ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 440 มารสวรรค์ (4)
บทที่ 440 มารสวรรค์ (4)
“พี่ใหญ่…ภายหลังพวกเราจะเป็นแบบนี้หรือไม่” ลู่เจินหลิงถามเบาๆ พลางสะอึกสะอื้น นางตกใจกลัวจริงๆ
ตั้งแต่เด็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นคนเกิดเรื่อง ก่อนหน้านี้ได้ยินมาตลอดว่ามีปัญหา แต่เป็นเพราะไม่ได้เห็นด้วยตา ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผู้อาวุโสรองเป็นผู้อาวุโสที่มีศักดิ์อาวุโสในตระกูล จัดพิธีมาหลายปี ไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดมาก่อน ครั้งนี้เป็นเพราะความบกพร่องครั้งเดียว กลับถูกเล่นงานอย่างสาหัสจนตายคาที่
นี่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อลู่เฉวียนกับลู่เจินหลิงที่อยู่ใกล้ๆ อย่างใหญ่หลวง
“ไม่หรอก…วางใจเถอะ มีพี่ใหญ่อยู่ด้วย” ลู่เซิ่งปลอบพลางดึงน้องสาวมากอดด้วยเสียงอ่อนโยนและตบหลังนางเบาๆ
ในใจเขากลับกำลังคิดถึงเรื่องอื่น
การเลือกและการอัญเชิญวิญญาณคุ้มครองมีหลักการอะไรเป็นพื้นฐานกันแน่ โดยเฉพาะการอัญเชิญ ถ้าหากเขาเจอวิญญาณคุ้มครองที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด จะสามารถใช้จัดการปัญหาการรั่วไหลของผนึกได้ตลอดไปหรือไม่
เขากังวลเล็กน้อย เขายกระดับกายเนื้อโดยตรง แต่จะจัดการวิญญาณร้ายในผนึกได้ไหม ดูเหมือนวิญญาณร้ายจะเป็นการดำรงอยู่ที่คล้ายกับพลังงานบริสุทธิ์
‘ดูเหมือนต้องหาเวลาจัดพิธีเพื่อติดต่อกับวิญญาณคุ้มครองที่ว่านี้สักครั้งหนึ่ง หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว ค่อยตัดสินใจดูว่าเราจะจัดการวิญญาณร้ายโดยตรงได้หรือไม่ จากนั้นค่อยทดลองแก้ไขผนึกอย่างสิ้นเชิงในภายหลัง’ ลู่เซิ่งตัดสินใจกับตัวเอง
เรื่องที่ผู้อาวุโสรองล้มเหลวในพิธีกรรมสงบลงอย่างรวดเร็ว ลู่ตั้งเฟิงจัดพิธีศพและสวมชุดไว้ทุกข์เป็นเวลาสิบวัน จากนั้นทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิม คล้ายไม่เคยเกิดเรื่องขึ้นมาก่อน
ทางลู่เซิ่ง หลังจากร่างกายคุ้นชินกับแก่นสารกายที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาก็เรียนรู้วิชาสารกายปริศนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาสิบวัน สุดท้ายหลังจากใช้พลังอาวรณ์ไปสิบหน่วย ก็เปลี่ยนแก่นสารกายทั้งหมดเป็นสีทอง
เขาตั้งชื่อให้แก่แก่นสารกายสีทองชนิดนี้ว่าระดับอสรพิษ เป็นระดับอสรพิษอันแข็งแกร่งที่อยู่เหนือกว่าระดับพันธนาการ กอปรกับวิชาเสริมสร้างร่างกายและวิชากำลังภายนอกบางส่วนในวิถีแปดมารสูงสุดถูกเขาใช้พลังอาวรณ์เรียนรู้และยกระดับอย่างรวดเร็ว พละกำลัง พลังฟื้นตัว และพลังป้องกันทางผิวหนังของเขาจึงบรรลุถึงขั้นน่าสะพรึงกลัวและน่าตกตะลึง
หลังจากเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ ในที่สุดลู่เซิ่งก็แอบเริ่มดำเนินการเตรียมพิธีติดต่อกับวิญญาณคุ้มครองในห้องของตัวเองตามลำพัง เขาที่ศึกษามาเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าๆ รู้เงื่อนไขจำเป็นของพิธีแล้ว การเตรียมพิธีจึงเป็นไปอย่างราบรื่น
