ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 430 มั่นคง (2)
บทที่ 430 มั่นคง (2)
เพียงแค่ห้าปี ขุมกำลังของสำนักมารกำเนิดได้ดูดซับกองกำลังทั้งหมดที่ดูดซับได้ มาหลอมรวมเข้ากับตัวเอง แล้วพัฒนากลายเป็นค่ายพรรคที่เป็นองค์กรใหญ่ยักษ์ซึ่งปกคลุมจังหวัดไร้เหมันต์แทบจะทั้งหมด
ส่วนลู่เซิ่ง หลังจากกำจัดจ้าวแห่งมารในตอนแรกสุดเสร็จแล้ว ก็กลับไปยังคฤหาสน์ลู่ ว่ากันว่าเพื่อรักษาโรคเรื้อรังทางสมองให้แก่ลู่ชิงชิง จึงมีข่าวและร่องรอยส่งออกมาน้อยสุดขีด
แต่ที่จริงแล้วเขาไม่เพียงช่วยรักษาโรคทางสมองให้แก่ลู่ชิงชิงเท่านั้น ขณะเดียวกันยังฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ทงเซิงมอบให้อย่างต่อเนื่องด้วย ลางสังหรณ์บอกเขาว่าเคล็ดวิชานี้มีส่วนช่วยเหลือต่อเขาอย่างมาก
นอกจากนี้เขาจะออกไปด้านนอกทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง บางครั้งก็ไปเข้าร่วมพิธีกรรมที่โลกแห่งความเจ็บปวด บางครั้งก็ไปทำภารกิจเก็บอาวุธเทพที่โลกภายนอก ส่วนในโลกดั้งเดิม เขาหยุดการออกไปรวบรวมอาวุธเทพเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เพียงแค่ใช้โอกาสที่ได้ไปยังโลกด้านนอก รวบรวมอาวุธเทพบางส่วนมากลืนกินผ่านภารกิจที่สือจื้อซิงมอบให้เท่านั้น
สือจื้อซิงไม่สนใจเรื่องนี้ อย่างไรขอแค่ทำภารกิจสำเร็จก็พอ บริวารจะแอบกินอะไร ขอแค่ไม่ล้ำเส้นเกินไป ก็สามารถมองข้ามได้
ในช่วงเวลาห้าปี ลู่เซิ่งไปโลกด้านนอกอย่างน้อยสิบกว่าใบแล้ว เขาเก็บอาวุธเทพสำเร็จรูปแต่ละชนิดกลับมาจากเขตแต่ละเขตของโลกด้านนอกเหล่านี้ บางครั้งก็ถึงขั้นไปยังพิภพมาร อาวุธเทพที่เขาแอบเก็บสะสมไว้มีมากขึ้นเรื่อยๆ พลังอาวรณ์ที่ได้จากการกลืนกินอาวุธเทพก็เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นกัน
ทว่าอาวุธเทพเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นระดับใบไม้ทองคำ มีน้อยมากๆ ที่จะเป็นระดับดาวหยก ส่วนระดับเทวปัญญาเพียงเคยเห็นแค่ชิ้นเดียว อีกทั้งครั้งนั้นยังไม่ใช่เขาลงมือด้วย แต่เป็นสือจื้อซิงลงมือด้วยตัวเอง
ลู่เซิ่งจึงได้เห็นภาพการต่อสู้กันอย่างสุดกำลังในระดับเทวปัญญาเพราะสาเหตุนี้
ในหลายปีมานี้ เขาทุ่มพลังอาวรณ์ที่ได้มากับอัคคีอนธการ
เขาลงทุนใส่พลังอาวรณ์ไปในอัคคีอนธการที่พัฒนาจากไฟหยินสองแสนกว่าหน่วย แต่นอกจากอานุภาพที่เพิ่มขึ้นนิดหน่อยแล้ว ที่เหลือกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรแม้แต่น้อย
พลังอาวรณ์ที่เปลี่ยนมาจากการกลืนกินอาวุธเทพจำนวนมากหลอมรวมเข้ากับอัคคีอนธการทั้งหมด ลู่เซิ่งคิดจะใช้วิธีนี้ยกระดับอัคคีอนธการถึงระดับปฐมพลังโดยตรง
ทว่ายืนหยัดมาหลายปี คล้ายไม่มีผลลัพธ์อะไรทั้งสิ้น กระนั้นลางสังหรณ์ของเขาก็รู้สึกได้ว่า อัคคีอนธการกำลังสั่งสม กำลังรอคอย กำลังหมักบ่มวินาทีที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ
อริยะเจ้าที่ราชธานีอินตูออกคำสั่งเรียกชุมนุมมานานแล้ว โดยต้องการให้อริยะเจ้าทุกคนทั่วประเทศมุ่งหน้าไปอินตูเพื่อสู้รบกับพิภพมารร่วมกัน แต่ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจ
ในฐานะอริยะเจ้า เดิมก็มีสิทธิ์ได้รับการยกเว้นไม่น้อยอยู่แล้ว ต้าอินไม่ได้ให้อะไรเขา และเขาก็ไม่ใช่คนท้องที่ แถมยังไม่ได้มีกะจิตกะใจช่วยโลกโดยไม่หวังผลตอบแทนเหมือนหลี่ซุ่นซีด้วย
หลังจากพบว่าอัคคีอนธการไม่มีความก้าวหน้าแม้แต่น้อย เขาก็คิดจะศึกษาอัคคีอนธการด้วยทุกวิธีดู ภายใต้วิธีการวิเคราะห์ทางโลกวิทยาศาสตร์ที่ได้มาจากโลกเดิม เขาบันทึกความพิเศษจำนวนไม่น้อยของอัคคีอนธการไว้อย่างละเอียด คิดจะใช้วิธีการนี้ทำลายข้อจำกัด
ในช่วงเวลานี้ สถานการณ์ของต้าอินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
นครแคว้นหลายแห่งใกล้อินตูถูกรุมโจมตีจนแตก ประตูเลือดเนื้อของทัพมารถล่มไปสามบาน แม่ทัพมารกับราชามารตายไปนับไม่ถ้วนเพื่อทะลวงกองทัพใหญ่ของราชธานีอินตู ทั้งสองฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
การศึกแห่งเตี่ยนฮว่าซึ่งเป็นศึกใหญ่ที่อุบัติขึ้นเมื่อปีก่อนยิ่งรุนแรงดุเดือดกว่า จ้าวแห่งมารกับอริยะเจ้าสู้จนตัวตายถึงสองคน
เจ้าแห่งอาวุธสองคนพลาดท่าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องกักตัว เกือบจะเสียชีวิต แถมกองทัพใต้สังกัดยังแตกพ่าย ทว่าฝั่งจักรพรรดิมารก็มีตนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ตนหนึ่งหายสาบสูญไปเช่นกัน ทัพมารหัวกะทิจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นถูกทำลาย ได้แต่ถือเป็นชัยชนะที่เลวร้าย
ศึกนี้ลดทอนอำนาจของต้าอินลงอย่างหนัก ขุมกำลังของสามตระกูลใหญ่ตกต่ำถึงก้นหุบเหว
มาถึงขั้นนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เอาจริง หลังต่อสู้กันรอบหนึ่ง ประตูเลือดเนื้อก็ตั้งขึ้นอย่างมั่นคงห้าบาน จากนั้นประตูห้าบานนี้ก็กลายเป็นเครื่องบดเนื้อระหว่างต้าอินกับพิภพมารอย่างแท้จริง
มารกับทหารจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าสู่สมรภูมิ แล้วกลายเป็นเลือดเนื้อหล่อเลี้ยงผืนดิน สิ่งที่ต้าอินสั่งสมไว้ร่อยหรออย่างรวดเร็ว ส่วนทัพพันธมิตรของจักรพรรดิมารเหวยลากับอีกสองคนก็อยู่ในสภาพกระอักกระอ่วนคล้ายๆ กัน
ประชาชนส่งเสียงโอดครวญ ทรัพยากรลดลงมากเกินไป ราษฎรใช้ชีวิตไม่ไหว กอปรกับราชามารนำทหารเข่นฆ่าไปทั่ว ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ สภาพอากาศที่ไม่เสถียรทำลายผลผลิตทางการเกษตรทุกที่ในต้าอินอย่างร้ายแรง การจัดส่งอาหารยากลำบากกว่าเดิม มาถึงภายหลังต้องอาศัยทรัพยากรที่ส่งมาจากโลกด้านนอกเพื่อเอาตัวรอด
อำนาจควบคุมของราชธานีอินตูอ่อนแอลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เจ้าแห่งอาวุธได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องกักตนเพื่อรักษาตัว ขั้วอำนาจในแต่ละท้องที่แยกตัวเป็นเอกเทศ ตั้งตัวเป็นราชา ปีศาจก่อคลื่นลม เผ่าพันธุ์โบราณปรากฏตัวและตั้งกองทัพแบ่งแยกดินแดน
