ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 438 มารสวรรค์ (2)
บทที่ 438 มารสวรรค์ (2)
ผ่านไปสักพัก คางคกก็กระโดดจากไป ลู่ตั้งเฟิงค่อยๆ ยืดตัวขึ้นแล้วเดินมาถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง
“เอาละ เจ้ามาทำไปพร้อมกับข้าเถอะ เหล่าผู้คุ้มครองยกโทษให้กับการเสียมารยาทของเจ้าแล้ว ขอแค่ภายหลังเจ้าเตรียมของขวัญไว้ พวกเขาก็จะช่วยเจ้าจัดการปัญหาการรั่วไหลเหมือนเดิม”
“อื้อ” ลู่เซิ่งไม่เข้าใจสาเหตุ แต่ตอนนี้ก็พยักหน้าตามท่าทางของลู่จ้ง
เขาลุกขึ้นแล้วตามลู่ตั้งเฟิงไปนั่งลงด้านหน้าเทียนไข การเคลื่อนไหวเลียนแบบอีกฝ่ายทุกอย่าง เวลาลู่ตั้งเฟิงพูดอะไร เขาก็พูดตาม
เขาไม่รู้ว่านี่หมายถึงอะไร ลู่ตั้งเฟิงก็ไม่ได้อธิบาย ดังนั้นลู่เซิ่งได้แต่จดจำจังหวะเพียงอย่างเดียว
พูดตามทุกประโยค ทำตามทุกอย่างไปเรื่อยๆ เช่นนี้ จนผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดเทียนไขก็ดับลง
พิธีกรรมจบลงโดยสมบูรณ์
“ลำบากแล้ว…ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก” ลู่ตั้งเฟิงยิ้ม ครั้งนี้การแสดงออกของบุตรคนโตทำให้เหล่าผู้คุ้มครองชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงพลอยอารมณ์ดีไปด้วย
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าตนทำได้ดีตรงไหน อาจเป็นเพราะออกเสียงตามลู่ตั้งเฟิงโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว จึงนับว่าการแสดงออกครั้งนี้ไม่เลวก็ได้
หลังจากพิธีกรรมจบลง ลู่ตั้งเฟิงกับลู่เซิ่งก็โค้งตัวบอกลาเหล่าผู้อาวุโส ก่อนจะพากันออกมาจากโถงเหลียนเฉ่า
“เดินเป็นเพื่อนข้าหน่อย” ลู่ตั้งเฟิงเอ่ยเบาๆ
“ขอรับ…” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาสนใจใคร่รู้ในหมู่บ้านควันม่วงที่ลึกลับแห่งนี้ เงาดำลึกลับที่โผล่มาก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าคืออะไร ต่อให้เป็นเขาก็ไม่รู้ว่าเงาคนประหลาดเหล่านั้นเป็นตัวตนระดับไหน
พ่อลูกเดินบนเส้นทางน้อยบนสวนดอกไม้ด้านในหมู่บ้าน ลู่ตั้งเฟิงเหมือนกับหีบเสียงที่มีคนเปิดเล่น เขาถอนใจยาว แล้วพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเนื้อหาพิธีกรรมทันที
“ตอนแรกข้านึกว่าเจ้าไม่มีความหวังในการครอบครองพิธีรวมวิญญาณแล้ว…ตอนนี้ดูเหมือนก่อนหน้านี้ข้าจะดูผิดไป คุณสมบัติของเจ้าดีกว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีก เหล่าผู้คุ้มครองพึงพอใจในตัวเจ้ามาก พิธีกรรมครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี พวกเขาตอบรับว่าถ้าครั้งหน้ามีปัญหา จะลงมือช่วยเหลือหนึ่งครั้ง ผนึกที่พวกเราคุ้มครองปลอดภัยขึ้นกว่าเดิมแล้ว”
“ท่านพ่อ นี่เป็นเรื่องอะไรกันแน่” ลู่เซิ่งไม่พบข้อมูลลับด้านนี้จากความทรงจำของลู่จ้ง แสดงให้เห็นว่านี่เป็นเนื้อหาที่เขาเริ่มสัมผัสอย่างแท้จริง
