ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 427 ปฐมพลัง (1)
บทที่ 427 ปฐมพลัง (1)
พิภพมาร
ใกล้กับวังจักรรพรรดิด้านทิศเหนือ น้ำตกโลหิตสีแดงที่สูงใหญ่แห่งหนึ่งตกลงมาจากบนหน้าผาสูงหลายสิบหมี่ น้ำโลหิตที่บ้าคลั่งและร้อนลวกตกลงไปในบ่อน้ำด้านล่างอย่างหนักหน่วง เป็นเหตุให้กลิ่นของฟองโลหิตที่เหม็นสาบจำนวนมากกระเซ็นขึ้นมา
จักรพรรดิมารเหวยลานั่งอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่สีดำด้านหน้าน้ำตก เกราะอ่อนสีขาวซีดเหมือนทำขึ้นจากกระดูก ไม่มีความแวววาวสะท้อนแสงแม้แต่น้อย ทั้งยังเหมือนมีไอความตายแฝงอยู่ในความมืดมัว
ฟ้าว!
ด้านหลังเขาพลันมีลำแสงสีแดงสองสายตกลงมาอย่างรวดเร็ว ปรากฏเงาร่างกำยำที่คุกเข่าข้างเดียวสองสาย “หมี่เก๋อหลู่เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ”
ผู้ที่อยู่ด้านหน้าคือหมี่เก๋อหลู่บุรุษกำยำที่สูงสามหมี่ แต่ไม่มีดวงตา เขาเป็นหนึ่งในขุนนางดวงดาวที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นหนึ่งในสามจ้าวแห่งมารแนวหน้าของวังมารทิศเหนือด้วย
“ไม่มีข่าวมานานเกินไปแล้ว” เหวยลาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “จนถึงตอนนี้ภารกิจที่ข้ามอบให้ซูจื่อจู๋ก็ยังไม่สำเร็จเช่นกัน และไม่มีข่าวส่งกลับมา เกรงว่าเขาจะเกิดเรื่องแล้ว”
“…อัคคีวิญญาณยังคงอยู่ จ้าวแห่งมารซูสมควรยังไม่เป็นไร” ในฐานะจ้าวแห่งมารระดับสุดยอด หมี่เก๋อหลู่มีสิทธิ์เข้าไปตรวจสอบอัคคีวิญญาณของเผ่ามารทั้งหมดในส่วนลึกของวังจักรพรรดิมาร
“ถูกต้อง ชีวิตของเขายังอยู่ แต่จิตวิญญาณไม่ใช่ของเขาแล้ว” จักรพรรดิมารเหวยลาเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าจงไป นำของสิ่งนั้นไปตรวจสอบด้วย ถ้าหากเกิดเรื่องจริงๆ ให้กลับมาทันที ข้าจะจัดการเอง”
หมี่เก๋อหลู่ก้มหน้า
“ตามพระประสงค์”
เหวยลาไม่โกรธง่ายเหมือนยามปกติ เป็นเพราะเขาเริ่มกลัวแล้ว
เขารู้จักพลังของซูจื่อจู๋ดี จ้าวแห่งมารระดับสุดยอด หากระเบิดพลังทั้งหมดจะเป็นระดับเทวปัญญา ในจักรวรรดิต้าอินมีไม่กี่คนเท่านั้นที่เทียบเคียงกับเขาได้ แต่ตอนนี้กลับเปิดปัญหาขึ้นอย่างไร้เค้าลาง แถมยังหยุดอยู่ในพื้นที่เล็กๆ แห่งหนึ่งของต้าอินไม่ยอมกลับมา ถึงขั้นที่แย่งชิงสิทธิ์ควบคุมทัพในอาณาเขตเล็กๆ แห่งนั้นไปอีก
…
อารามพันอาทิตย์เขตจันทราสารท
ลู่เซิ่งนั่งในห้องลับ มือยัดอาวุธเทพหลายชิ้นใส่ปากของตัวเอง
กร้วม
เขากัดคมอาวุธหักอย่างง่ายดาย หลังจากเคี้ยวหลายครั้งก็กลืนลงท้องอย่างสบายๆ ใบหน้าฉายแววพึงพอใจ
พลังอาวรณ์จำนวนมากทะลักเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายน้ำ