กินอาหารเที่ยงเสร็จ เขาก็หาข้ออ้างไปพักผ่อนในห้อง จากนั้นก็ตวาดไล่หญิงรับใช้และข้ารับใช้รอบๆ ไป แล้วเริ่มจัดวางวัตถุดิบที่เตรียมไว้นานแล้ว ขณะเดียวกันก็ปูพรมขนสัตว์สีขาวที่เขียนลวดลายพิธีกรรมซึ่งทำไว้นานแล้วเอาไว้บนพื้น
เป็นเพราะมีพลังของเขาคนเดียว ดังนั้นวิญญาณคุ้มครองที่อัญเชิญมาได้จึงมีไม่มาก อย่างน้อยก็สองสามตน ทว่าเป้าหมายของเขาเป็นแค่การเชื่อมต่อเท่านั้น ไม่ใช่จะหาวิญญาณคุ้มครองที่มีพลังไม่เลว
พรึ่บ
ลู่เซิ่งจุดเทียนไขสีขาวในห้องมืดแล้วถอยออกมายืนอยู่กลางพรม พร้อมกับเริ่มขับร้องจังหวะที่คล้ายการกรีดร้องและเต้นระบำด้วยท่วงท่าประหลาด
ด้านในห้องมืดมิด ไม่นานรอบนอกของแสงเทียนก็ค่อยๆ ปรากฏเงาดำเลือนรางบางส่วนในขณะที่เสียงและการเต้นรำยังดำเนินอยู่
เงาคนเหล่านี้ยืนอยู่นอกแสงเทียน มองดูการเต้นระบำของลู่เซิ่งและฟังเสียงของเขาอยู่เงียบๆ
ลู่เซิ่งทำพิธีไปพลาง สำรวจเลือกเงาดำเหล่านี้ไปพลาง ตามบันทึกในตำรา วิธีการเลือกวิญญาณคุ้มครองคือตัดสินจากระดับความดำของเงาดำ
‘ตัวที่ดำที่สุดหรือ’
ลู่เซิ่งกวาดตามอง จากนั้นสายตาของเขาก็หยุดอยู่บนเงาสีดำที่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่ และคล้ายมีผมยุ่งเหยิงอย่างรวดเร็ว
‘เจ้านี่แหละ!’ เขาค่อยๆ เปลี่ยนจังหวะการเต้นและเชื่อมต่อจิตกับเงาดำสายนั้น
‘ทำสัญญากับข้าได้หรือไม่’ ลู่เซิ่งถาม
‘ของขวัญเล่า มนุษย์เช่นพวกเจ้าหากคิดจะทำสัญญา ไม่ใช่สมควรถวายของขวัญที่เหมาะสมให้พวกเราหรือ นี่เป็นข้อตกลงในการทำสัญญาที่เก่าแก่’ เสียงหยาบกระด้างและแหบพร่ากล่าวช้าๆ
‘เจ้าต้องการอะไรเป็นของขวัญ’ ลู่เซิ่งถามต่อ
‘กลีบดอกไม้สีขาวทองที่งดงามที่สุดหนึ่งหมื่นกลีบ ข้าต้องการสิ่งนี้ ถ้าเจ้าทำได้’ เงาคนนั้นกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
‘ข้าจะลองหาดู’ ลู่เซิ่งค่อยๆ ดึงสติกลับมา แล้วจบพิธีกรรมติดต่อครั้งแรก
เขาหยุดเต้นรำ เทียนสีขาวตรงหน้ายังเหลืออยู่อีกประมาณครึ่งหนึ่ง แสงไฟดับลงตามการเต้นรำ รอบๆ ตกสู่ความมืดมิด
เงาดำเหล่านั้นหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ไม่อาจแยกแยะได้โดยสิ้นเชิงว่าไปตรงไหนแล้ว
ลู่เซิ่งเก็บกวาดห้องอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งใคร่ครวญอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ
‘เงื่อนไขของเงาดำทุกตัวไม่เหมือนกัน ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็คงโทษพวกลู่ตั้งเฟิงที่เตรียมสิ่งของในพิธีกรรมแตกต่างกันไม่ได้’ เขาลุกขึ้น ‘เปลี่ยนตัวดู ครั้งนี้ลองอีกรอบ’
เขาเริ่มพิธีกรรมรอบที่สอง
ยังคงมีบทเพลง การเต้นรำ เทียนขาว และเงาดำตรงขอบความมืดเหมือนเดิม ครั้งนี้ลู่เซิ่งเตรียมของขวัญสำหรับเซ่นสรวงไว้แล้ว
ไม่นานเงาดำจำนวนมากก็ทยอยปรากฏตัว
หลังจากเต้นระบำพิธีกรรมพักหนึ่ง ลู่เซิ่งก็เดินไปถึงข้างแสงเทียน ก่อนจะยกสิ่งของในอ่างที่เตรียมไว้แล้วขึ้นมา
‘ผู้ใดต้องการขาหมูพะโล้บ้าง!’
