ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 428 ปฐมพลัง (2)
บทที่ 428 ปฐมพลัง (2)
เด็กสาวสวมชุดเก่ามาก ยืนตัวตรงอย่างแข็งทื่อ เงียบจนเหมือนไร้ลมหายใจ
ถ้าไม่ใช่ลู่เซิ่งเห็นกับตา เกรงว่าแม้จะเดินไปด้านหน้า ก็ไม่พบว่ามีคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่นี่
เขาพลันสังเกตเห็นขณะเดินลงบันไดทีละก้าวๆ ว่า จานกลมอันเป็นเครื่องประดับที่สือจื้อซิงเพิ่งมอบให้เมื่อครู่นี้กำลังเรืองแสงสีเทาอ่อนๆ
ลู่เซิ่งเดินลงบันได เฉียดไหล่กับเด็กสาวคนนั้น เขาไม่เห็นใบหน้าของนาง เพียงเดินลงบันไดขั้นต่อไป
ฟิ้ว…
อยู่ๆ ก็มีลมอ่อนหอบหนึ่งพัดผ่าน ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย คอถูกลมพัดจนขนลุกอยู่บ้าง เขาพลันหมุนตัวกลับไป ด้านหลังไม่มีอะไรเลย เด็กสาวคนนั้นยังยืนหันหลังให้เขาและมองไปด้านนอกหน้าต่างอยู่ที่เดิม
ลู่เซิ่งพกพาความรู้สึกสงสัยลงบันไดต่อ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ปกติเวลาเดินบนบันได เขาจะไม่เจอใคร มีแค่น้อยครั้งเท่านั้นถึงจะเจอผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้คันฉ่องวิญญาณซึ่งเป็นบริวารที่มาพบสือจื้อซิงเหมือนกันสองสามคน
ทว่าตอนนี้
เขาเพิ่งลงถึงชั้นที่สอง ก็เห็นประตูของห้องห้องหนึ่งใกล้ทางเฉลียงอ้าอยู่ ด้านในมีบุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมตัวยาวและกางเกงยาวนั่งอยู่ เขาหัวล้านเล็กน้อย นั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ปากพึมพำบางอย่าง คล้ายกำลังอธิษฐาน เพียงแต่ในน้ำเสียงแฝงความหวาดกลัวสุดพรรณนาบางอย่าง
ลู่เซิ่งไม่ได้ยินว่าคนผู้นี้อธิษฐานอะไรอยู่
แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคให้เขาสัมผัสอารมณ์ที่อีกฝ่ายส่งมาไม่ได้ นั่นเป็นการผสมผสานระห่างความกลัว ความร้อนรน และความเจ็บปวดอันรุนแรง
“ไม่ต้องสนใจคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ และไม่ใช่ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายหรือผู้ใช้วิญญาณคันฉ่อง ยิ่งไม่ใช่ตัวตนจากภพอื่น ไม่ต้องพูดคุย สนทนา หรือสัมผัสกับพวกเขาก็พอ” เสียงของสือจื้อซิงดังมาแต่ไกล
ดวงตาลู่เซิ่งฉายแววไม่เข้าใจ แต่ในเมื่อสือจื้อซิงไม่อธิบาย เขาก็ไม่ถามอะไรมาก
ตอนนี้เขาเพิ่งได้รับความเชื่อใจจากสือจื้อซิงในขั้นแรก ความเชื่อใจนี้ตื้นเขินเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังรักษาไว้ได้ยาก
ลงตึกต่อไป ครั้งนี้ลู่เซิ่งไม่เจอปรากฏการณ์พิเศษอะไรอีก หลังออกจากตึกเล็ก เขาก็มองไปยังเครื่องประดับที่ติดไว้ตรงทรวงอกอีกรอบ แสงสีเทาด้านบนนั้นหายไปแล้ว