ลู่เซิ่งมองดาบโค้งในมือ นอกจากดาบสดับฟ้า นี่เป็นอาวุธเทพชิ้นสุดท้ายแล้ว อาวุธชิ้นที่เหลือถูกเขากลืนกินจนหมด พลังอาวรณ์เพิ่มขึ้นถึงสามหมื่นกว่าๆ เขาพร้อมแล้วสำหรับการยกระดับไฟหยินครั้งต่อไป
ท้องฟ้าด้านนอกห้องลับค่อยๆ มืดลง ลู่เซิ่งไม่สนใจเสียงครวญครางครั้งสุดท้ายของดาบโค้งอาวุธเทพ หากแต่ยัดด้ามดาบเข้าไปในปาก แล้วเคี้ยวคำโต ไม่นานก็กลืนลงท้อง นับว่ามื้ออาหารเย็นครั้งนี้จบลงแล้ว
สุดท้ายก็หยิบดาบสดับฟ้าขึ้นมาจากพื้นด้านหน้า ลู่เซิ่งพิจารณาอาวุธเทพที่สือจื้อซิงระบุว่าต้องการเล่มนี้อย่างละเอียด
ทั้งๆ ที่เป็นอาวุธเทพใบไม้ทองคำทั่วไป แต่ไม่ทราบว่าทำไมสือจื้อซิงจึงต้องการอาวุธเทพชิ้นนี้
ขณะถือดาบสดับฟ้า ลู่เซิ่งก็สัมผัสพลังของอาวุธเทพอันมหัศจรรย์ในตัวมันอย่างละเอียด
‘ความเร็วกับการหลบหลีก นี่คือความสามารถพิเศษของดาบสดับฟ้าเหรอ’ ลู่เซิ่งเหมือนเห็นหูคนขนาดยักษ์ลอยอยู่กลางพื้นที่แห่งนี้อย่างช้าๆ ความเร็วและการหลบหลีกที่เขาสัมผัสได้คือสิ่งพิเศษสองอย่างของหูคนขนาดมหึมาข้างนี้
‘เป็นเพราะไม่มีการทำพันธะสัญญากัน เลยไม่อาจเห็นสิ่งที่อยู่ลึกลงไปอย่างอื่นได้ แต่ว่าพลังอาวุธเทพระดับนี้ หรือกฎเกณฑ์หลักแบบนี้ไม่น่าทำให้สือจื้อซิงสนใจสิ’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ‘ถึงแม้จะมีความสามารถทางคุณสมบัติที่ไม่เลวอย่างความเร็วกับการหลบหลีกที่หายาก แต่สัดส่วนที่สองความสามารถนี้ครอบครองในดาบสดับฟ้ามีไม่มากนัก แถมยังมีผลพิเศษธรรมดาๆ มากมายกายก่อง แต่ไม่ถึงระดับกฎเกณฑ์หลัก สำหรับจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งสุดๆ ของอริยะเจ้าแล้ว ผลพิเศษและความสามารถธรรมดาเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย’
ผลพิเศษชนิดโจมตีไม่ใช่กฎเกณฑ์หลัก อริยะเจ้าส่วนใหญ่ต้านทานได้โดยตรง เหมือนกับสนามพลังปั่นป่วนจิตใจของเราก่อนหน้านี้‘ ตอนนั้นเขาอยากจะทดลองดูเหมือนกัน ไม่แน่ว่าจะเจอเวลาที่อีกฝ่ายอ่อนแอถึงขีดสุดได้ น่าเสียดายที่ล้มเหลวแล้ว
‘กฎเกณฑ์หลักก็คือกฎเกณฑ์หลัก ผลพิเศษที่เหลือยังจะเกิดผลต่อคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับอริยะเจ้า แต่มีประโยชน์ไม่มากนักต่อระดับอริยะเจ้า มีแต่ผลพิเศษส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ช่วยเสริมกฎเกณฑ์หลักของตนที่อาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ไม่เลว’ ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว
ตอนนี้ในเมื่อจัดการภารกิจเสร็จแล้ว เขาก็สมควรเข้าไปส่งมอบภารกิจในโลกแห่งความเจ็บปวดสักที