เงาดำทั้งหมดพลันชะงัก
ท่ามกลางเงาดำ เงาคนร่างเตี้ยเล็กสายหนึ่งส่งเสียงหัวเราะเย็นชา
‘ไอ้หนูนี่เห็นพวกเราเป็นอะไร แม้แต่บิดามันยังไม่กล้าเสียมารยาทแบบนี้ ถึงกับใช้ของขวัญล่อพวกเรา ไม่ใช่ทำตามคำขอของพวกเรา’
‘ดูเหมือนต้องให้บทเรียนมันหน่อยเสียแล้ว’ เงาดำอีกสายหนึ่งกล่าวพลางพยักหน้า
‘ข้าไปเอง ให้มันได้รู้หน่อยว่าพวกเราวิญญาณคุ้มครองฆ่าคนได้เหมือนกัน’ เงาคนสูงผอมเดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง
‘ไม่ ข้าไปเองดีกว่า’ เงาดำร่างเล็กที่อยู่ด้านหน้าสุดกล่าวอย่างราบเรียบ ‘ตัวข้า ไม่ได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อมนุษย์มานานแล้ว…’ มันหัวเราะแหลมด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เงาดำที่อยู่รอบๆ พลันเกิดความแปรปรวน คล้ายกับกริ่งเกรงต่อมันถึงขีดสุด
ลู่เซิ่งยังเป็นกังวลอยู่ว่าการทดลองของตนไปผิดทางหรือไม่ เหตุใดผ่านไปนานสองนานแล้วยังไม่มีเงาดำตอบกลับสักตน
ทว่าไม่นาน เงาดำร่างเตี้ยเล็กก็ค่อยๆ เดินมาหาเขา ทำให้เขาหายสงสัย
‘ข้าต้องการขาหมะโล้ แต่พลังของข้าอ่อนแอมาก…’ เงาดำส่งจิตมา
‘ไม่เป็นไร’ ลู่เซิ่งพยายามเค้นยิ้มอย่างเป็นมิตร ‘พวกเราเป็นสหาย เจ้าตอบรับข้า ข้าจะไม่ละทิ้งคนอ่อนแออย่างเจ้า ในทางกลับกันจะขอบคุณเจ้าด้วย’
‘จริงหรือ’
‘จริงแท้แน่นอน’ ลู่เซิ่งยื่นขาหมูพะโล้ที่ถืออยู่ไปให้อย่างระมัดระวังขณะร้องเพลงในพิธีกรรมต่อไป
เงาดำมองลู่เซิ่ง แล้วยื่นเงาดำกลุ่มหนึ่งไปจับอ่างไม้อย่างระมัดระวัง แต่มันคล้ายละล้าละหลัง ยื่นไปได้ครี่งหนึ่งก็ชะงักอย่างฉับพลัน
‘เจ้าไม่…ถือสาจริงๆ หรือ’ เงาดำร่างเล็กถามอีก
‘แน่นอนว่าจริง ข้าดีใจที่ยังมาทัน จะถือสาไปทำไม’ ลู่เซิ่งยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
เงาดำร่างเล็กส่งเสียงกลืนน้ำลาย มือที่ค้างเติ่งอยู่ยื่นเข้าหาอ่างไม้อีกครั้ง
ขณะที่กำลังจะแตะอ่างไม้ มันก็หยุดลงอย่างฉับพลันอีกครั้ง
‘ข้า…ข้ายังเป็นห่วงอยู่บ้าง…’
‘ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเลย’ ลู่เซิ่งพยายามทำให้รอยยิ้มของตัวเองดูดีขึ้น ‘ข้าเป็นมนุษย์นะ ต่อให้มนุษย์มีแผนการอะไร ก็ทำร้ายพวกเจ้าไม่ได้ไม่ใช่หรือ เจ้ายังจะกลัวอะไรอีกเล่า’
‘แต่ว่า…แต่ว่า…’
‘แต่ว่าอะไร’
‘แต่ข้าสังหรณ์ว่าเจ้ากำลังหลอกข้าอยู่…’ เงาดำร่างเล็กกล่าวอย่างลังเล ‘นอกเสียจากว่าเจ้าจะเข้าใกล้ข้าอีกนิด ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เชื่อเจ้า!’ ขอแค่อีกฝ่ายออกจากอาณาเขตแสงเทียน มันก็จะลากเข้ามาในความมืดแล้วกัดกินได้!