ใคร่ครวญเล็กน้อย ลู่เซิ่งใช้ความคิด ร่างกายหายไปจากที่เดิมอย่างฉับพลัน ตอนที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมายังห้องลับในอารามแล้ว
เครื่องประดับที่ทรวงอกยังคงอยู่
เขานั่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทำให้สภาพจิตใจก่อนหน้านี้กลับมาเป็นปกติ
‘ถ้าหากบอกว่าปฐมพลังเป็นการยกระดับและวิวัฒนาการของกฎเกณฑ์ อย่างนั้นถ้าเราใช้พลังอาวรณ์ยกระดับอัคคีอนธการหรือไฟหยินอย่างต่อเนื่อง จะทำให้มันไปถึงระดับปฐมพลังได้รึเปล่านะ’ ลู่เซิ่งไตร่ตรอง ‘ด้วยความร้ายกาจของเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลู ไม่แน่ว่าจะทำได้จริงๆ’
ตอนนี้เขายังคงรู้สึกได้ว่า เครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูเป็นเครื่องมือปรับเปลี่ยนอันแข็งแกร่งซึ่งมีพื้นฐานมาจากระบบความรู้ของตัวเองมากกว่า ขอแค่มีพลังอาวรณ์มากพอ ก็จะสามารถใช้ระบบความรู้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องได้
เขาลูบเครื่องประดับทรงกลมสีขาวสลับดำเบาๆ แม้นี่จะเป็นของรางวัลจากสือจื้อซิง แต่เขาไม่อยากใช้ของเล่นชิ้นนี้
โลกแห่งความเจ็บปวดซุกซ่อนความลับไว้มากมายเกินไป ก่อนที่จะทำความเข้าใจกุญแจสำคัญ ของชิ้นใดๆ ที่นำออกมาจากด้านใน ควรจะใช้มันอย่างระมัดระวังทั้งสิ้น
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง ในที่สุดก็ลุกขึ้น
หากพูดถึงคนที่เขาขอความชั่วเหลือได้จากทั่วทั้งต้าอิน ความจริงมีแค่คนคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คืออริยะเจ้าทงเซิง
ก่อนหน้านี้เขาตรวจสอบหลานของอริยะเจ้าทงเซิงมาแล้ว คนผู้นั้นเหมือนกับเขามากจริงๆ ไม่ใช่รูปร่างภายนอก หากเป็นบุคลิก
คนผู้นั้นเดินบนเส้นทางฝึกฝนร่างกายเหมือนกัน เขาหลอมรวมกายเนื้อเข้ากับพลังปีศาจของมหาปีศาจ หลังจากพบเจอวาสนาหลายครั้ง พลังก็แข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ถึงขั้นกำลังจะเลื่อนสู่ระดับอริยะเจ้า ทว่าในช่วงสำคัญของการเลื่อนระดับครั้งสุดท้าย กลับถูกคนลึกลับลอบจู่โจม จากนั้นก็หายสาบสูญไป ไม่มีข่าวคราวอะไรอีก
เพื่อหลานชายที่รักที่สุดและมีพรสวรรค์ที่สุดในตระกูลผู้นี้ ทงเซิงใช้น้ำใจนับไม่ถ้วน ถึงขั้นมุ่งหน้าไปขอพบเจ้าแห่งอาวุธเพื่อขอร้องด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร
เขาหมดอาลัยตายอยากอยู่หลายสิบปี ไม่นานมานี้จึงค่อยอาการดีขึ้น
‘อริยะเจ้าทงเซิงกำลังจะจากไปแล้ว บางทีอาจจะฉวยโอกาสนี้ถามวิถีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับปฐมพลังได้สักหน่อย’ นี่เป็นแผนการของลู่เซิ่ง
