ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 437 มารสวรรค์ (1)
บทที่ 437 มารสวรรค์ (1)
“ท่านพี่” ด้านหลังลู่เซิงพลันมีเสียงสตรีกระจ่างใสดังมา คล้ายกับมีคนกำลังเรียกเขาอยู่
“พี่ใหญ่”
อีกเสียงหนึ่งดังตามมา
ลู่เซิ่งหันไปเห็นคนสองคนกำลังเร่งฝีเท้าเดินมาด้านหลังตน บุรุษอายุสิบห้าสิบหกปี หน้าตางดงาม ดวงตายังมีความไร้เดียงสาและความหัวขบถหลงเหลือ สวมชุดทะมัดทะแมงสีขาว หนุ่มแน่นห้าวหาญ
อีกคนหนึ่งเป็นเด็กสาว อายุน้อยกว่าเล็กน้อย ราวสิบสี่ปี ไว้ผมหน้าม้า ยาวถึงเอว ดวงตาสุกใส มีบุคลิกน่ารักน่าเอ็นดู
“เสี่ยวเฉวียนกับเจินหลิงหรือ” ลู่เซิ่งมีคนทั้งสองในความทรงจำ ลู่เฉวียนกับลู่เจินหลิง ล้วนเป็นน้องชายกับน้องสาวแท้ๆ ที่สนิทสนมกับร่างคุณชายใหญ่ร่างนี้
“พี่ใหญ่มาดูโถงบรรพบุรุษอีกแล้ว” ลู่เฉวียนกล่าวอย่างไม่พอใจ “โถงบรรพบุรุษมีอะไรน่าดูกัน สมัยบรรพบุรุษยังอยู่ก็ชอบทำความสะอาด หรือตายไปแล้วยังหวังว่าจะมาแสดงสง่าราศีอีก พวกเราไปฝึกคู่กันดีกว่าพี่ใหญ่!”
“กล่าววาจาไร้สาระ” ลู่เจินหลิงตบศีรษะลู่เฉวียนอย่างจนใจ “พี่ใหญ่ยังไม่หายดี เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาไม่นาน ตอนนี้ร่ำร้องจะฝึกคู่อยู่ได้ ดูเหมือนเจ้ายังแพ้ไม่พอกระมัง”
“วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้…” ลู่เซิ่งยิ้ม เผยรอยยิ้มอบอุ่นของลู่จ้ง
น้องชายกับน้องสาวสองคนนี้ไม่ได้มีสายเลือดเหมือนกันกับเขา แต่มีบิดามารดาให้กำเนิดเดียวกัน
“ไม่แน่สักวันอยู่ๆ เขาอาจจะมีสิทธิ์ชนะข้าก็ได้” ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบหัวเด็กหนุ่มลู่เฉวียน
น้องชายน้องสาวเริ่มขอให้เขาสอนทักษะเกี่ยวกับวิชาวรยุทธ์ที่ถ่ายทอดในตระกูลสำหรับฝึกฝนประจำวันบางส่วนให้
ตระกูลลู่แห่งหมู่บ้านควันม่วงถ่ายทอดมรรคายุทธ์หยาบๆ วิชาหนึ่งมาโดยตลอด มีชื่อว่าวิชากระบี่ยอดพฤกษา ลู่จ้งกลับฝึกฝนวิชากระบี่ชนิดนี้จนช่ำชองเชี่ยวชาญ แต่จนปัญญาที่วิชากระบี่นี้ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เอามาใช้ต่อสู้ หากมีความจำเป็นในการประกอบพิธีกรรม
หลังลู่เซิ่งให้คำตอบทั้งสองอย่างละเอียด ก็ใช้สายตาส่งน้องชายกับน้องสาวที่จากไปด้วยความเบิกบาน จากนั้นด้านข้างก็มีคนเข้ามาใกล้ แล้วเตือนเบาๆ ว่า
“คุณชายใหญ่ ประมุขหมู่บ้านให้ท่านไปโถงเหลียนเฉ่าขอรับ”
“ทราบแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า ร่างกายเพิ่งจะดีขึ้นจนพอจะลุกไหว ก็มีเรื่องราวต่างๆ รอคอยให้จัดการทันที