‘เข้าใกล้อีกหน่อยหรือ ได้ ได้แน่นอน!’ ลู่เซิ่งเดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เพียงแต่ก้าวนี้เข้าใกล้นั้นเข้าใกล้แล้ว ทว่าเงาดำกลับเกิดความรู้สึกว่าอีกฝ่ายอดรนทนไม่ไหวมากกว่าตัวมันเสียอีก
‘ก็ได้…อย่างนั้น…ข้าขอนะ’
‘เอาเลยๆ!’ ลู่เซิ่งรีบยื่นอ่างไม้เข้าใกล้
เงาดำกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของเงาดำร่างเล็กยื่นไปหาอ่างไม้อีกรอบ
‘รอประเดี๋ยว!’ มันพลันส่งเสียงร้องอีก
‘เป็นอะไรไปหรือ’ ลู่เซิ่งพยายามคงรอยยิ้มบนใบหน้าไว้อย่างเต็มที่พลางถามเบาๆ ผ่านจิตอีกรอบ
‘ข้า…ข้ายังกลัวอยู่บ้าง!’
‘เช่นนั้นเจ้ายังมีเงื่อนไขอะไร บอกมาได้เลย’ ลู่เซิ่งรีบถาม
‘ข้า…ข้า…เจ้าเข้าใกล้อีกหน่อยสิ ข้าจะแอบบอกเจ้า…’ เงาดำร่างเล็กพูดอย่างขลาดกลัว
‘ได้…ได้เลย!’ ลู่เซิ่งรีบเข้าใกล้
‘เงื่อนไขของข้าคือ…’ เงาดำร่างเล็กรู้สึกยินดี แบ่งเงาดำกลุ่มหนึ่งยื่นไปหาลู่เซิ่งอย่างเงียบๆ จากด้านข้าง
ตูม!
ไม่รอให้เขาลงมือ เงาดำที่ร้อนลวกเหมือนเตาอบก็พุ่งเข้าไปในฝูงเงาดำอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น!
‘ฮ่าๆๆๆ! ยืนนิ่งๆ ให้หมด! ใครหนีมันตาย!’
ลู่เซิ่งเหมือนเสือหิวโหยพุ่งหาอาหาร จับเงาดำร่างเล็กเขวี้ยงไปด้านหลัง สารกายทั่วร่างเขาแผ่ตลบอบอวลบนผิว พละกำลังอันน่าสะพรึงถึงขั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าฝูงกะทิงป่าที่วิ่งตะบึงเสียอีก มือใหญ่คว้าจับเงาดำที่ร่างใหญ่ที่สุดตนหนึ่ง ก่อนจะสะบัดโดยแรง
เงาดำแตกกระเจิง พวกมันต่างโมโหและพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่งตั้งใจจะทะลวงเข้าร่างลู่เซิ่ง ทว่าเงาดำทั้งหมดถูกสิ่งประหลาดบางอย่างสกัดกั้นไว้ด้านนอกโดยไม่มีข้อยกเว้น
ลู่เซิ่งจับไปตรงไหนเป็นโดนเงาดำ แล้วเขาก็โยนเงาดำทั้งหมดเข้าไปในลวดลายมืดสลัวที่แสงเทียนส่องถึง ไม่กี่วินาทีก็มีเงาดำสิบกว่าสายถูกเขาโยนเข้าไปในวง
พึงทราบว่าการเข้าไปในวงหมายถึงได้ทำพันธะสัญญากับผู้จัดพิธีในครั้งนี้แล้ว
วิญญาณคุ้มครองเหล่านี้ต่างมีพลังน่าทึ่ง ร่างหลักเป็นควันสีดำ ไม่เคยมีคนปะทะกับพวกเขาตรงๆ ได้มาก่อน แต่ผู้ใดจะนึกถึงว่าดันมาเจอคนวิปริตอย่างลู่เซิ่งเข้า พลังทั้งหมดเป็นของธรรมดาเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
พวกที่ต่อต้านอย่างรุนแรงถูกเขาตบใส่ฉาดหนึ่ง หลังจากหัวหมุนไม่รู้ทิศแล้ว ก็โดนโยนเข้ามาในวงแสงเทียน
‘ข้อตกลง! เจ้าฝ่าฝืนข้อตกลงโบราณ!’ เงาดำตนหนึ่งตะโกน
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งตบฝ่ามือใส่จนเงาดำทั่วร่างเขาระเบิด พร้อมกับจิกผมของอีกฝ่ายแล้วโยนไปในแสงเทียน
‘ข้อตกลงผายลม! ให้ขาหมูพะโล้เจ้าอ่างหนึ่งก็มากพอแล้ว!’