ราชวงศ์ต้าอินตกต่ำแทบตกสู่สภาพแตกแยกชั่วขณะ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เบื้องหลังการแตกแยกนี้คล้ายมีเงาของราชวงศ์อินตูอยู่ด้วย พวกองค์ชายราชโอรสต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ความขัดแย้งแทบจะไปถึงขั้นที่รุนแรงจนน่าหวาดหวั่น
ในสภาพโกลาหลเช่นนี้ กิจการที่สำนักมารกำเนิดของลู่เซิ่งสร้างขึ้นในจังหวัดไร้เหมันต์กลับเปลี่ยนแปลงที่นี่เป็นดินแดนที่อยู่เย็นเป็นสุข
สามารถต้านทานทัพมาร แถมยังไม่แย่งชิงทรัพย์สินส่วนตัวของราษฎรใต้การปกครอง และไม่ขึ้นภาษีตามใจ ขุมกำลังแบบนี้ย่อมได้รับการต้อนรับอย่างดีที่สุด
ชื่อเสียงและอิทธิพลของสำนักมารกำเนิดค่อยๆ กระจายจากจังหวัดตัวเองไปถึงจังหวัดหลายแห่งที่อยู่รอบๆ เผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์จำนวนมากที่หนีสงครามและภัยพิบัติมารต่างพากันหลั่งไหลมาที่นี่
…
ลมสารทเย็นฉ่ำ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
ในเรือนของคฤหาสน์ลู่ ลู่เซิ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใต้ต้นไหวเฒ่า ชมดูต้นไหวเฒ่าที่กำลังใช้กิ่งไม้ขีดเขียนภาพร้อยบุปผาบานสะพรั่งอยู่
บนลำต้นสีดำสนิทของต้นไหวเฒ่าปรากฏใบหน้าที่เหมือนกับคนแก่ สีหน้านั้นสงบนิ่ง กิ่งไม้สองกิ่งถือพู่กันวาดลงบนกระดาษวาดรูปใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอย่างตั้งใจ เหมือนกับสองมือของมนุษย์
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม มันก็หยุดกิ่งของมันลง
“เจ้าสำนักโปรดชมดู”
เสียงของต้นไหวเฒ่าทุ้มต่ำก้องกังวาน เหมือนกับหินก้อนใหญ่ที่บดอยู่บนแผ่นหินอีกที
ลู่เซิ่งตั้งสมาธิมองไป เห็นดอกไม้สดหลากหลายร้อยชนิดที่ถูกวาดลงบนผืนผ้าใบอย่างละเอียดอ่อนสุดเปรียบปาน
“ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง งดงามนั้นงดงาม แต่ยังขาดเสน่ห์ไป” เขาส่ายหน้าน้อยๆ รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว พันปีก่อน ข้าคอยสังเกตปรมาจารย์ภาพวาดเผิงเฟยจื่อฝึกฝนทักษะทั้งวันทั้งคืน ตอนแรกนึกว่าได้ร่ำเรียนถึงแก่นแท้แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดไป” ต้นไหวเฒ่าถอนใจอย่างจนปัญญา
เขามาสวามิภักดิ์กับลู่เซิ่งและเข้าร่วมกับสำนักมารกำเนิดเมื่อสามปีก่อน มีนิสัยอ่อนโยน ไม่ชอบการต่อสู้ฆ่าฟัน กอปรกับเป็นผู้เฒ่าที่มีอายุเยอะสุดขีด ทั้งยังมีประสบการณ์โชกโชนในเผ่าปีศาจ ความรู้และข้อมูลจำนวนมากที่ลู่เซิ่งต้องการต่างได้คำตอบผ่านการสนทนากับเขา ดังนั้นจึงรั้งตัวเขาไว้
“ผู้เฒ่าไหว ปัญหาที่ข้าฝากให้ท่านขบคิดก่อนหน้านี้ ไม่ทราบว่าท่านมีคำตอบหรือยัง” ลู่เซิ่งหันเหความสนใจไปมองดูต้นไหวเฒ่าพลางถามอย่างตั้งใจ
