออกแบบ (1)
พลังทางสายเลือดของตระกูลหยวนกวงมีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นหงส์ ทว่าความจริงเป็นการใช้ร่างสมบูรณ์ของเจ้าแห่งอาวุธผู้คุ้มครองตระกูลเป็นภาพทรงจำ
เมื่อเจ้าแห่งอาวุธไปถึงระดับนั้น จะไม่อยู่ในสภาพของมนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป หากมีความสามารถระดับสุดยอดหลากหลาย
พอกายเนื้อแข็งแกร่งเท่ากับอาวุธเทพระดับสูงสุด วิญญาณจะก้าวข้ามอาวุธเทพศัสตรามาร แล้วไปถึงขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยมีมาก่อน กล่าวได้ว่าเป็นขีดจำกัดของมนุษย์โลก
ดังนั้นสัญลักษณ์ลวดลายของตระกูลหยวนกวงจึงกลายเป็นรูปหงส์ไปด้วย
สายเลือดบนร่างผู้สันดาปทุกคนที่กระจายอยู่ด้านนอกจะปรากฏสภาพหงส์ที่เหี้ยมหาญขึ้นในเงื่อนไขพิเศษ
เป็นเพราะมาจากสายเลือดเจ้าแห่งอาวุธระดับพื้นฐาน ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครควบคุมสายเลือดของตัวเองได้โดยสมบูรณ์ และไม่เคยเจอผู้สันดาปคนไหนสะกดสายเลือดของตัวเองได้มาก่อน
เพราะฉะนั้นการกระทำของลู่เซิ่งในนาทีนี้จึงไม่เพียงแค่ทำให้หลายๆ คนจากตระกูลหยวนกวงตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่สหายจากพรรคอื่นๆ ที่มาด้วยกันกับพวกเขา รวมถึงจิ่งหงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อ้าปากตาค้างเช่นกัน
“เอาล่ะ พวกเรามาพูดถึงหัวข้อเมื่อครู่ต่อดีกว่า” หลังจากลู่เซิ่งควบคุมสายเลือดสันดาปแล้ว ก็มองไปยังจิ่งหงอีกครั้ง “หลักการอะไร ข้าไม่เห็นด้วย มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ยึดมั่นหลักการ เจ้าคิดว่าตัวเองมีศิษย์มากพอหรือไม่เล่า”
จิ่งหงผุดสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงรู้ว่าวันนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว จึงค่อยๆ ยืดตัวตรง สองมือทำท่าประหลาดคล้ายจะออกหมัด
“คร่าวิญญาณ!”
ลู่เซิ่งยกมือขึ้น ปราณดาบสายหนึ่งพุ่งออกไป แสงสีทองกลายเป็นดาบยาวสีเทาในมือของเขา จากนั้นก็ข้ามผ่านระยะห่างหลายสิบหมี่ฟันใส่ร่างจิ่งหงที่หลบไม่ทันอย่างหนักหน่วง
“มุทราโผพุ่ง!” จิ่งหงพุ่งไปด้านหน้าแล้วต่อยออกไป
ตูม!