พวกเงาดำที่เหลือซึ่งรู้สึกตัวทัน ตกใจเกือบตาย รีบหนีกระเจิดกระเจิง จนกระทั่งสุดท้ายลู่เซิ่งหมดหนทางจริงๆ และจับเงาดำไม่ได้อีก เขาจึงค่อยกลับมาอย่างคับข้องใจ แล้วจ้องมองเงาดำในแสงเทียนไข
เงาดำทั้งหมดแปดตนยืนตะลึงอยู่ในวงแสงเทียน บรรยากาศกระอักกระอ่วนถึงขีดสุด
‘ไม่เลวๆ แบบนี้พิสูจน์ได้แล้วว่า วิญญาณคุ้มครองก็ดี วิญญาณร้ายก็ดี สมควรแตะต้องในความเป็นจริงได้ แบบนี้ก็ง่ายแล้ว’ ลู่เซิ่งพึงพอใจ กลับมาถึงในวงแสงเทียนเช่นกัน
‘พวกเจ้ามีใครรู้บ้างว่าวิญญาณร้ายรับมืออย่างไร’ ลู่เซิ่งใช้จิตมองไปพร้อมกับถามเงาดำสิบกว่าสายที่อยู่รอบๆ
ไม่มีใครตอบ
ลู่เซิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา
‘ดูเหมือนพวกเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา…’ ตอนนี้เขายืนยันได้แล้วว่า เงาดำเหล่านี้ความจริงแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษที่เหมือนกับร่างพลังงาน แต่เป็นเพราะโอกาสบางประการ จึงติดต่อเชื่อมโยงกับมนุษย์เพื่อมอบผลประโยชน์ให้แก่กันและกันได้เท่านั้น
ในเมื่อมีชีวิต เช่นนั้นก็ตายได้
‘เจ้าตายแน่!’ จิตอันเย็นเยียบของเงาดำร่างเล็กนั้นส่งออกมา
‘ล่วงเกินพวกเรา ต่อจากนี้จะไม่มีวิญญาณคุ้มครองช่วยพวกเจ้าจัดการวิญญาณร้ายอีกแล้ว ไม่มีเด็ดขาด!’ เงาดำอีกสายกล่าวเสียงเย็นชา
‘ถ้ากล้าก็ฆ่าพวกเราสิ ไม่อย่างนั้นก็ปล่อยพวกเราไปแล้วหาของขวัญมาไถ่โทษเสีย หรือไม่เจ้าก็ฆ่าตัวตายเพื่อชดเชยก็ได้’ เงาดำสายที่สามเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
‘ฆ่าตัวตายหรือ’ ลู่เซิ่งหัวเราะเย็นชา
เปรี้ยง!
เขาต่อยใส่ร่างเงาดำที่พูดเป็นคนสุดท้ายอย่างฉับพลัน
เกิดเสียงดังเบาๆ เงาดำบิดเบี้ยว แล้วระเบิดอย่างกะทันหัน เงาดำนับไม่ถ้วนกระจายออกมาพร้อมกับสลายไปในความมืด
หมัดนี้ลู่เซิ่งใช้พลังวิญญาณ จิตวิญญาณของเขารวมตัวเป็นหนามแหลมและแทงลึกเข้าไปในจิตของอีกฝ่ายในขณะที่ออกหมัด
จิตวิญญาณของระดับอริยะเจ้าสามารถบิดเบือนความเป็นจริงได้ในระดับหนึ่ง ยิ่งอย่าว่าแต่การโจมตีทางจิตวิญญาณในระดับพื้นฐานแบบนี้
เมื่อผสานเข้ากับหมัดนี้ เงาดำก็ถูกต่อยสลายกลายเป็นความมืดดั้งเดิม ก่อนจะมลายหายไป
……………………………………….