“ระดับความแข็งแกร่งทางกายเนื้อของเจ้าสำนักหายากเป็นอย่างยิ่ง…ไหวเฒ่าเพิ่งจะเคยเห็นว่านอกจากมหาปีศาจขั้นสูงสุดแล้ว ยังมีมนุษย์ที่ฝึกฝนกายเนื้อถึงขั้นนี้ได้ด้วย ส่วนวิธีการ นึกได้แล้วจริงๆ”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งยินดี จิตใจที่มั่นคงสงบนิ่งมานานเพราะฝึกฝนวิชาหล่อเลี้ยงแก่นสาร ตอนนี้อดสั่นไหวน้อยๆ ไม่ได้
“ผู้เฒ่าไหวโปรดชี้แนะด้วย” เขามีความเคารพให้แก่ชายชรามีเมตตาที่มีประสบการณ์โชกโชนเสมอมา ความทรงจำทางกาลเวลาอันอุมดมสมบูรณ์ที่พวกเขาได้พานพบมา ขอแค่สามารถแบ่งให้สักส่วนหนึ่ง สำหรับลู่เซิ่งแล้ว ถือเป็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าหายากเช่นกัน
ผู้เฒ่าไหวหัวเราะฮ่ะๆ
“เจ้าสำนักเกรงใจแล้ว ไหวเฒ่าสามารถช่วยเหลือได้แค่นี้ ปัญหาของท่านเกิดขึ้นเพราะร่างกายของฮูหยินอ่อนแอเกินไป จึงไม่อาจรับความเอ็นดูของท่านไหว ดังนั้นจึงมีอยู่สองวิธี วิธีแรกก็คือให้ฮูหยินฝึกฝนวิชาที่แข็งแกร่งสำหรับใช้เสริมสร้างกายเนื้อ แต่เป็นเพราะด้านคุณสมบัติของฮูหยิน…วิธีการนี้จึงต้องตัดทิ้งไป ส่วนวิธีที่สอง…”
“วิธีที่สองคืออะไร” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว อดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง
“ที่จริงวิธีการที่สองไม่ใช่ความลับ เจ้าสำนักอาจเคยคิดถึงมาก่อน มหาปีศาจระดับสุดยอดมีกายเนื้อแข็งแกร่งถึกทน ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านเลย อีกทั้งในเรื่องเล่ายังมีบันทึกที่พวกเขามีความสัมพันธ์กับมนุษย์ธรรมดาด้วย ในเมื่อมีกายเนื้อเหี้ยมหาญสุดเปรียบปานเหมือนกัน พวกเขาทำได้อย่างไร”
“ถูกแล้ว” ลู่เซิ่งคล้ายนึกอะไรอยู่ เขารู้จักตัวเองดี หลังจากวิถีแปดมารสูงสุดหลอมรวมกับวิชาไร้ขอบเขต ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อก็หยุดนิ่งอยู่ในระดับสูงสุด วิถีแปดมารสูงสุดคือการหลอมรวมร่างมารแปดชนิดเป็นหนึ่งเดียว แม้จะรุนแรงเกรี้ยวกราด แต่ที่จริงเมื่อเทียบกับมหาปีศาจระดับอริยะเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว กลับอยู่ในระดับเดียวกัน
ซึ่งความจริงเมื่อระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อมาถึงขึ้นนี้ ก็ถือว่าได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ส่วนการเพิ่มระดับวิชาไร้ขอบเขตเดินบนเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่ง ไร้ขอบเขตยกระดับไฟหยิน ไม่มีการฝึกฝนกายเนื้อแต่อย่างใด
“เพราะเหตุนี้ ข้าจึงได้ตามหาสหายเก่า และแลกเปลี่ยนความลับอย่างหนึ่งมาจากสหายเก่าที่เป็นมหาปีศาจตนหนึ่ง” ผู้เฒ่าไหวเอ่ยเสียงเบา
“โปรดบอกกล่าว” ลู่เซิ่งสีหน้าจริงจังขึ้น
“ระหว่างมหาปีศาจระดับสูงสุดมีวิชาหนึ่งแพร่หลายอยู่ มันมีชื่อว่าวิชาปีศาจสวรรค์หล่อเลี้ยงบุปผา เอาไว้ใช้ทำให้แก่นสารของตัวเองอ่อนโยนลง แล้วใช้แก่นสารที่หลอมละลายแล้วหล่อเลี้ยงคู่รัก ทำให้คุณสมบัติโจมตีหายไป ว่ากันว่าวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาอันน่าอัศจรรย์ที่มหาปีศาจอริยะเจ้าตนหนึ่งพยายามสร้างขึ้นมาเพราะมีความรักกับมนุษย์” ผู้เฒ่าไหวอธิบายอย่างละเอียด