เขารอให้น้องชายน้องสาวเดินหายลับไปก่อน จึงค่อยขยับตัวเดินไปตามทางระเบียงของหมู่บ้าน ไม่นานก็หยุดอยู่ด้านหน้าอาคารประหลาดที่มืดมัวเย็นเยียบ และบรรยากาศหนักอึ้งแห่งหนึ่ง
ประตูใหญ่ของอาคารเปิดอ้าอยู่ บุรุษวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึม เพียงมองก็รู้ว่ามีบุคลิกเข้มงวดยืนเงียบๆ อยู่ด้านใน เขามีใบหน้าหล่อเหลา มองออกว่าสมัยหนุ่มคงเป็นบุรุษรูปงามหายาก สวมชุดทะมัดทะแมงสีเทาอ่อนที่เรียบง่ายแต่ก็ไม่สูญเสียความประณีตไป
ลู่เซิ่งเพิ่งมาถึง บุรุษวัยกลางคนก็เอ่ยเสียงขรึม
“จ้งเอ๋อร์หรือ เข้ามาสิ”
“ขอรับ” ลู่เซิ่งก้มหน้าขานรับ รับมือด้วยท่าทางเดิมของลู่จ้ง
ก่อนที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์รอบๆ แล้วเสร็จ เขาไม่คิดจะทำลายการคุ้มครองจาถสถานะของลู่จ้ง
บุรุษวัยกลางคนคือลู่ตั้งเฟิงประมุขหมู่บ้านของหมู่บ้านควันม่วงรุ่นนี้ ตอนนี้เขามองดูบุตรชายที่ไม่ทำให้ตนวางใจด้วยสายตาซับซ้อน
ในพิธีกรรมเมื่อก่อนหน้านี้ อยู่ๆ บุตรคนโตคนนี้ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่าผู้คุ้มครองเพราะสาเหตุพิเศษบางประการ จึงทำตัวเสียมารยาทต่อพวกผู้คุ้มครองเนื่องจากความคิดไร้สาระ จากนั้นก็ถูกเตะออกจากพิธีกรรมและได้รับบาดเจ็บหนักไปด้วย
วันนี้ดูท่าทาง แม้เขาจะอาการดีขึ้นมากกว่าครึ่งแล้ว แต่หากอยากจะผ่านพิธีกรรม และรับตำแหน่งประมุขหมู่บ้านต่อ ยังมีความยุ่งยากมหาศาล
“ยังบาดเจ็บอยู่ไหม” ลู่ตั้งเฟิงมองบุตรคนโตที่ทำตัวนบน้อมด้านหน้า ในที่สุดก็ใจอ่อน พลางถามเบาๆ
“เรียนท่านพ่อ ยังไหวขอรับ” ลู่เซิ่งตอบเสียงทุ้มต่ำ
“อย่าโทษข้าเลย ต่อจากนี้เจ้าจะเข้าใจเอง หมู่บ้านควันม่วงของพวกเราติดต่อกับพวกผู้คุ้มครองผ่านประเพณีนี้ เพื่อให้พวกเขาคุ้มครองผนึกอันแข็งแกร่งใต้ดินโดยใช้การเซ่นสรวงและการจัดพิธี นี่เป็นสิ่งที่พวกเราต้องทำ” ลู่ตั้งเฟิงริมฝีปากสั่นไหวน้อยๆ กล่าวคำพูดนี้เบาๆ และไม่ชัดเจน เหมือนกับกำลังพูดกับตัวเอง และคล้ายกับทำเสียงพึมพำ
“น้องชายกับน้องสาวของเจ้าล้วนมีผู้คุ้มครองเป็นของตัวเอง ถ้าหากเจ้าหาวิธีให้ได้การยอมรับจากผู้คุ้มครองไม่ได้ วันหน้าเกรงว่าจะไม่อาจสืบทอดประเพณีตลอดพันปีของหมู่บ้านได้อีกต่อไป” ลู่ตั้งเฟิงพูดอย่างจนปัญญา
“ข้าเข้าใจดี” ลู่เซิ่งรู้จักผู้คุ้มครองอะไรนี่จากความทรงจำของลู่จ้ง
ลู่ตั้งเฟิงผู้เป็นบิดามักจะพูดคำพูดที่ฟังไม่เข้าใจกับตัวเอง อย่างเช่น ผู้คุ้มครอง วิญญาณคุ้มครอง หรือไม่ก็ผนึกชั่วร้าย คุ้มครองพันปี อะไรเทือกนี้เสมอ