เขากับทงเซิงเพียงเป็นจอกแหนพบพานกัน ตอนนี้คิดจะหาคนมาถามไถ่ถึงปฐมพลัง ขบคิดไปมา ลู่เซิ่งได้แต่ไปถามไถ่ชายชราที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานผู้นี้
ในต้าอิน ณ เวลาปัจจุบัน เชียนตู้ซูหนิงเฟยอาจารย์ในนามของเขาไม่คู่ควรให้เชื่อใจ ถึงขั้นแม้แต่วิธีการฝึกฝนระดับอริยะเจ้าต่อจากนี้ยังไม่ยอมบอก เห็นได้ว่ากำลังระวังป้องกันเขาอยู่
ถอนใจเฮือกหนึ่ง ลู่เซิ่งปลดเครื่องประดับชิ้นเล็กที่สือจื้อซิงมอบให้ จากนั้นก็ใช้แก่นหยางห่อหุ้มพร้อมกับเก็บมันไว้ในช่องลับบนพื้นของห้องลับ ก่อนจะลุกขึ้น
“ประมุขคฤหาสน์ท่านออกจากการกักตนแล้วหรือ” ศิษย์สำนักพันอาทิตย์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกประตูรีบถามอย่างนอบน้อม
“ตอนนี้ผู้อาวุโสทงเซิงอยู่ที่ใด”
“กำลังวางหมากกับเจ้าสำนักอยู่ที่ศาลาทัศนาขอรับ”
“นำทางข้าไป”
ศิษย์เฝ้าประตูไม่กล้าลังเล พาลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าไปยังศาลาทัศนาทันที
เวลานี้ศิษย์ที่กลับมาในสำนักมีอยู่ไม่น้อยแล้ว ยังมีหลายคนที่ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ใหม่ แต่ละคนต่างกระฉับกระเฉง ในนี้มีอัจฉริยะที่ทะนงตนรวมถึงมีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงอยู่ด้วย
แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เมื่อเห็นรูปแบบชุดคลุมบนร่างลู่เซิ่งในตอนที่พบเขา ต่างก็จดจำสถานะของเขาได้ และจะแสดงความเคารพนบน้อมอย่างยิ่งยวดทันที
ตัดทะลุอารามมากกว่าครึ่ง แล้วเดินออกจากประตูเล็กข้างกำแพงไป ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงด้านหน้าศาลาเล็กอันประณีตที่ทาสีสันไว้หลากหลาย รวมถึงยังปลูกดอกไม้ไว้นานาชนิดด้วย
อริยะเจ้าทงเซิงกับเฉินจิ้งจือผู้เป็นเจ้าสำนักนั่งอยู่ตรงข้ามกัน หมากทหารวางอยู่ตรงหน้าทั้งสอง นี่เป็นการละเล่นที่มีเฉพาะในต้าอิน คล้ายกับหมากทัพ แต่ว่าล้ำลึกยิ่งกว่า
พอเห็นลู่เซิ่งมาหา อริยะเจ้าทงเซิงก็พลันเลิกคิ้วขึ้น
“อ้าว ลู่เซิ่งมาแล้ว มาเร็วๆ ก่อนหน้านี้มีความสำคัญในคดีส่วนหนึ่งอยากจะคุยกับท่าน ตอนแรกที่มาท่านกำลังกักตนอยู่ ไม่กล้ารบกวน เลยมาวางหมากกับเฉินจิ้งจือที่นี่เพื่อฆ่าเวลา ตอนนี้ท่านมาพอดีเลย”
เขาปัดกระดานหมากจนกระจัดกระจาย ก่อนจะรีบลุกขึ้นต้อนรับลู่เซิ่ง
เฉินจิ้งจือนั่งอยู่ที่เดิม มือถือหมากแม่ทัพด้วยความรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ พอเห็นลู่เซิ่งมาเขาก็ส่ายหน้าพร้อมกับลุกขึ้นด้วย