“สามารถครอบครองวิชานี้ได้หรือไม่” ลู่เซิ่งรีบถาม
“พูดถึงคุณค่าแล้ว ที่จริงวิชานี้ไม่ได้มีค่าอะไรนัก มหาปีศาจหลายตนล้วนรู้จัก เจ้าสำนักไม่ต้องร้อนรน ข้ากำลังจะถ่ายทอดให้ท่านอยู่นี่เอง” เฒ่าไหวตอบด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งสงบจิตใจ ถอนใจโล่งอกเช่นกัน
ปัจจุบันอัคคีอนธการยังไม่เห็นความหวังในการเลื่อนระดับอยู่ชั่วขณะ เขาจึงทุ่มสมาธิทั้งหมดกับวิชาไร้ขอบเขตและปัญหาด้านการให้กำเนิด
ตอนนี้เฉินอวิ๋นซียังไม่ได้หย่ากับเขา แม้ว่าต้าอินจะมีประเพณีเปิดเผย แต่ว่าสตรีที่หย่ามาแล้วคนหนี่ง หากคิดจะหาคนแต่งงานอีก กลับไม่ใช่เรื่องง่าย
ลู่เซิ่งใช้แก่นหยางปรับปรุงข่ายกระเรียนหยินในตัวเฉินอวิ๋นซี ให้มันทำให้นางอายุยืน ค่อยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ชั่วคราว
ทว่าปัญหาด้านการให้กำเนิดของเขาก็เป็นเรื่องใหญ่ในใจตระกูลลู่มาโดยตลอด ในฐานะเสาหลักของคฤหาสน์ลู่ และเจ้าสำนักของสำนักมารกำเนิด สิ่งที่เขาเผชิญอยู่ในตอนนี้คือสถานการณ์ที่ไม่มีทายาทสืบทอด
คนอย่างลู่หงอิงกับลู่อิ๋งอิ๋งล้วนมีร่างกายของมนุษย์ธรรมดา แม้จะฝึกฝนถึงระดับพันธนาการก็ต้องใช้เวลาที่ยาวนานสุดขีด ยิ่งอย่าว่าแต่กลายเป็นผู้รับสืบทอดคฤหาสน์ลู่
ตอนนี้ลู่เซิ่งเก็บอาวุธเทพไว้เพียงชิ้นเดียว ให้มันคุ้มครองคฤหาสน์ลู่และฉายรังสีใส่ร่างกายของคนในครอบครัวทุกคน แต่การปรับปรุงด้วยรังสีของอาวุธเทพมีความก้าวหน้าเชื่องช้าสุดขีด อย่าคิดว่าจะเกิดประสิทธิผลใดๆ ในเวลาอันสั้น
ส่วนเรื่องอื่นๆ ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทาง ในโลกแห่งความเจ็บปวด ลู่เซิ่งได้รับความเชื่อใจจากสือจื้อซิงจนแทบจะกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของอีกฝ่ายในการจัดการภารกิจมากมายของเขตลัทธิแล้ว
ยังมีสิทธิ์เรียกใช้ขุมกำลังของพันธมิตรทมิฬทั่วทั้งจังหวัดไร้เหมันต์อีก อำนาจของลู่เซิ่งจึงขยับขยายขึ้นมากกว่าเดิม
ดังนั้นในที่สุดเขาก็มีเวลาจัดการปัญหาด้านการให้กำเนิดแล้ว
บุรุษจะบอกว่าไม่ไหวได้อย่างไร
หากเอาแต่ฝึกฝนๆ จนสุดท้ายกลายเป็นขันที คงจะน่าอนาถเกินไปจริงๆ
ดีทีตอนนี้ ในที่สุดก็เจอวิธีแก้ไขปัญหาและในที่สุดก็มีบทสรุปให้แก่เรื่องของตนกับเฉินอวิ๋นซีสักที
เฒ่าไหวเริ่มบรรยายวิชามารสวรรค์หล่อเลี้ยงบุปผาอันเป็นวิชาของมหาปีศาจที่ตนได้รับมาอย่างละเอียด เป็นเพราะทุกคำทุกประโยคล้วนใช้ภาษาปีศาจเขียน เขาจึงต้องอธิบายหลักการอันน่าอัศจรรย์ให้แก่ลู่เซิ่งฟังตั้งแต่ต้น
หลังจากได้รับวิชาลับวิชานี้ ลู่เซิ่งก็โคจรดู พลันรู้สึกว่าพลังในกายเนื้อของตนเองอ่อนแอลงอย่างใหญ่หลวง
เดิมทีวิชานี้ใช้สำหรับสะกดการทำงานของกายเนื้อนั่นเอง
……………………………………….