ลู่ตั้งเฟิงยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หมู่บ้านควันม่วงของพวกเราปกป้องผนึกที่น่ากลัว แข็งแกร่ง และชั่วร้ายถึงขีดสุดเอาไว้ ผนึกนี้มีแต่เหล่าผู้คุ้มครองที่เป็นตัวตนระดับสุดยอดเหมือนกันถึงจะรับมือต้านทานได้ พวกเราคนธรรมดาจึงคิดหาวิธีบางส่วนเพื่อป้องกันไม่ให้ผนึกถูกทำลาย โดยขอให้เหล่าผู้คุ้มครองช่วยต้านทานวิญญาณร้ายในผนึกที่แอบหนีออกมาเป็นบางครั้ง นี่ก็คือที่มาของพิธีกรรมนี้”
“เหตุใดจึงเป็นพวกเรา” ลู่เซิ่งถามอีก
“ไม่ทราบ นี่เป็นกฎที่บรรพบุรุษส่งต่อมา ไม่มีใครทำลายได้ และไม่มีใครตั้งคำถามได้ มีแต่คุณสมบัติร่างที่เหมาะสมมากที่สุดของพวกเราเท่านั้นที่สามารถติดต่อกับเหล่าผู้คุ้มครองได้ ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีใครทำได้” ลู่ต้งเฟิงอธิบาย
“ผู้คุ้มครองเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม
“พวกเขาเป็นวิญญาณตามธรรมชาติ เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในเงามืด แต่จริงๆ แล้วเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านพ่อกับท่านตาของข้าเคยบอกกับข้าแบบนี้ เจ้าฟังไว้ก็พอ ถ้าสงสัยจริงๆ หลังจากเจ้าฝึกฝนพิธีรวมวิญญาณที่สืบทอดกันในตระกูลถึงระดับสูงสุดแล้ว บางทีอาจจะติดต่อกับเหล่าผู้คุ้มครองเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ได้ก็ได้” ลู่ตั้งเฟิงยิ้มพลางส่ายหน้า
“ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งในผนึกจะมีวิญญาณร้ายหนีออกมาบางส่วน หากเหล่าผู้คุ้มครองไม่ลงมือ หมู่บ้านของพวกเราจะเป็นเป้าหมายที่ถูกฆ่าเป็นอันดับแรก พวกเราคุ้มครองผนึกมานานแสนนาน หากพวกมันหนีออกมาได้ คนที่จะเลือกแก้แค้นเป็นคนแรกก็คือพวกเรา นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราต้องรับภารกิจนี้อย่างจนปัญญา” ลู่ตั้งเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “เจ้าอย่าคิดหนีเล่า หนีไปไกลแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ พวกบรรพบุรุษเคยลองวิธีนี้มานานแล้ว”
“หมายความว่าผลของพิธีรวมวิญญาณก็คือการติดต่อกับเหล่าผู้คุ้มครองหรือ” ลู่เซิ่งถามอีก
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ พิธีกรรมนี้รวมท่ามือ บทสวด ลวดลายค่ายกลเอาไว้ด้วยกัน ต้องใช้ของเซ่นมากมาย ข้าจะบอกให้เจ้าฟังก่อน” ลู่ตั้งเฟิงพูดถึงตรงนี้ก็ถือโอกาสอธิบายพิธีรวมวิญญาณให้ลู่เซิ่งฟัง
ทั้งสองอยู่ในสวนดอกไม้ ไม่กลัวว่าจะมีใครแอบฟัง สิ่งนี้ต่อให้มีคนแอบฟัง ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรนัก วิชาลับที่มีแต่คุณสมบัติร่างอย่างพวกเขาถึงจะใช้ได้ ต่อให้คนอื่นเอาไปใช้ ก็ไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย
ทำความเข้าใจสักพัก ลู่เซิ่งก็เข้าใจคร่าวๆ ว่าพิธีรวมวิญญาณนี้คือสิ่งใด
พิธีรวมวิญญาณแบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ หยิน กลาง หยาง
หยินเป็นส่วนของการเตรียมตัว เตรียมวัตถุดิบ ลวดลายค่ายกล การสร้างท่ามือ บทสวด และการเลือกเป้าหมายที่จะติดต่อ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะการเลือกเป้าหมาย จะต้องระมัดระวัง ผู้คุ้มครองที่เลือกมีบางส่วนที่เหมือนกับชิกิงามิ[1]ในตำนานเทพนิยายที่เขาเคยศึกษาบนโลกใบเดิม จำเป็นต้องมีพลังแข็งแกร่งเพียงพอ ไม่อย่างนั้นหากเผชิญกับวิญญาณร้ายที่หนีออกมาด้านนอกผ่านการรั่วไหล ผู้คุ้มครองอาจจะเป็นฝ่ายแพ้ก็ได้
แต่ว่าความแตกต่างระหว่างวิญญาณคุ้มครองกับชิกิงามิอยู่ที่ วิญญาณคุ้มครองเป็นนักรบรับจ้างชั่วคราว พิธีกรรมครั้งหนึ่งสามารถกำหนดความสัมพันธ์กับวิญญาณคุ้มครองได้ตนหนึ่ง และวิญญาณคุ้มครองที่ได้เจอในแต่ละครั้งก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับโอกาสล้วนๆ นี่จำเป็นต้องเลือกวิญญาณคุ้มครองที่แข็งแกร่งมากพอในการทำพิธี เพื่อรับมือกับวิญญาณร้ายที่รั่วไหลจากผนึก
นี่คือหยินซึ่งเป็นส่วนแรก
ส่วนที่สองคือกลาง เป็นการเริ่มต้นพิธีอย่างเป็นทางการ วิญญาณคุ้มครองแต่ละตนต้องการของขวัญหรือของเซ่นที่เฉพาะเจาะจงแตกต่างกันไป ขณะเดียวกันก็ต้องเอาใจอีกฝ่ายต่างๆ นาๆ ต้องสรรเสริญมัน ยกยอมัน สรุปก็คือต้องประจบประแจง ถวายด้วยของขวัญ ต่อจากนั้นก็ผูกพันธะสัญญา นี่จึงค่อยทำให้อีกฝ่ายช่วยจัดการปัญหาได้
ส่วนที่สามคือหยิน ก็คือกระบวนการรับมือวิญญาณร้ายอย่างแท้จริงนั่นเอง
ส่วนนี้กลับค่อนข้างง่าย ขอแค่เรียนมุทรากับคำสวดที่ใช้ติดต่อกับวิญญาณคุ้มครองโดยเฉพาะก็พอแล้ว
พิธีรวมวิญญาณต้องเรียนทั้งหมดสามส่วน อักษรหยิน อักษรกลาง อักษรหยาง สามส่วนเป็นการสืบทอดอันสมบูรณ์ของหมู่บ้านควันม่วงอย่างแท้จริง
ตอนนี้ลู่ตั้งเฟิงไม่ปิดบังสักเรื่องเดียว อธิบายรายละเอียดให้ลู่เซิ่งฟังทั้งหมด ทั้งยังหยิบตำราที่เตรียมไว้แล้วเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ แล้วส่งให้เขาเอาไปอ่านศึกษาอย่างละเอียด รวมถึงจดจำทั้งหมด
ลู่เซิ่งมีความรู้และประสบการณ์กว้างขวางขนาดไหน อ่านผ่านๆ รอบเดียวก็รู้ถึงเคล็ดลับของพิธีรวมวิญญาณที่ว่าทันที
นอกจากอักษรหยินบางส่วนที่มีท่ามือกับลวดลายค่ายกลอันซับซ้อนบ้างแล้ว แต่ที่เหลือล้วนง่ายดายมาก
‘นี่เป็นวิธีการใช้วิญญาณ สารกาย ปราณ และจิตที่ซับซ้อน นึกไม่ถึงเลยว่าการใช้พลังจิตของโลกใบนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้แล้ว’ ลู่เซิ่งมองออกถึงสิ่งที่ล้ำลึกน่าอัศจรรย์ถึงขีดสุดซึ่งซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก
หลังแยกจากลู่ตั้งเฟิง เขาก็กลับเรือนคนเดียว แล้วศึกษาส่วนอักษรหยินบนตำราเล็กๆ อย่างละเอียด
ศักยภาพของระดับอริยะเจ้าทำให้เขาเข้าใจพิธีรวมวิญญาณอย่างสมบูรณ์โดยใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น และเขาก็เชื่อว่า เทียบกับพลังวิญญาณอันน่าสงสารของลู่ตั้งเฟิงกับผู้อาวุโสเหล่านั้นแล้ว พลังวิญญาณของเขาเพียงคนเดียวเทียบเท่ากับพวกเขาหลายร้อยคนหรือมากกว่านั้น
ระหว่างที่ศึกษาอักษรหยิน ลู่เซิ่งก็ค้นพบจุดที่น่าอัศจรรย์อีกครั้ง
เขาค้นพบว่ากายเนื้อของลู่จ้งมีโครงสร้างเดียวกับร่างหลักของเขาสมัยยังเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ผิดเพี้ยน! ส่วนพลังวิญญาณของเขาก็เข้าๆ ออกๆ ร่างกายร่างนี้ได้อย่างไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อย เขารู้สึกได้ว่าในนี้อาจจะซุกซ่อนความลับใหญ่บางอย่างเอาไว้
ขณะที่ศึกษาพิธีรวมวิญญาณ เวลาก็ผ่านไป พริบตาเดียวก็เป็นหนึ่งปีกว่าให้หลัง
ลู่เซิ่งเข้าใจพิธีรวมวิญญาณจนทะลุปรุโปร่งแล้ว สำหรับเขา มันก็คือวิธีใช้จิตวิญญาณส่วนหนึ่ง สำหรับจิตวิญญาณในระดับอริยะเจ้าของเขา นี่เป็นสิ่งที่ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากเสียอีก
ในช่วงเวลานี้ เขาเริ่มฝึกฝนกายเนื้ออย่างเป็นทางการอีกครั้ง กายเนื้อที่เปราะบางถึงขีดสุดขนาดนี้ทำให้เขาทนไม่ไหวจริงๆ
เขาดำเนินการจากพื้นฐานแรกเริ่ม ทุกสิ่งนี้เหมือนย้อนกลับไปสมัยยังอยู่ที่เมืองเก้าเชื่อม
ทว่าสิ่งที่ลู่เซิ่งฝึกฝนไม่ใช่มรรคายุทธ์ในความทรงจำของตัวเอง หากเป็นวิชากระบี่ยอดพฤกษาซึ่งเป็นวิชายุทธ์ที่ถ่ายทอดในตระกูลลู่ของที่นี่
วิชากระบี่นี้ดูเหมือนจะหยาบกระด้าง แต่ความจริงค่อนข้างไม่ธรรมดา ด้วยความรู้ที่ใกล้เคียงกับระดับปรมาจารย์ของลู่เซิ่ง สามารถมองเห็นถึงอานุภาพการต่อสู้ที่น่าดูชมซึ่งแฝงอยู่ด้านในได้
กอปรกับร่างกายนี้มีความทรงจำทางร่างกายอย่างล้ำลึกถึงขีดสุดต่อวิชากระบี่ยอดพฤกษา เขาจึงฝึกมันจนถึงขั้นเบื้องต้นก่อน
เขาลองมาแล้วหลายครั้ง แต่แก่นหยางของตัวเองไม่อาจใช้กับกายเนื้อนี้ได้ คล้ายจะเกิดขึ้นเพราะกฎไม่เหมือนกัน ถ้าหากเขาระเบิดแก่นหยางโดยสมบูรณ์ อานุภาพนั้นจะยังอยู่ ทว่าจะทำลายกายเนื้ออันอ่อนแอนี้ในพริบตา
ดีที่จิตวิญญาณของอริยเจ้าแข็งแกร่งถึงระดับอณูแล้ว ถึงขั้นมีความสามารถในการหลอกลวงความจริงขั้นต้น จนสามารถกระตุ้นเซลล์และอวัยวะภายในในระดับสูงสุดเพื่อให้แสดงการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยย่อยอาหารให้กลายเป็นสารกายกับพลังกายที่เหมาะกับกฎของโลกนี้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อ
เพียงใช้เวลาแค่หนึ่งปีกว่าๆ ร่างกายของลู่เซิ่งก็กำยำขึ้นส่วนหนึ่ง จากคุณชายผอมแห้งในตอนแรก ล่ำสันขึ้นกลายเป็นวีรบุรุษหน้าเหี้ยมด้วยความเร็วสูง
ตูม!