“ในเมื่ออริยะเจ้าลู่มาแล้ว อย่างนั้นผู้เยาว์ขอตัวก่อน” เขาเก็บกระดานหมากแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งดูออกว่าผู้อาวุโสท่านนี้เล่นลูกไม้ จึงหัวเราะไม่ออกและร้องไห้ไม่ได้เช่นกัน
แต่ว่าครั้งนี้ที่เขามาที่นี่ ก็เพื่อถามทงเซิงถึงปฐมพลังด้วยจุดประสงค์ที่จริงใจ
ทั้งสองนั่งลงในศาลาอีกครั้ง จากนั้นลู่เซิ่งก็เล่าถึงปัญหาของตัวเอง
“ปฐมพลังหรือ” อริยะเจ้าทงเซิงงุนงง “จริงด้วย ท่านสมควรถึงเวลาที่สัมผัสกับสิ่งนี้แล้ว” เขายกน้ำชาที่วางบนโต๊ะหินขึ้นจิบช้าๆ
“ที่จริงปัญหานี้ท่านไม่ควรมาถามข้า ควรจะไปถามอาจารย์ของท่านมากกว่า”
ลู่เซิ่งพลันยิ้มหนักใจ “ผู้อาวุโส…ซูหนิงเฟยอาจารย์ของข้า…ท่านน่าจะเคยได้ยินมาก่อน แถมความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับนาง ก็ไม่ได้ดีเด่นอย่างในจินตนาการด้วย”
“ข้าเข้าใจสภาพของท่านดี” ทงเซิงเคยอ่านข้อมูลของลู่เซิ่งมาก่อน เขาปลอมแปลงพลังเข้าสำนักพันอาทิตย์ การที่ไม่ถูกมองว่ามีเจตนาแอบแฝงก็ถือว่าได้รับความเมตตาเป็นพิเศษแล้ว แต่หากคิดจะสัมผัสกับความลับของปฐมพลังหลักแห่งสำนักพันอาทิตย์ย่อมเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นไปไม่ได้จนกว่าจะตรวจสอบความคิดแท้จริงของลู่เซิ่งออก
“ข้าไม่สามารถถ่ายทอดปฐมกฎเกณฑ์ให้เจ้าได้ สามสำนักกับสามตระกูลใหญ่มีปฐมกฎเกณฑ์ของใครของมันซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงต้นกำเนิดหลักของพลังชนิดใดชนิดหนึ่งได้ นี่เป็นความลับที่ถ้าไม่ใช่บุคคลสำคัญก็ถ่ายทอดให้ไม่ได้ ข้าจึงไม่อาจแพร่งพราย” ทงเซิงขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ถ้าหากท่านยินยอมตอบรับคำขอข้อหนึ่งของข้า ข้าสามารถบอกทิศทางของปฐมกฎเกณฑ์ให้แก่ท่านได้”
“ทิศทางของปฐมกฎเกณฑ์” ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก “นี่หมายถึงอะไรหรือ”
ทงเซิงยิ้มบาง “แม้สามสำนักสามตระกูลจะไม่ถ่ายทอดปฐมกฎเกณฑ์ให้คนนอก แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าในโลกใบนี้ นอกจากหกสถานที่นี้แล้ว จะไม่มีปฐมกฎเกณฑ์อีก”
ลู่เซิ่งพลันกระจ่างแจ้ง
“ข้ารับปากท่าน ขอแค่ไม่ขัดต่อความต้องการส่วนตัวของข้าเกินไป ข้าล้วนตอบรับได้ทั้งสิ้น” เขาตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องห่วง…เป็นแค่คำขอเล็กๆ เท่านั้น” ทงเซิงเห็นสีหน้าระมัดระวังของลู่เซิ่งก็อดยิ้มพลางส่ายหน้าไม่ได้ “ท่านนี่นะ ขี้ระแวงเกินไปแล้ว”
“ผู้อาวุโสสั่งสอนถูกต้องแล้ว…” ลู่เซิ่งทำสีหน้าละอาย
…
ครึ่งเดือนต่อมา แคว้นศาสตร์ทะยาน เขตสายธารา
หลี่ซุ่นซีนั่งบนที่นั่งของแผงขายหมี่ ก้มหน้าเพ่งมองหมี่ตรงหน้า