ตั้งแต่เด็กจนโต ลู่จ้งได้ยินคำพูดเหล่านี้จนหูแทบชา แต่ไม่เคยเห็นฉากพิเศษที่เหนือจินตนาการใดๆ มาก่อน
ดังนั้นจึงไม่เคยสนใจแม้แต่น้อย
“ตอนบ่ายยังมีพิธีกรรมเพิ่มเติม เจ้าเข้าร่วมกับข้าเถอะ” ลู่ตั้งเฟิงพูดต่อ
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาสนใจในพิธีกรรมที่ไม่รู้จักอะไรนี้มากว่ามันจะมีผลอะไรกันแน่
“เอาล่ะ เจ้าไปเตรียมตัวก่อนเถอะ” ลู่ตั้งเฟิงโบกมือ
ลู่เซิ่งจึงค่อยถอยออกจากโถงด้านในที่มืดครึ้มและชื้นแฉะอย่างช้าๆ ก่อนกลับทางเดิม
ขณะกลับทางเดิม เขาเดินผ่านพวกทหารและข้ารับใช้ประจำตระกูลที่กำลังฝึกอยู่โดยบังเอิญ จึงยืนอยู่ในระเบียงที่เป็นทางผ่าน พลางมองไปด้านนอก เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนราวยี่สิบคนกำลังวิ่งวนรอบลานฝึกทางซ้ายมืออย่างรวดเร็วอยู่
“ดาบ!”
ขุนพลประจำตระกูลที่เป็นผู้นำตะโกนขึ้น
ควับ!
ทันใดนั้นคนทั้งหมดยี่สิบคนก็ฟันคมดาบไปด้านหน้า การเคลื่อนไหวไม่มีชักช้าอืดอาดแม้แต่น้อย ไอสังหารพลุ่งพล่าน
คมดาบสีเงินสะท้อนประกายสว่างไสวใต้แสงอาทิตย์
“โล่!”
ขุนพลประจำตระกูลตะโกนขึ้นอีกรอบ
ทันใดนั้นทหารทุกคนก็เก็บดาบแล้วหมุนตัว ก่อนจะใช้อีกมือถือโล่มาตั้งไว้ด้านหน้า ปกปิดศีรษะและร่างท่อนบนมากกว่าครึ่งเข้าไปด้านใน
‘วินัยไม่เลว’ ลู่เซิ่งพยักหน้ากับตัวเอง ความเร็วในการเคลื่อนไหวตามคำสั่งนี้ ต่อให้เป็นต้าอิน ก็นับได้ว่าเป็นทหารมากฝีมือแล้ว
หลังจากละสายตากลับมา ลู่เซิ่งก็กลับไปพักผ่อนที่เรือนของตัวเองโดยไม่หยุดระหว่างทางอีก
พอกินอาหารเที่ยงและโจ๊กใส่ยาสำหรับบำรุงเลือดลมเสร็จ ลู่เซิ่งก็ถูกจัดให้อาบน้ำชำระร่างกายอีกครั้งพร้อมกับจุดธูปหอมทำให้ใจสงบ ต่อมาก็มาถึงโถงเหลียนเฉ่าของบิดาลู่ตั้งเฟิงอีกครั้งภายใต้การนำทางของหญิงรับใช้กระโปรงแดงท่าทีเย็นชาสองคน
ครั้งนี้ คนที่ยืนอยู่ในโถงเหลียนเฉ่าไม่ได้มีแค่ลู่ตั้งเฟิงคนเดียว ยังมีผู้อาวุโสประจำตระกูลห้าคนที่แก่หงำเหงือก ทั้งยังมีบุคลิกเยือกเย็นซึ่งแทรกด้วยไอความตายอยู่ด้วย
ผู้อาวุโสทั้งห้าคนนั่งในโถงเหลียนเฉ่าเป็นรูปพัด ลู่ตั้งเฟิงนั่งตรงกลาง พื้นในห้องวาดลวดลายอักขระสับสนไว้แน่นขนัด ดูเหมือนกับเด็กน้อยละเลงสีมั่วซั่ว แต่ก็คล้ายซ่อนแบบแผนและความบิดเบี้ยวเอาไว้ด้านใน
เส้นสายลวดลายเป็นสีเลือด ประทับบนพื้นอย่างแน่นหนา ทั้งยังแผ่กลิ่นอายลึกลับเย็นเยือก
ลู่เซิ่งถูกพาเข้าไปนั่งลงบนบัลลังก์หินสีดำ นั่งอยู่ตรงขอบของลวดลายค่ายกลบนพื้นเหมือนกับคนอื่นๆ
จากนั้นหญิงสาวกระโปรงแดงสองคนที่ชักนำเขาเข้าประตูมาก็เดินไปถึงกลางค่ายกล
กรี๊ด!