“วิชากระบี่ยอดพฤกษา ทาริกาทะลวงพนา!”
ลู่เซิ่งใช้กระบี่ผ่าทะลุหินเขียวก้อนใหญ่สูงสามหมี่กว่าๆ ตรงหน้าอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ก้อนหินขนาดใหญ่ระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เส้นเลือดและเส้นเอ็นปูดโปนขึ้นบนกล้ามเนื้อแขน
เขาถอนกระบี่ยักษ์สีดำหนักสี่ร้อยกว่าชั่งขึ้นจากพื้นพลางหอบหายใจ
รอบข้างคือทหารประจำตระกูลลู่ที่อ้าปากตาค้าง และมีสีหน้าตะลึงงัน ลู่เฉวียนกับลู่เจินหลิงสองพี่น้องยืนอยู่ในนี้ด้วย
แต่ละคนมองลู่เซิ่งที่กำลังฝึกกระบี่จนตาค้าง
“ทาริกาทะลวงพนา…”
“นี่ยังเรียกว่าทาริกาอีกหรือ คุณชายใหญ่กำลังหยอกพวกเราเล่นกระมัง”
ทหารประจำตระกูลมองเป้าซ้อมกระบี่ที่เป็นตอไม้สำหรับใช้ฝึกด้านหน้าตน จากนั้นก็มองหินเขียวก้อนใหญ่ที่ถูกทุบแหลกจนกระจายเต็มพื้น ต่างคนต่างหมดคำพูด
“ฝึกกระบี่เหมือนกันแท้ๆ…” ลู่เฉวียนมองกระบี่ขนาดเท่านิ้วมือในมือของตน จากนั้นก็มองกระบี่ยักษ์สีดำขนาดเท่าอ่างล้างหน้าในมือพี่ใหญ่ จิตใจเกิดอารมณ์รุนแรงแต่ไม่อาจระบาย อยู่ๆ ก็อยากด่ามารดาคนอย่างอธิบายไม่ได้…
ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ไปขอฝึกฝนมรรคายุทธ์และวิชากระบี่ยอดพฤกษาจากท่านพ่อ แม้ท่านพ่อจะเตือนเขาก็ไม่ฟัง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าผ่านไปสักพักใหญ่ๆ…จะฝึกจนเป็นแบบนี้ไปแล้ว
ลู่เฉวียนเหลือบมองดูแขนของพี่ใหญ่ที่ใหญ่กว่าขาของตน มุมปากอดชักกระตุกไม่ได้
ลู่เซิ่งโยนกระบี่ยักษ์ไปด้านข้าง แล้วรับผ้าขนหนูที่หญิงรับใช้ส่งมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะเช็ดเหงื่อบนร่าง
“อ่อนแอนัก!” เขาหันไปจ้องมองทหารประจำตระกูลที่อยู่ไม่ไกลพลางตะโกน “ดูกระบี่ของพวกเจ้าสิ! เล็กอย่างกับตะเกียบ เป็นบุรุษสมควรใช้สิ่งนี้!”
ตึง!