ดาบยาวที่เรืองแสงสีทองฟันใส่หมัดลุ่นๆ ของจิ่งหงอย่างรุนแรง เยื่อบางกึ่งโปร่งแสงหนาชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างกลางคนทั้งสอง ตัดเยื่อดำโปร่งแสงระหว่างแสงสีทองและหมัดขาดออกจากกัน
“ไม่เลวนี่ ถึงกับป้องกันไว้ได้เชียว” ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นอีกครั้ง “อย่างนั้นเจ้ามาดูว่ากระบวนท่านี้เป็นอย่างไร” คร่าวิญญาณเป็นกระบวนท่าธรรมดาที่เขาเคยปรับปรุงในอดีต แม้จะมีอานุภาพไม่เลว แต่ในสภาพนี้ ไม่สามารถแสดงพลังทั้งหมดของลู่เซิ่งได้ อย่างน้อยก็เป็นระดับกายเนื้อในสภาพหยินโชติช่วงเท่านั้น
ทว่าแค่นี้ก็น่ากลัวพอแล้ว
“ถ้าหากเจ้าไม่มีแผนการอื่นอีก อย่างนั้นก็ไปตายเถอะ” ลู่เซิ่งกางมืออีกครั้งแล้วทำท่าคว้าออกไป หมายจะจับตัวจิ่งหง
จิ่งหงสองตาแดงฉาน ถูกหมัดกระแทกถอยหลังไปสองก้าว ตอนนี้พอได้ยินดังนั้น บนคอของเขาก็เริ่มปรากฏสัญลักษณ์สีดำสนิทที่เหมือนกับอักขระคาถามากมาย สัญลักษณ์จำนวนมากหมุนวนรอบคอของเขาด้วยความเร็วสูง
คางคกสองหัวสีม่วงอมดำตัวหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังเขา บนตัวคางคกมีเปลวไฟสีดำที่อัปมงคลกำลังลุกไหม้อยู่
“บรรทัดสันดาปฟ้า ต้องรบกวนเจ้าอีกแล้ว” จิ่งหงกล่าวเสียงทุ้มพร้อมกับกระอักเลือดออกมา พลังของคนที่อยู่ตรงหน้าแข็งแกร่งจนน่ากลัว เขาอยู่ใกล้เคียงระดับอริยะเจ้าแล้ว แต่ยังถูกเล่นงานจนอวัยวะภายในเกือบเลื่อนจากตำแหน่ง เดิมทีคิดว่าจะใช้กายเนื้อที่ภาคภูมิใจ กระนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายกลับไร้ประโยชน์เหมือนตุ๊กตาผ้า
“ให้ข้าออกมาแต่แรกก็จบแล้ว” คางคกสองหัวกล่าวเสียงทุ้มอย่างหงุดหงิด ก่อนจะอ้าปากยิงลำเพลิงสีดำใส่ลู่เซิ่ง
ฟู่ว!
ลำเพลิงและเสียงแหวกลมทุ้มต่ำวาดผ่านอากาศ มีความเร็วน่าทึ่งมาก พุ่งเข้าหาลู่เซิ่งอย่างรุนแรงเหมือนกับลิ้นที่คางคกดีดออกมา
“คร่าวิญญาณไร้ขอบเขต!”
ลู่เซิ่งต่อยหมัดออกไปอย่างไม่นำพา
กายเนื้อและพละกำลังอันเหี้ยมหาญระเบิดความเร็วและพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมาด้วยการกระตุ้นจากกระบวนท่าคร่าวิญญาณ เดิมทีกระบวนท่านี้สามารถเพิ่มระดับความเร็วและพละกำลังหลายเท่าได้ในพริบตาเดียว แต่ด้วยกายเนื้อในตอนนี้ของลู่เซิ่ง จึงไปถึงขีดจำกัดแล้ว พื้นที่ที่คร่าวิญญาณยกระดับได้เหลืออยู่ไม่มาก อย่างน้อยก็มีแค่ห้าส่วน หรือก็คืออานุภาพครึ่งหนึ่ง
ทว่าต่อให้เป็นความเร็วและพละกำลังแบบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จิ่งหงจะทนได้ ยิ่งอย่าว่าแต่เป็นอานุภาพที่ใช้แก่นหยางปล่อยออกมาสุดกำลังในสภาพหยินโชติช่วงด้วย
เปรี้ยง!
ลำเพลิงสีดำถูกกระแทกสลายไป ลู่เซิ่งพุ่งหมัดออกมาใส่ทรวงอกของคางคกสองหัวดุจสายฟ้าฟาด
เกิดเสียงดังสนั่น คางคกกับจิ่งหงกระเด็นออกไป เลือดหลายกลุ่มระเบิดจากบนร่าง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…!?” คางคกสองหัวบรรทัดสันดาปฟ้าส่งเสียงสงสัยอย่างเหลือเชื่อ ร่างกายที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งและอ้วนพีถูกกระแทกจมยุบลงไปเป็นรอยเว้าใหญ่
จิ่งหงกระอักเลือดออกมาคำเล็กๆ สองมือกอดคางคกไว้ หนึ่งคนหนึ่งเดรัจฉานหลอมรวมเข้ากับแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่ง และเริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว
“กงจักรเพลิงวายุสังหาร!”