ชั่วขณะนั้นเกิดเสียงกรีดร้องแหลม เด็กสาวคนหนึ่งกรีดร้องเสียงดังด้วยสีหน้าบ้าคลั่งที่อธิบายไม่ได้ ส่วนเด็กสาวอีกคนเริ่มกางสองแขน แล้วเต้นระบำอันลึกลับ
การเต้นระบำของนางเหมือนกับหุ่นไม้ ทว่าดวงตาคลุ้มคลั่ง เสียงซือๆ เหมือนเสียงแมลงและเสียงงูดังมาจากปากเป็นระยะ
เสียงกรีดร้องดังสูงต่ำตลอดเวลา ถึงขั้นยังมีจังหวะที่อธิบายไม่ได้บางส่วนด้วย
ประตูของโถงเหลียนเฉ่าค่อยๆ ปิดลง
ลู่ตั้งเฟิงลุกขึ้นจุดเทียนไขขนาดเท่ากำปั้นที่อยู่บนที่รองด้านหน้าค่ายกล มันกลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงหนึ่งเดียวในโถงเหลียนเฉ่า
เขาเริ่มพูดอะไรบางอย่างใส่เทียนเบาๆ
ผู้อาวุโสทั้งห้าคนที่อยู่ด้านข้างเริ่มหยิบของที่เหมือนกับกระดาษเงินออกมาหลายใบ แล้วโปรยใส่ร่างเด็กสาวทั้งสองคนไม่หยุด
ลู่เซิ่งไม่ได้ถูกสั่งให้ทำอะไร เพียงนั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้
เสียงกรีดร้องแปลกประหลาด การเต้นระบำที่พิสดาร การท่องบทสวดที่ลึกลับ แสงเทียนที่มืดสลัว และผู้อาวุโสพิลึกพิลั่นห้าคนที่เท้ามากกว่าครึ่งก้าวไปในโลงแล้ว
ภาพนี้มองอย่างไรก็ผิดปกติ
เวลาค่อยๆ เลื่อนไหล ลู่เซิ่งเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ด้านในโถงเหลียนเฉ่าไม่ทราบว่ามีกลิ่นอายปริศนาบางส่วนค่อยๆ โผล่มาในอากาศตั้งแต่ตอนไหน เย็นมาก แต่เป็นกลิ่นอายที่ธรรมดา
เขากวาดตามองรอบๆ อย่างสงบนิ่ง กลับค้นพบออย่างประหลาดใจว่ามีเงาดำที่เลือนรางหลายสายโผล่มาในความมืดตรงขอบค่ายกลอย่างอธิบายไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
เงาดำเหล่านี้เหมือนกับคนผ่านทางที่มามองดูความคึกครื้น คอยมุงดูการเต้นระบำและการกรีดร้องของทั้งสองสาวอยู่วงนอกอย่างเงียบๆ
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย เงาดำที่มามุงดูยิ่งมายิ่งมาก ยิ่งมายิ่งหนาแน่น
เงาดำยืนอยู่ในความมืด ยืนอยู่วงนอกสุดที่แสงเทียนส่องถึง สายตาของคนปกติไม่มีทางพบเห็นพวกเขา แต่ลู่เซิ่งนั้นแตกต่าง
เขาไม่ได้สัมผัสผ่านร่างของลู่จ้ง หากแต่อาศัยสัมผัสของร่างหลักตรวจสอบ เมื่อเป็นแบบนี้ เงาดำเหล่านี้จึงปรากฏออกมาอย่างแจ่มชัดมากขึ้น
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก ในใจเกิดความกังวลที่อธิบายไม่ได้
เขามองไปยังลู่ตั้งเฟิงประมุขหมู่บ้านที่กำลังท่องบทสวดอะไรบางอย่างอยู่ ความกังวลในใจนี้เกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายนั่นเอง
‘ประมุขหมู่บ้านทุกคนล้วนจากไปก่อนวัยอันควรทั้งนั้น ช่วงนี้ท่านพ่อแก่ชราลงเรื่อยๆ แล้ว…ขออย่า’ ความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจเขา
เอ๋?
ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็รู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว นี่สมควรเป็นเพราะเขาหลอมรวมดูดซับความคิดความปรารถนาของลู่จ้งแล้ว
เขาหลับตาขบคิดและสัมผัสสถานการณ์ในจิตวิญญาณอย่างละเอียด ความคิดนี้ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดเหมือนกับเส้นด้ายสีขาวบนแผ่นกระดานสีดำ หนำซ้ำยังจับตัวกันจนสะดุดตาถึงขีดสุด
เขาทดลองสลายความคิดที่เกิดขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้นี้ แต่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย คล้ายกับความคิดนี้กลายเป็นความยึดติดไปแล้ว
เขาเกิดความรู้สึกหนึ่งอย่างน่าประหลาด คล้ายขอแค่ตนทำให้ผลเกิดขึ้นได้ ก็จะจัดการเรื่องตรงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และได้รับเบาะแสในการกลับต้าอิน
ลางสังหรณ์นี้มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ โครงสร้างองค์ประกอบของจิตวิญญาณลึกลับเกินไป ต่อให้เป็นต้าอินในปัจจุบัน ก็ไม่มีใครศึกษาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจเช่นกัน ตนควรจะเชื่อลางสังหรณ์นี้ หรือว่าไม่ควรเชื่อดี
‘ถ้าหากเดาไม่ผิดล่ะก็ เราน่าจะเกิดขึ้นเพราะจิตมารของลู่จ้ง กลายเป็นมารสวรรค์นอกแดนของเขา มารสวรรค์ มารสวรรค์ บางทีเราอาจจะมาถึงที่นี่เพราะจิตมารของลู่จ้งที่ปรากฏโดยบังเอิญเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ได้ ตามเส้นทางดั้งเดิมแล้ว หากคิดจะทำให้การหลอมรวมนี้สำเร็จเสร็จสิ้น เราน่าจะต้องทำให้ความปรารถนาของลู่จ้งเป็นจริง ถึงจะได้รับพลังทางจิตวิญญาณนี้โดยสมบูรณ์’
เขาใคร่ครวญ ไม่นานก็ตัดสินใจทดลองตามลางสังหรณ์ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสหรือเส้นทางอื่น ลองทำดูก่อนค่อยว่ากัน
ตอนที่ได้สติ พิธีกรรมก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่แล้ว
ไม่ทราบว่ามีชามเล็กๆ ใบหนึ่งโผล่มาในมือลู่ตั้งเฟิงตอนไหน ด้านในบรรจุของเหลวเหนียวเหนอะหนะสีดำทะมึนที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาว
เชิงเทียนด้านหน้าเขามีคางคกตัวสีดำตาสีเขียวโผล่มา
ลู่ตั้งเฟิงท่องบดสวดไปพลาง กอบของเหลวสีดำขึ้นมาสาดใส่ศีรษะคางคกด้านหน้าไปพลาง
……………………………………….