เขายกโม่หินที่อยู่บนพื้นทางขวาขึ้นมา โม่หินขนาดเท่าอ่างอาบน้ำถูกเขายกขึ้นมาด้วยมือเดียว ห้านิ้วจมลึกเข้าไปในขอบหินจนกลายเป็นรอยนิ้ว
สะบัดทีหนึ่ง โม่หินพลันเกิดเสียงแหวกลมที่หนักอึ้งน่ากลัว
ทหารประจำตระกูลที่เดิมยังนับว่าแข็งแรง มองดูคุณชายใหญ่ของพวกเขาแสดงสัจธรรมที่ว่าบุรุษก็คือกล้ามเนื้อด้วยสายตาตื่นตะลึง
หลายวันก่อนหน้านี้ อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ลงมือเอาชนะแม่ทัพประจำตระกูลที่รับผิดชอบสอนทหารประจำตระกูลของหมู่บ้าน ภารกิจฝึกสอนทหารประจำตระกูลจึงถูกเขาแย่งชิงไป
ดังนั้นการฝึกฝนภาคเช้าของวันนี้จึงเกิดภาพอย่างในตอนนี้เข้า
ลู่เซิ่งมองทหารประจำตระกูลและน้องชายน้องสาวของตน ที่ถูกตนสะกดไว้ หลังจากเขาเข้าใจความปรารถนาของลู่จ้งคร่าวๆ แล้ว ก็เริ่มจัดการให้เสร็จสิ้นทีละอย่าง
ความปรารถนายิ่งใหญ่ที่สุดของลู่จ้งคือการคุ้มครองหมู่บ้าน ไม่ต้องการให้บิดาลู่ตั้งเฟิงจากไปก่อนวัยอันควรเพราะพิธีกรรม ข้อที่สองคือหวังให้ครอบครัวในหมู่บ้านใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
แต่ลู่เซิ่งไม่อาจปกป้องทุกคนอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสยกระดับพลังของพวกเขาผ่านการฝึกฝนทหารประจำตระกูลเหล่านี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายคุ้มครองทางอ้อม
เขาปรับปรุงวิชากระบี่ที่เดิมทีเป็นเพียงไม้ประดับอย่างวิชากระบี่ยอดพฤกษาให้กลายเป็นกระบี่เน้นกล้ามเนื้อชนิดพิเศษโดยสมบูรณ์ โดยใช้วิญญาณผสานกับการออกกำลัง ใช้เวลาแค่หนึ่งปี เขาก็ได้กายเนื้ออันน่าสะพรึงกลัวในระดับเอกลักษณ์ขอบเขตพันธนาการมา หลังจากผ่านการฝึกฝน
เขารู้แต่แรกแล้วว่า ที่บอกว่าพิธีรวมวิญญาณมีแต่คนของตระกูลลู่ที่ใช้ได้ ความจริงไม่ใช่ปัญหาทางคุณสมบัติร่างกายไร้สาระอะไร หากเป็นเพราะคนของตระกูลลู่มีคุณสมบัติทางพลังวิญญาณที่กล้าแข็งถึงขีดสุดโดยกำเนิด
ดังนั้นเขาจึงปรับปรุงวิชากระบี่ยอดพฤกษา ทำให้วิชากระบี่วิชานี้มีผลเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณขั้นแรก และเตรียมจะถ่ายทอดวิชากระบี่ที่ได้รับการปรับปรุงวิชานี้ให้แก่คนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เมื่อเป็นแบบนี้ พลังของทุกคนที่รวมกันในพิธีกรรมจะแยกกันรับแรงกดดัน การทำให้ตระกูลลู่หลุดพ้นจากวังวนนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายเพียงยกมือ
ส่วนประสิทธิผลอื่นๆ แค่เป็นเพราะเขาเกิดความสนใจเท่านั้น ลู่เซิ่งยึดถือแนวคิดหนึ่งมาโดยตลอด พลังก็คือทุกสิ่ง และกล้ามเนื้อก็หมายถึงพลัง ในอุดมคติของเขา ยิ่งแข็ง ยิ่งแกร่ง ยิ่งมีกล้ามเนื้อ ก็ยิ่งดีที่สุด!
……………………………………….
[1] ชิกิงามิ (Shikigami) เป็นวิญญาณภูตรับใช้ของหมอผีชาวญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อขององเมียวจิ มักถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมต่างๆ อาจเรียกได้ว่ามันเป็นสื่อกลางสำหรับการเรียกเทพเจ้า ปีศาจหรือภูตผี เพื่อนำพลังเหนือธรรมชาติของพวกมันไปใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางประการของเจ้าของ