หลังตรวจสอบรอบๆ อย่างละเอียด และยืนยันว่าไม่มีความสามารถตรวจดูแล้ว เขาจึงค่อยส่งแก่นหยางหลายสายเข้าไปกลางฝ่ามือ
ซู่…
ทุกสิ่งตรงหน้ากลายเป็นสีเทาอย่างรวดเร็ว ตรงหน้าลู่เซิ่งพร่ามัว พริบตาเดียวก็มายืนอยู่ตรงประตูเมืองเล็กๆ แล้ว
ในเมืองยังคงว่างเปล่าไร้ผู้คน ต่อให้จะเป็นบริวารของสือจื้อซิงกับผู้อยู่อาศัยในเมืองแห่งนี้ ก็ไม่เห็นสักคนเดียว
ลู่เซิ่งซึ่งคุ้นชินทางแล้ว จึงเจอตึกเล็กๆ สี่ชั้นที่มีเอกลักษณ์แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
สาวเท้าก้าวเข้าที่ว่างของตัวลานด้านนอกตึกอย่างรวดเร็ว เขาพลันหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนจะเบือนหน้ามองไปยังมุมอันว่างเปล่าที่อยู่ไม่ไกลออกไป
‘ตรงนั้น…เหมือนจะมีอะไรบางอย่าง…’ ลู่เซิ่งเกิดความสงสัยในใจ จิตวิญญาณของเขาไม่อาจตรวจสอบได้ว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงมุมมุมนั้นเมื่อครู่คืออะไร
ทว่าตอนนี้เขากำลังจะส่งมอบภารกิจ เรื่องอื่นต้องรอไว้ก่อน
ลู่เซิ่งละความสนใจกลับมา ก่อนจะเดินไปยังตัวตึกทีละก้าวๆ
ท้องฟ้าสีเทาในโลกแห่งความเจ็บปวดสาดส่องราวจับบันไดข้างๆ ลู่เซิ่ง บันไดถูกแบ่งเป็นสีขาวกับสีเทา
ลู่เซิ่งเดินขึ้นตึกมาถึงห้องที่สองของชั้นสามโดยไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย
สือจื้อซิงสวมชุดคลุมสีดำ สัญลักษณ์รูปกางเขนสีขาวขนาดใหญ่ติดอยู่กลางหลัง กำลังหันหลังให้เขา มือถือม้วนกระดาษม้วนหนึ่ง เงียบงันไม่พูดจา
“ใต้เท้า โชคดีที่ไม่ทำให้ผิดหวัง” ลู่เซิ่งโยนดาบสดับฟ้าไปด้านหน้าเบาๆ ปล่อยให้มันลอยอยู่กลางอากาศระหว่างทั้งสองเหมือนง่ายดายเพียงยกมือ
“ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอีกสองคนเล่า” สือจื้อซิงหมุนตัวมา พอเห็นดาบสดับฟ้า ใบหน้าก็ฉายแววพึงใจ นางเพียงแค่ถามถึงอีกสองคนอย่างขอไปทีเท่านั้น
“ไม่ทราบ นอกจากร่วมมือกับพวกเขาทำการไล่ล่าในครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่เจออีกเลย” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าน้อยๆ “เมื่อไม่มีการช่วยเหลือจากอาวุธเทพสองชิ้น ข้าก็ไม่อาจสังหารอีกฝ่าย จึงได้แต่ทุ่มเดิมพัน หลังจากชนะอย่างหวุดหวิดถึงเอาอาวุธเทพชิ้นนี้มาได้ในที่สุด”
เขาไม่รู้ว่าทำไมดาบสดับฟ้าธรรมดาๆ เล่มนี้ถึงได้เป็นอาวุธเทพสำเร็จรูปที่ได้รับการบ่มเพาะสำเร็จ แต่นี่กลับไม่ส่งผลต่อคำวิจารณ์ที่สือจื้อซิงมีต่อการทำภารกิจสำเร็จของเขา
“ยอดเยี่ยมมาก” สือจื้อซิงหันมาจับดาบสดับฟ้า ใบหน้าฉายแววเคลิบเคลิ้มอันราบเรียบ “เป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบดีจริงๆ…” นางพึมพำเบาๆ แม้จะยังใช้ร่างกายของซูจื่อจู๋ แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับเหมือนอิสตรีสุดขีด
“ถ้าหากใต้เท้าไม่มีเรื่องใด อย่างนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน” ลู่เซิ่งเอ่ยเบาๆ
“รอเดี๋ยว” สือจื้อซิงเรียกลู่เซิ่งไว้ ก่อนจะหยิบจานกลมลายขาวดำขนาดเท่านาฬิกาข้อมือออกมาจากในแขนเสื้อ แล้วโยนมาให้
ลู่เซิ่งรับไว้พร้อมกับพิจารณาจานกลมใบนี้อย่างละเอียด
ขอบโค้งเป็นสีดำสนิท ตรงกลางเป็นกรอบสีขาวสลับดำนับไม่ถ้วนเหมือนกับตาราง ด้านหลังมีสิ่งของที่เหมือนเข็มติดอยู่
“เครื่องประดับหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“ถูกต้อง เครื่องประดับ” สือจื้อซิงยกดาบสดับฟ้าขึ้น ชื่นชมลู่เซิ่งอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “ภารกิจในปัจจุบันของเขตลัทธิอัคคีกางเขนในเมืองอักขระทมิฬสำเร็จแล้วเป็นส่วนใหญ่ ในเวลาต่อจากนี้ พวกเราสามารถพักผ่อนได้แล้ว ทั้งหมดนี้อย่างน้อยลู่เซิ่งเจ้าก็ได้ทำความดีความชอบถึงสามส่วน”
“เป็นการเพราะการบ่มเพาะและโอกาสที่ใต้เท้ามอบให้” ลู่เซิ่งก้มหน้ากล่าวถ่อมตน
“ไม่ต้องถ่อมตนไป นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับ” สือจื้อซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เครื่องประดับในมือเจ้าใช้ได้ทั้งหมดสองครั้ง ข้าใส่พลังทั้งหมดลงไปแล้ว สามารถทำให้คนบรรลุสัญลักษณ์ของปฐมได้ มันจะช่วยให้เจ้าก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น และช่วยให้ยกระดับวิญญาณไปถึงระดับที่สูงกว่าเดิม”
“ปฐมหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง “นี่คือ…?”
“เจ้ามีชาติกำเนิดจากโลกภายนอก อาจจะไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นพวกเราผู้ใช้วิชาชั่วร้าย อริยะเจ้าหรือเจ้าแห่งมารในโลกมนุษย์หรือพิภพมาร เมื่อไปถึงตอนสุดท้าย สิ่งที่ต้องตามหาคือแหล่งกำเนิดของพลังชนิดหนึ่ง หากบอกว่ากฎเกณ์หลักคือกฎของพลัง อย่างนั้นปฐมก็คือต้นกำเนิดที่สามารถควบคุมพลังชนิดนั้นๆ ได้หลังจากที่คลำกฎออก นี่เป็นทิศทางที่เจ้าต้องมุ่งไปในอนาคต และเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมซูจื่อจู๋ถึงแข็งแกร่งกว่าเจ้ามากมายขนาดนั้น” สือจื้อซิงพอใจในตัวลู่เซิ่งมาก เทียบกับผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องคนอื่นๆ ซึ่งเป็นบริวารโง่งั่งแล้ว ลู่เซิ่งมีประสิทธิภาพในการทำภารกิจให้สำเร็จสูงสุดขีด อาจจเป็นเพราะว่าเขาปกปิดสถานะได้ดี และอาจเป็นเพราะความสามารถของเขาตรงไปตรงมามาก
กระนั้นไม่ว่าจะเป็นแมวดำหรือแมวขาว ขอแค่จับหนูได้ก็เป็นแมวที่ดี สือจื้อซิงไม่สนใจว่าจะใช้วิธีอะไร ขอแค่เขาทำภารกิจสำเร็จก็พอ