ด้านในน้ำแกงหมี่ว่างเปล่า เส้นทั้งหมดถูกตักขึ้นหมดแล้ว ทว่าน้ำแกงกลับใสอย่างน่าอัศจรรย์ ผิวน้ำแกงถึงขั้นเหมือนกับผิวคันฉ่อง
“ผู้เฒ่าสวี่ ข้ามาอีกแล้ว” เขายกน้ำแกงหมี่ขึ้น พร้อมกับนวดสองตาที่ปวดตุบๆ ยังคงมองไม่เห็นสิ่งใด “วิชาทำนายฟ้าพิศวงเก้าขั้นนี้คลุมเครือเกินไปจริงๆ…ข้าว่าถ้าไม่ใช่เวลาสักหลายเดือน เกรงว่าคงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่”
เจ้าของแผงหมี่เป็นเฒ่าชราตาบอด มือนวดดึงก้อนแป้งให้กลายเป็นเส้นหมี่อันละเอียดอ่อนหลายเส้นอย่างช่ำชอง
ชายชราร่างกายแข็งแรงกำยำ หากแต่ไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับไม่ใช่คนเป็นๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ หากเป็นตุ๊กตาคนหรือตุ๊กตาโคลน
ในตอนที่ได้ยินหลี่ซุ่นซีบอกว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงจะเข้าถึงวิชาได้ มือที่กำลังดึงเส้นหมี่ของเขาก็ผ่อนช้าลง แล้วหยุดนิ่งชั่วพริบตาหนึ่ง
“ผ่านไปหลายเดือนแล้วกระมังตั้งแต่ที่ข้าพาเจ้ามาต้าอิน” เขาถามอย่างราบเรียบ สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ เสียงของเขาที่ดังในรัศมีสองสามหมี่ใกล้ๆ มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน
หลี่ซุ่นซีพยักหน้า “ถูกต้อง ผ่านไปหลายเดือนแล้ว”
“ต้าซ่งไร้ความหวังแล้ว หากเจ้าคิดกอบกู้สถานการณ์ใหญ่ ได้แต่ลงมือจากต้าอิน ส่วนจุดสำคัญบนกระดานหมากต้าอินก็อยู่ที่…ราชธานีอินตู” ชายชราเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
เขาวางก้อนแป้งลงก่อนจะหมุนตัวมาจ้องมองคนหนุ่มที่ตนฝากความหวังมาโดยตลอดผู้นี้
“อีกหลายเดือนกว่าจะเข้าถึงวิชาทำนายหรือ ต่อจากนี้ ถ้าเจ้าสามารถทำให้ข้าพอใจได้ อย่างนั้นเจ้าจะเป็นอริยะปฐพีสามกำเนิดเก้าหอคอย ขุมกำลังหนึ่งในสามส่วนของสำนักไตรอริยะในต้าอินจะเป็นของเจ้าทั้งหมด”
หลี่ซุ่นซีงุนงง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นด้วยความแตกตื่น
“ผู้เฒ่าสวี่…ท่านหมายถึง…?!”
“แสดงพลังทั้งหมดของเจ้าเสีย ถ้าหากทำให้ข้าประทับใจได้ เช่นนั้นเจ้าจะกลายเป็นราชาอริยะคนที่สามของสำนักไตรอริยะ”
ชายชราสีหน้าราบเรียบ ความเย็นชา ความอ่อนโยน ความเจ็บปวด และความจนปัญญาตลบอบอวลอยู่ในสายตา
ที่จริงหลี่ซุ่นซีถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนแรกสุดแล้วว่าจะต้องเดินบนเส้นทางนี้ ไม่ว่าจะขัดขืนดิ้นรนหรือไม่ ผลลัพธ์ล้วนเป็นเหมือนเดิม
อนาคตของเขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของสำนักไตรอริยะ เหมือนกับที่เขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะได้รับหยกซึ่งเป็นอาวุธเทพชิ้นนั้น
……………………………………….