ทั้งสองกลายเป็นกงจักรเปลวเพลิงขนาดยักษ์สีดำอมม่วงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายหมี่ พร้อมกับพุ่งเข้ามาหาลู่เซิ่งอย่างดุดัน
กงจักรเพลิงยังมาไม่ถึง พลังทั้งหมดในอาณาเขตสิบกว่าหมี่รอบๆ ก็ถูกสนามพลังบิดเบี้ยวที่อธิบายไม่ได้สายหนึ่งครอบคลุมเอาไว้ บุรุษอาภรณ์ขาวที่ถูกสนามพลังไปด้วยร้องตกใจ เยื่อดำบนร่างถูกทำลายไปส่วนเล็กๆ อย่างไร้สุ้มไร้เสียง เขาที่ตกใจจึงรีบถอยหลังออกไปไกลกว่าเดิม
เด็กสาวสองคนของตระกูลหยวนกวงค่อยทราบว่าจิ่งหงกับลู่เซิ่งที่สู้กันอยู่ในตอนนี้อันตรายขนาดไหน ตอนแรกเป็นเพราะมองดูอยู่ไกลๆ อีกทั้งพลังยังรวมตัวกันในระดับสูง จึงเห็นไปว่าอานุภาพไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่ ไม่ต่างอะไรกับการต่อสู้ของยอดฝีมือระดับพันธนาการธรรมดา
สำหรับคนในตระกูลที่ตระกูลหยวนกวงส่งมาด้านนอกเพื่อตามหาทายาทของตระกูล และสำหรับผู้คนจากพรรคดารดาษซึ่งเป็นพรรคอันดับหนึ่งจากราชธานีอินตูแล้ว พลังเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นอะไร ทุกคนต่างเป็นคนจากตระกูลใหญ่ ย่อมมีไพ่ตายอันแข็งแกร่งเฉพาะตัว
ทว่าตอนนี้เมื่อเข้าใกล้แล้ว ทุกคนจึงค่อยกระจ่างว่า ที่แท้การต่อสู้ของจิ่งหงกับลู่เซิ่งไม่ได้รวบรัดอย่างที่เห็น
บุรุษอาภรณ์ขาวที่พลังจัดอยู่ในอันดับสามของกลุ่มเพียงถูกลูกหลงจากการโจมตีของคนผู้นั้นที่อ่อนแอกว่า เยื่อดำก็สลายไปทันทีจนเกือบได้รับบาดเจ็บสาหัส
เยื่อดำที่ได้รับความเสียหาย หมายถึงร่างกายสูญเสียพลังฟื้นตัวและพลังป้องกันส่วนใหญ่ไป เดิมทีเยื่อดำก็คือพลังชีวิตในลักษณะที่เป็นรูปธรรม หากว่าได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จะทำให้เจ้าของตกสู่สภาพกึ่งพิการ สารกาย ปราณ จิตจะหมดลงจนไม่เหลือใช้ไปด้วย
“เพลิงสีดำนั่น…นั่นคือบรรทัดสันดาปฟ้า! เป็นคนทรยศในตำนานผู้นั้นที่หลบหนีจากตระกูลจิ่งในราชธานีอินตูหรือนี่!?” สตรีอ่อนโยนที่เป็นผู้นำกลุ่มคนสวมอาภรณ์ขาวสีหน้าเปลี่ยนแปลงทันที นางจดจำเบื้องหลังของคางคกสองหัวที่อยู่ข้างกายจิ่งหงได้
“ไม่ได้มองผิดไปหรือพี่ย่วน” พอได้ยินถึงบรรทัดสันดาปฟ้า บุรุษวัยกลางคนในหกคนก็สีหน้าผกผันครั้งใหญ่ ถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนทันที
“ไม่ผิดแน่! บิดาของสหายสนิทจากตระกูลจิ่งคนหนึ่งของข้าตายในความวุ่นวายครั้งนั้น!” สตรีอ่อนโยนเอ่ยเสียงจริงจังหนักแน่น
“บรรทัดสันดาปฟ้า…นั่นมัน นั่นมันอาวุธเทพนี่ แถมยังเป็นระดับเทวปัญญาอีกต่างหาก…ล้อเล่นหรือไร” ตอนนี้หญิงสาวที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มคนไม่มีวาจาอำมหิตแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือความกังวลและความหวาดกลัว
“หรือว่าสองคนนี้…อย่างน้อยก็เป็นผู้ถืออาวุธระดับสุดยอด” คนหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ตามติดพันเด็กสาวซึ่งอยู่ใกล้ๆ กล่าวเสียงสั่น
ไม่มีใครตอบ ทุกคนนึกว่าตนเองมีการเตรียมตัวและไพ่ตายพร้อมแล้ว ครั้งนี้การรับมือเรื่องเหนือความคาดหมายขณะออกเดินทางไม่น่ามีปัญหา แต่เพิ่งมาถึงสถานที่ที่สอง ก็เจอสถานการณ์ที่ตึงมือขนาดนี้แล้ว
“ถอย! ถอยก่อน!” หยวนกวงย่วนสตรีอ่อนโยนตัดสินใจทันที พอเห็นทั้งสองคนสู้กันอยู่ก็ออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
คนที่เหลือไม่มีคำพูดโต้แย้ง ทั้งหกคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วโดยกลับไปยังเส้นทางขามา
ถ้าหากเป็นผู้ถืออาวุธระดับปฐพีกำเนิดทั่วไป พวกเขาผนึกกำลังกันรับมือได้ไม่มีปัญหา ทว่าถ้าทายไม่ผิด คนผู้นี้เป็นผู้ใช้อาวุธระดับสุดยอด แถมยังเป็นผู้ถือครองด้วย
แม้แต่จิ่งหงยังถูกกดดันขนาดนี้ อย่างนั้นคนที่อยู่ตรงข้าม…
หยวนกวงย่วนจิตใจปั่นป่วน การพาผู้สันดาปกลับตระกูลเป็นภารกิจของนางกับหยวนกวงฉินผู้เป็นศิษย์น้อง คนอื่นๆ เป็นเพียงศิษย์พี่ศิษย์น้องที่มาช่วยสนับสนุนเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะเจอเหตุการณ์ตึงมือขนาดนี้เข้า
ถ้าหากคนผู้นั้นเป็นผู้สันดาปจริงๆ พบเจอพลังที่กล้าแข็งปานนั้นจะต้องรายงานข้อมูลให้แก่ตระกูลทันที!
พอนางนึกได้ ก็พาทุกคนถอยไปด้วยความเร็วสูง พร้อมกับมองไปยังคนทั้งสองที่ยังสู้กันอยู่
เปรี้ยง!
เปรี้ยง!
เปรี้ยง!
จิ่งหงตะเกียกตะกายอย่างยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อจากนั้นก็ใช้เปลวเพลิงอันแข็งแกร่งของบรรทัดสันดาปฟ้า เดิมทีเพลิงสีดำที่สามารถเผาทำลายทุกสิ่งชนิดนี้มีพิษรุนแรง ถึงขั้นเผาเหล็กกล้าให้กลายเป็นเหล็กเหลวได้ แถมยังมีผลลัพธ์อย่างน่าทึ่งต่อพวกแก่นมารหรือแก่นจริงแท้อีกต่างหาก
บวกกับพลังสายเลือดจำเพาะของตระกูลจิ่ง สนามพลังพิเศษที่สามารถหักล้างพลังพิเศษทุกชนิดได้ เมื่อความสามารถสองอย่างประสานกัน อานุภาพจึงแข็งแกร่งจนแทบอยู่เหนือความเข้าใจ
ทว่าตอนที่เผชิญหน้ากับลู่เซิ่ง เมื่อเปลวไฟสีดำเผาไหม้ร่างของเขา แม้แต่เส้นขนก็ยังไม่ถูกเผาไปแม้แต่เส้นเดียว สนามพลังพิเศษของตระกูลจิ่งนั้นก็ไม่มีผลต่อเขาเช่นกัน มันช่างอ่อนแอเสียจนเพียงสะกดการระเบิดแก่นจริงแท้ของลู่เซิ่งได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หยวนกวงย่วนมองแต่ไกล สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่จิ่งหงถูกต่อยกระเด็นออกไปปะทะกับต้นไม้แล้วไถลลงครั้งแล้วครั้งเล่า
“คนผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”
มู่ซานหยวนโอรสของจวินฉินอ๋องจากราชธานีอินตู ซึ่งเป็นบุรุษอายุมากที่อยู่ด้านข้างพึมพำ
“เทียบกันแล้ว พวกเรามาห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่า พวกท่านนึกว่าคนผู้นั้นไม่ทราบถึงต้นกำเนิดของสายเลือดแห่งผู้สันดาปหรือ เขาจะต้องรู้แต่แรกแล้วอย่างแน่นอน แต่สาเหตุที่ไม่สนใจ อาจจะเป็นเพราะไม่นำพาว่าตัวเองจะเป็นผู้สันดาปของตระกูลหยวนกวงหรือไม่โดยสิ้นเชิง” บุรุษอีกคนในกลุ่มเอ่ยอย่างเยือกเย็น เป็นคนหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ก่อนหน้านี้ถูกศิษย์น้องเล็กหยวนกวงฉินหยามเหยียดเรียกเป็นหลานชายนั่นเอง
คนหนุ่มผู้นี้มีสีหน้าแน่วแน่ ต่อให้เห็นจิ่งหงที่ถูกเล่นงานจนสะบักสะบอม ก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย เพียงแต่ค้นหาวีธีเอาตัวรอดอย่างใจเย็นที่สุดเท่านั้น
“ข้าไม่คิดว่าพวกเราจะหนีจากการต่อสู้ไปได้อย่างราบรื่นแบบนี้ คนผู้นั้นไม่ลงมือที่เหลาสุรา หากมาขวางทางสังหารที่นี่ เห็นได้ว่าจะต้องมีเป้าหมายที่ไม่อยากให้ใครรู้แน่ ส่วนพวกเราที่มาเจอการเคลื่อนไหวของพวกเขาโดยบังเอิญ…เกรงว่าจะไม่สามารถหนีรอดไปได้อย่างง่ายดายขนาดนี้” คนหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าหยวนกวงสุ่น แต่เขาไม่ใช่ทายาทของตระกูลหยวนกวงสายตรง หากเป็นคนจากบ้านรองอันเป็นสายนอกของตระกูลหยวนกวง
บ้านรองสายนอกที่ว่าก็คือการที่คนในตระกูลไปแต่งงานกับคนภายนอกแล้วให้กำเนิดคนที่ไม่ได้ปลุกสายเลือดให้ตื่น จากนั้นก็ไปแต่งงานกับคนภายนอกแล้วให้กำเนิดทายาทที่ไม่อาจปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้อีก
สายเลือดสันดาปบนร่างพวกเขาเบาบางจนน่ากลัว อาจเป็นเพราะพลังทางสายเลือดสายตรงของสามตระกูลใหญ่แข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นสายเลือดของบ้านรองจึงอ่อนแอยิ่งกว่าตระกุลขุนนางธรรมดาเสียอีก
นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หยวนกวงสุ่นไม่มีตำแหน่งในตระกูล
“เช่นนั้นเจ้าว่าควรทำอย่างไร” หยวนกวงย่วนรีบถาม นางค่อนข้างเชื่อถือคนผู้นี้ แม้เขาจะมีพลังต่ำไปบ้าง แต่ก็เฉลียวฉลาดกว่าหยวนกวงฉินน้องสาวที่ขี้ออดอ้อนและเอาแต่ใจมาก
“ดึงเป็นพวก!” หยวนกวงสุ่นกล่าวเสียงทุ้ม “ห้ามไปไหน! ห้ามวัดดวง ทำไม่ได้เด็ดขาด! ตอนนี้ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ฆ่าคนปิดปาก และกริ่งเกรงพลังของตระกูลเบื้องหลังพวกเราแล้ว”
“คร่าวิญญาณ”
ตูม!
ลู่เซิ่งต่อยจิ่งหงจนกระอักเลือดและกระเด็นเข้าไปในหน้าผาแข็งแกร่งด้านหลังอย่างหนักหน่วง
……………………………………….