“พลังแห่งปฐม…” ลู่เซิ่งพึมพำ เขารู้ถึงความเสียเปรียบของตัวเองดี ตอนที่ยังไม่ได้เปิดเผยสถานะ เขามีโอกาสเข้าเป็นระดับสูงของสำนักพันอาทิตย์เพื่อสัมผัสกับความลับระดับสุดยอดของอริยะเจ้าที่แท้จริง แต่ตอนนี้เนื่องจากความแตกก่อน เกรงว่าจะไม่มีวิธีการอื่นๆ อีกแล้ว ในฐานะอริยะเจ้าจากภายนอกที่เป็นตัวเป็นตนแล้ว เขาถูกกันให้อยู่วงนอก ไม่อาจแบ่งปันความลับของระดับที่สูงกว่านี้ได้อีก
ปฐมพลังที่ทำให้อริยะเจ้าเพิ่มระดับถึงเทวปัญญา คือหนึ่งในความลับแกนหลัก
“ตัวตนที่ครอบครองปฐมพลังท่ามกลางมนุษย์ปุถุชนล้วนอยู่ในระดับสูงสุดท่ามกลางอริยะเจ้า” สือจื้อซิงเล่าต่อ “สำหรับพวกเจ้า ขั้นตอนการทำความเข้าใจปฐมพลังนี้ง่ายยิ่งกว่าพวกเรา ผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในโลกแห่งความเจ็บปวดอย่างพวกเรายากจะทำความเข้าใจปฐมพลังมากกว่าเนื่องจากมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด”
“อย่างนั้นขอบังอาจถามใต้เท้าว่าจะทำความเข้าใจปฐมพลังอย่างไร” ลู่เซิ่งถาม
สือจื้อเซิงหัวเราะ “อย่าทำเหมือนว่าวัตถุเรื่องราวจะเป็นเหมือนเดิมตลอดกาล ปฐมพลังเป็นจุดเริ่มต้นแรกสุด เจ้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งหมดของพลังชนิดหนึ่ง จากนั้นจึงจะมีสิทธิ์ตามหาปฐมพลัง ข้าทิ้งของเล็กน้อยไว้บนเครื่องประดับชิ้นนั้น ไปดูเองเถอะ เจ้าจะนึกออกแน่…”
ลู่เซิ่งหยีตา สัมผัสอย่างเลือนรางได้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเปลือกที่อบอุ่นของสือจื้อซิง
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
เขานำเครื่องประดับถอยออกมาจากห้องของสือจื้อซิง เดินตามทางระเบียงมืดมิดไปยังประตูบันไดทีละก้าวๆ ห้องจำนวนมากผ่านด้านข้างเขาไปอย่างต่อเนื่อง ในห้องเหล่านี้มีเสียงประหลาดดังมาตลอดเวลา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเงียบสงัด
ที่นี่นอกจากห้องของสือจื้อซิงแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่กล้าบุกรุกมั่วซั่ว ต่อให้เป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมของเมืองอักขระทมิฬแห่งนี้ เมื่อมาถึงที่นี่ ก็ไม่กล้าเดินเพ่นพ่านเช่นกัน
ในเมืองอักขระทมิฬ ตึกเล็กๆ แห่งนี้ถือเป็นสิ่งพิเศษที่สุด สิ่งที่อยู่รองลงไปคือตำหนักอันพิสดารที่ลู่เซิ่งเคยเข้าไปก่อนหน้านี้
เขาเดินลงบันไดทีละก้าวๆ ในตอนที่เดินถึงหัวมุมบันไดแห่งหนึ่ง ก็เห็นเด็กสาวสวมอาภรณ์สีดำที่ทำผมเปียยืนมองด้านนอกประตูม้วนโดยไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงมุมโค้ง
……………………………………….